“มีคนใจบางกับความอยุติธรรม” #เดินทะลุฟ้า เก็บปัญหารายทาง-พิสูจน์การเรียกร้องแบบสันติชน - Decode
Reading Time: 3 minutes

วันที่ 16 ของกิจกรรม #เดินทะลุฟ้า ตามหาอนาคต กับ 4 ข้อเรียกร้อง คือ ปล่อยเพื่อนเรา ยกเลิก 112 เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงจากตำแหน่ง Decode คุยกับแกนนำการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ ที่เข้าร่วมขบวนเดินเท้าเพื่อความฝันประเทศที่มีเสรีภาพ แต่กว่าจะถึงวันนั้น ก่อนที่ฟ้าจะทะลุ…พวกเขาต้องเสียดฟ้าแค่ไหน

“มีคนใจบางเยอะมากกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น”

รีวิวสั้น ๆ จาก ไผ่ ดาวดิน หรือ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา สำหรับกิจกรรม #เดินทะลุฟ้า ที่ใกล้ถึงวันสุดท้ายแล้ว ตลอดข้างทางที่สองเท้าก้าวไป ไผ่เห็นชีวิตผู้คนที่ถูกกดทับ และกดขี่จากโครงสร้างทางการเมืองในแบบเดียวกัน ยิ่งเดิน ยิ่งได้ฟัง ยิ่งมั่นใจว่าโครงสร้าง และนโยบายของประเทศนี้กระทบไปทั่วทุกหัวระแหงแค่ไหน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เห็นถึงจำนวนคนที่เห็นด้วยมากกว่าที่เคยคิดไว้

“มันได้เห็นชีวิต ได้เห็นระหว่างทางการพัฒนาข้างทาง การบ่นระบาย พ่อค้าแม่ค้า ของการพัฒนาเศรษฐกิจของประยุทธ์ และประยุทธ์เป็นปัญหามาก ๆ ขณะเดียวกันเราเห็นน้ำจิตน้ำใจพอเขาออกมาด้วยความหวังเราก็มีความหวังไปด้วย มันเป็นการเติมน้ำจิตน้ำใจของเราว่ามันไม่ได้มีแค่พวกเรา คนที่เชียร์เรามีมากกว่าคนด่าเรา คนที่ชูนิ้วกลางให้เราน้อยกว่าคนที่ยกสามนิ้วให้เรา กลุ่มการ์ดก็มาบอกว่าน้ำตาจะไหล มันรู้สึกดี”

การเดินในครั้งนี้ข้อเรียกร้องที่ชัดเจนที่สุด และตั้งเป็นเป้าหมายหลักคือ การให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงจากตำแหน่งนากยรัฐมนตรี ไผ่บอกว่าแม้เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องเพดานอื่น ๆ แต่อยากทำให้ข้อนี้เป็นจริงเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ตั้งแต่วันที่ไผ่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เพื่อเรียกร้องสิทธิให้ประชาชนคนท้องถิ่น มาวันนี้คนข้าง ๆ ร่วมอุดมการณ์เติบโตงอกเงย หลายคนยอมหยุดเรียน ลาออกจากงานเพื่อให้อุดมการณ์เป็นหลักของชีวิต มาเรียกร้องความเป็นธรรม ทำให้การก้าวเดินครั้งนี้เป็นการเดินไกลกว่า 247.5 กม. เพราะเป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือการเดินทีละก้าว ฝึกฝนกับการตอบสนองต่อคำชม คนด่าและตรวจสอบความเชื่ออุดมการณ์ของตัวเอง ที่ไม่ใช่แค่ตัวเขา และหมายถึงคนที่ร่วมทางเพื่อดันปัญหานี้ไปด้วยกัน

“แม้ในแต่ละก้าวมันเจ็บปวดรวดร้าว แต่มันก็ทำให้เราคิดว่าเรายังเชื่ออันนั้นไหม”

แต่การเดินแบบนี้ก็อาจจะไม่ถูกรับรู้ในวงกว้างมากนัก หากขาดการหยิบไปนำเสนอของสื่อโดยเฉพาะสื่อหลักที่ไผ่เองมองว่า แม้ในออนไลน์มีการสื่อสารอยู่มาก แต่ในระดับภูมิภาคคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน เข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตมีอยู่จริง เพราะฉะนั้น สื่อหลักมีความสำคัญต่อการสร้างการรับรู้ประเด็นทางการเมือง

“การที่เราออกมาก็ทำให้เห็นชัดว่า สื่อกระแสหลักมีปัญหา พอไม่นำเสนอ พี่น้องประชาชนก็มีการรับรู้ทางการเมืองก็น้อย แต่การเชื่อมโยงการชูสามนิ้วมันไปทั่วทุกภูมิภาค แสดงว่าในต่างจังหวัดมีคนที่สนใจการเมืองแต่สื่อหลักไม่สามารถรายงานข่าวได้ ถ้าการรับรู้ทางการเมืองมันน้อยมันก็ทำให้ชุดความคิดทางการเมืองก็เป็นแบบนั้น”

“ฟ้าของเรา…ความสูงของฟ้าแต่ละคนมันไม่เท่ากัน แต่เรารับฟังความเห็นทุกระดับ “

“ถามว่าเราจะเดินทะลุไปถึงไหน ในการเดินมีธงหลากหลาย ใกล้พื้นที่ไหนประเด็นก็จะเปลี่ยนไป ตอนนี้ (ถ.วิภาวดี) ประเด็นก็คือ ปล่อยเพื่อนเรา ซึ่งไผ่เอง (ไผ่ ดาวดิน) ก็จะรายงานตัวด้วยวันที่ 8 มีนาคมนี้ เราต้องการบอกว่า ที่ออกมาเราไม่ได้จะล้าง จะลบคดี แต่ขอให้มีสิทธิสู้ตามกระบวนการวิธีการปกติ มีโอกาสได้ประกันตัวและสู้กันต่อข้างนอก”

แม่ยกทราย เจริญปุระ หนึ่งในทีมหลังบ้าน #เดินทะลุฟ้า ที่มาร่วมวันนี้บอกว่า ตั้งแต่เริ่มเดินที่จ.นครราชสีมา ทีมนักเดินได้เก็บ และรับฟังปัญหารายทาง ทั้งเรื่องเหมือง เรื่องรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา เรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ และอื่นๆ อีกมากมายตลอดเส้นทางสู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

“แต่ละพื้นที่จะชูเรื่องที่สำคัญแตกต่างกันออกไปเรื่องโคราชก็จะเน้นเรื่องเหมือง คนก็เข้าจะมาเป็นพิเศษ แต่พอยิ่งใกล้เข้ามาในกรุงเทพฯ ก็จะเป็นปฎิรูปสภา รัฐธรรมนูญ ความเหลื่อมล้ำ ระหว่างทางก็มีคนคอมเพลนเรื่องไทยชนะ เราก็รับฟัง ซึ่งก็เป็นผลมาจากการบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาล”

ในวันพรุ่งนี้ (7 มีนาคม 64) ซึ่งจะเป็นวันที่มวลชนจะเดินไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พี่ทรายกลัวไหม?

ในฐานะคนทำหลังบ้านมันกลัวอยู่แล้ว แต่เราก็ยืนยันสันติวิธีมาโดยตลอด จากโคราชมาถึงตรงนี้มันก็พิสูจน์อะไรบางอย่าง ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่เองได้เห็นอะไรบางอย่างแล้วว่ามันมีวิธีสื่อสาร เรียกร้องโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดบวกอะไรกับใคร เราขยับตัวของเราโดยไม่จำเป็นต้องรุนแรง”

สุดท้ายปัญหาไปรวมกันที่โครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม ไม่ถึงกับต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แต่เป็นการสะสมพลัง เป็นการเรียนรู้และเป็นการงอกงาม

“ให้มันจบที่รุ่นเรา รุ่นของมนุษย์แต่ละรุ่นมันยาว นึกไหมว่าตอนออกมาแรก ๆ เราเหงามาก พูดไปใครก็ไม่ฟังเลย ตอนนี้พื้นที่เปิดกว้าง ก็มีคนฟังมากขึ้น ทุกคนเรียกร้องไปพร้อมกัน สุดท้ายมันเห็นว่าปัญหาไปรวมกันที่โครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม เราว่าตรงนี้เป็นการขยับที่ดี ไม่มีการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินกันได้ มันคือ การสะสมพลัง และสร้างการเรียนรู้ไปพร้อมกัน และเป็นการงอกงามที่ดี”

“การต่อสู้ของเราไปถึงทุกคน รวมถึงสื่อด้วย ที่สื่อจะเป็นอิสระในการนำเสนอ ถ้าสื่อไม่เรียกร้องเสรีภาพตัวเองก็ไม่รู้ทำไงแล้ว”

วันที่ 16 ของ #เดินทะลุฟ้า หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎรอย่าง “ไมค์-ภาณุพงศ์ จาดนอก” พูดถึงบทบาทสื่อหลักในช่วงเวลาพักการเดินทางที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ไมค์บอกว่า สื่อกระแสหลักยังมีความจำเป็นอย่างมากในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้รับรู้ ซึ่งการนำเสนอข่าวการเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังไม่ไปถึงประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ เองก็คาดหวังให้สื่อรายงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือน และเสนอข่าวอย่างเป็นธรรม

“อะไรที่ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก เราไม่ได้บอกว่าเราผิดเสมอไป หรือถูกเสมอไป เพราะฉะนั้นแล้ว เสนอข่าวด้วยความเป็นธรรมกับทุกคน ทั้งฝ่ายเราและเจ้าหน้าที่โดยไม่ละเมิดสิทธิใครเลย ไม่เสนอฝ่ายใดมากเกินไป จนทำให้คนเข้าใจผิด สุดท้ายการต่อสู้ของทุกคนไปถึงทุกคน และถึงสื่อด้วยที่สื่อจะเป็นอิสระในการทำงาน ในการเสนอข่าว ไม่ถูกบล็อกและกำหนดว่ารายงานได้เท่านี้ เท่านั้น ทุกคนมีเสรีภาพ ถ้าสื่อไม่เรียกร้องเสรีภาพของตัวเอง ก็ไม่รู้จะทำยังไงกันแล้ว เพราะทุกวันนี้ เราก็เรียกร้องเสรีภาพให้ท่านเหมือนกัน จงยืนหยัดในเสรีภาพที่เรามี และจงรักษามันไว้ให้ดีที่สุด”

ตลอดระยะเวลาที่ใกล้ถึงจุดเป้าหมายไมค์ แม้มีเจ้าหน้าที่แฝงตัวเข้ามาตลอด แต่ไมค์บอกว่าต้องการให้การเดินนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า นี่คือ การเรียกร้องโดยสันติวิธี การเข้ามาขัดขวาง คือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ขัดขวางเสรีภาพประชาชน

“รัฐควรพิจารณาใหม่ และศึกษาไตร่ตรอง เรียนรู้เรื่องสันติวิธี ควรอะลุ่มอะล่วย การเรียกร้องของเรา เราไม่ได้ทำให้ใครตาย เราทำเพื่อให้ประเทศดีขึ้น เจริญก้าวหน้า รัฐควรมาร่วมมือกับเรา แต่ท่านก็ยังอยู่ในระบบโครงสร้างของประเทศที่ด้อยพัฒนา อย่างเรื่องตั๋วช้าง ที่เกิดการทุจริต เรากำลังปกป้องสิทธิ์ของพวกท่าน เพราะงั้นเรากำลังปกป้องสิทธิ์ของพวกท่านด้วย”

แม้วันนี้เพดานทะลุฟ้าไปแล้ว แต่ไมค์ และทีมต้องการเดินไกล และกว้างที่สุด ซึ่งหมายถึงการสร้างการรับรู้และเรียกร้องเพื่อสังคม แม้ว่าสุดท้ายอาจถูกจับก็ตาม แต่ไม่ต้องการอยู่เฉยๆ เพื่อรอรับผลสำเร็จ

“ระยะทางสั้นลง แต่มวลชนเพิ่มขึ้น”

พรุ่งนี้ 7 มีนาคม 2564 จะเป็นวันสุดท้ายของกิจกรรรม #เดินทะลุฟ้า ทุกคนที่ร่วมเดินต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ขอให้ปล่อยเพื่อนเรา ทั้งที่ถูกจับ ถูกดำเนินคดี ทุกคนต้องมีสิทธิ์ได้รับการประกันตัว ต้องมีการแก้ ม.112 และคาดหวังการเขียนรัฐธรรมนูญที่มาจาประชาชน โดยไม่เอื้อนายทุน หรือระบอบเผด็จการ และข้อสุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การคมนาคมสาธารณูปโภคไม่ได้ ที่สำคัญตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งไมค์ได้ปิดท้ายด้วยว่ายิ่งเข้าใกล้วันพรุ่งนี้ประชาชนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

“ใต้รัฐบาลที่มีท่าทีขัดต่อสิทธิและประชาธิปไตยในประเทศนี้ ไม่อยากฟันธง แต่พรุ่งนี้มีความกังวลใจมากว่า รัฐบาลจะทำอะไรที่สิ้นคิด ละเมิดสิทธิประชาชนที่อยู่ในประเทศเดียวกัน”

ฮ่องเต้-ธนาธร วิทยเบญจางค์ พรรควิฬาร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประเมินสถานการณ์การ #เดินทะลุฟ้า วันสุดท้ายจากม.เกษตรศาสตร์สู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ยังมีความกังวลอยู่มาก พร้อมบอกว่า ที่มาเข้าร่วมกิจกรรมสองวันนี้ เพราะต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประชาชนคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะภายใต้สภาพรัฐบาลตอนนี้ที่ไม่เอื้ออำนวยให้ประชาชนไปถึงจุดนั้นอย่างประเด็นของเสรีภาพ ฮ่องเต้บอกว่า ในบรรดาข้อเรียกร้องของการเดินทะลุฟ้านี้ อนาคตอยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ประชาชนคนต่างจังหวัดมีส่วนร่วม

“เราอยากให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ เพราะว่าจากใจคนที่มาจากต่างจังหวัด การเขียนรัฐธรรมนูญมันเอื้อให้คนในพื้นที่เข้ามามีบทบาท และมาดูแลเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่คนต่างจังหวัดต้องการมาก ขณะที่การแก้รัฐธรรมนูญมันคือการแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ว่าจะ 112 หรือกฎหมายอื่นที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎหมายที่คลุมเครือ ก็สามารถแก้ไขตรงนี้ได้”

“ส่วนการเดินทะลุฟ้า คิดว่ามันทะลุไปอวกาศแน่นอน ไปดาวพลูโต เชื่อว่าจะช่วยดันเพดานการเรียกร้องให้พื้นที่อื่น ๆ เห็นว่าเรียกร้องแบบนี้ได้ เดินข้ามจังหวัดได้แล้ว หรือแม้กระทั่งวันนี้ข้อเรียกร้องมันชัดเจนกว่าเดิม”