ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม
วีรพร นิติประภา
แน่นอนว่าโรคระบาดครั้งใหญ่มีส่วนอย่างมากในการทำให้เศรษฐกิจของไทยตกต่ำ …เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ แต่หนนี้เรายังได้เห็นปัญหามากมายทางโครงสร้างที่อยู่ลึกและฝังมายาวนานชัดเจนขึ้นด้วย
และเรื่องที่เป็นปัญหาสาหัสกว่าที่เราคาดคิด คือที่ทางของเราในโลกนี้ที่หดหายไป
ออกจะฟังดูโหดร้าย แต่ถ้าจะให้พูดกันตรง ๆ ก็คือเราไม่มีประโยชน์กับโลกอีกต่อไป เราไม่มีสิ่งที่โลกต้องการ เราไม่มีนวัตกรรมที่โลกมองหา ไม่มีแรงงานกับพลังงานหรือต้นทุนการผลิตราคาถูก ไม่มีคุณภาพเหนือที่คนอื่นไม่มี ไม่มีความโดดเด่นน่าสนใจใด ๆ
เกิดอะไรขึ้น
โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่าน เร็วกว่าครั้งไหนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และหลายครั้ง เรายังได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า ’ก้าวกระโดด’ ในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างถี่บ่อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก้าวกระโดดของประเทศนั้นประเทศนี้นี่เองที่พาใครต่อใครกระโดดข้ามหัวประเทศไทยไป นอกจากเราจะไม่มีความเร็วที่จะก้าวไปข้างหน้าแล้ว เรายังหมกมุ่นกับ ’ความพอเพียง’ จนเลื่อนลอยถอยหลังและตกอันดับไปอย่างช้า ๆ จนจะรั้งท้าย
…ทำไม
มากมายหลายปัญหา แต่วันนี้อยากชวนคิดเรื่องทัศนคติก่อน ค่าที่ความเป็นไปได้ล้วนขึ้นอยู่กับทัศนคติ เราไม่มีความทะเยอทะยานที่จะเป็นเลิศ แย่กว่านั้นหลายปีมานี้เรายังปลูกฝังแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และเพื่อให้พอเพียง เรายังพร่ำบอกตัวเองว่า ประเทศของเราดีกว่าประเทศอื่น ๆ ซ้ำเข้าไปอีก …สวนทางกับโลกทั้งบานที่กระโจนเข้าสู่การแข่งขันสุดตัว ด้วยการผลักดันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดให้เป็นยุคแห่งความริเริ่ม สร้างสรรค์ และนวัตกรรมใหม่
เราไม่เคยมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในโครงสร้าง
ความริเริ่มสร้างสรรค์เกิดจากการคิดนอกกรอบ ซึ่งทั้งโลกก็คิดแบบแทบจะไม่มีกรอบกันด้วยซ้ำมานานแล้ว แต่เราไม่ นอกจากเราคิดติดกรอบตลอดเวลา กรอบที่วางมายังเป็นกรอบระบบทหารยุคสร้างชาติหลังสงครามโลกที่ทั้งคับแคบ เล็กจ้อย และด้อยพัฒนามากด้วย เราสอน เราเชิดชู และตั้งเกณฑ์เยาวชนต้องนอนสอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่เถียง ไม่ถามคำถาม ไม่ออกนอกลู่นอกทาง …นอกกรอบ และทำตามคำแนะนำทุกอย่างของรัฐบาล อาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่
ข้างรัฐบาลเองกี่สมัย ๆ ผ่านก็ไม่ได้มีวิสัยทัศน์ยาวไกลพอ และบ่มเพาะกันมาจากกรอบระบบทหารหลังสงครามเดียวกัน ก็อยู่กันแต่ก้นกล่องจะมองพ้นขอบออกไปเห็นไกล ๆ ได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นความทหารเองคือความเฉพาะหน้า พอมองแค่ปัจจุบันกาล แนวทางที่สนับสนุนให้เด็ก ๆ เลือกเรียนจึงเป็นอาชีพตอบสนองความต้องการของตลาดงานในเวลานั้น ๆ
หรือแย่กว่านั้นคือ งานที่นิยมในยุคสมัยสร้างชาติของตัวเองเมื่อสามสี่ทศวรรษที่แล้ว อย่างแพทย์ วิศวะ ครู พยาบาล ทหาร ตำรวจ ไม่กี่อาชีพ
เราไม่มองไปที่อนาคต มองไม่เห็นโลกในอีกห้าปีสิบปีที่อยู่ข้างหน้า ขณะบางประเทศมองล่วงหน้าไปกันทียี่สิบสามสิบปี แล้วเราจะคาดเดาตำแหน่งงานที่จะเป็นที่ต้องการวันข้างหน้าได้อย่างไร เอาแค่แนะเด็กเรียนวันนี้ กว่าจะจบอีกสี่ปี ออกมาตำแหน่งงานที่แนะนำไว้ถ้าไม่ล้นเกินก็สาบสูญหายไปไหนแล้ว ขณะเดียวกันตำแหน่งงาน และทักษะที่ต้องการจริง ๆ กลับไม่มี มหาวิทยาลัยเองก็ไม่ได้มองที่อนาคต และเปิดสอนแต่วิชาตามความต้องการในเวลานั้น ๆ เช่นกัน ต่อให้เด็กก้าวหน้าพอจะเห็นว่าข้างหน้าอาชีพด้านไหนจะเป็นที่ต้องการก็หาที่เรียนไม่ได้อยู่ดี
…งูกินหาง
ทัศนคติที่ว่าเด็กดีต้องว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาท ในลู่ในทาง ในกรอบ ยังเป็นเชื้อก่อโรคทุพลภาพทางความคิดสร้างสรรค์ด้วย ไม่คิดพิเรนทร์ก็ไม่สร้างสรรค์ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวนำก็จะให้เอาความคิดริเริ่มมาจากไหน ไม่มีความคิดริเริ่มก็แล้วจะเอานวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ทั้งตัวสินค้า การบริการ ไปจนถึงช่องทางและวิธีการค้าใหม่ ๆ มาจากไหน รอจะหยิบยืมลอกเลียนเขามาตลอดเวลาจะเป็นแนวหน้าได้อย่างไร
ระบบการศึกษาซึ่งมุ่งเก็บคนเอาไว้ในกรอบยังสอนเยาวชนของเราว่าอย่าเป็นเป็ด ความคิดว่าว่ายน้ำได้บินเป็นจะไม่เก่งอะไรเลยสักอย่างยังทำให้เด็ก ๆ ของเราไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีงานอดิเรก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยค้นพบความถนัดพิเศษของคน แถมความถนัดเฉพาะตัวนั้นยังมีอีกนัยยะเป็นการออกนอกกรอบเอาอีก เราเน้นสอนเด็ก ๆ ให้ใส่เครื่องแบบตัดผมทรงเดียวกัน และทำทุกอย่างเหมือนกัน …แบบทหาร จนในที่สุดเราก็กลายเป็นประเทศที่มีความรู้ความสามารถทำแต่งานเดิม ๆ ทำแบบเดิม ๆ และตาม ๆ คนอื่นเดี่ยวโดดเดียวดายในโลกที่เป็นมัลติหรือพหุ ตั้งแต่พหุเพศ พหุเชื้อชาติ พหุกาล พหุชีวิต พหุทักษะ พหุความสามารถ พหุสารพัดทุกสิ่งอย่าง
สิ่งที่เราไม่เข้าใจเลยจนถึงเดี๋ยวนี้ก็คือความเป็ด สะเปะสะปะ นอกกรอบ ลองผิดลองถูก มีความสนใจมากกว่าหนึ่งหรือพหุความสนใจนั่นต่างหาก ที่นำมาซึ่งความเก่งกาจกับก้าวกระโดดที่เราพูดถึงกันข้างต้น นับครั้งไม่ถ้วนที่ก้าวกระโดดครั้งสำคัญในศาสตร์แขนงต่าง ๆ เกิดจากการถูกมองข้ามศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่นนักออกแบบแฟชั่นคนสำคัญคนหนึ่งชอบและศึกษาคณิตศาสต์เป็นงานอดิเรก ความสนใจพิเศษนี้เองทำให้เขาริเริ่มออกแบบเสื้อสูทที่ใส่อยู่ทรงสวยตลอดเวลาขึ้นมา ด้วยการคำนวนให้ชิ้นหน้ากับชิ้นหลังของสูทให้มีน้ำหนักเท่ากันเป๊ะ ซึ่งกลายมาเป็นนวัตกรรมที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงมาก และยากจะเอาชนะ
ประเทศเราไม่มีเป็ดมากพอ พอ ๆ กับที่ไม่มีคนเก่งจริง ๆ มากพอ มิหนำซ้ำยังมีคนไม่กี่แบบ มีทักษะไม่กี่แขนง ความสามารถไม่กี่อย่าง เราไม่มีความกล้าจะคิดพิเรนทร์ ไม่มีความหลงใหลใฝ่ฝัน ไม่มีความเข้าใจในโลกที่เป็นพหุ ไม่คิดว่าประเทศต้องออกจากกรอบของตัวเองไปเป็นส่วนของโลกใหม่ และยังไม่สนใจมองว่าชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่กันอย่างไร
เราอยู่รอดมาจนปัจจุบันด้วยการอาศัยกินน้ำบ่อทราย โดยไม่มีนวัตกรรมใหม่ ขายทุเรียนพันธ์เดิม ๆ โดยไม่ปรับปรุงพันธ์หรือค้นหาสายพันธ์ที่เคยมีและสาบสูญ เราแค่ปลูกพันธ์ที่ทุกคนปลูกจนล้นตลาด เราปลูกข้าวพันธ์เดิม ๆ และแบบเดิม ๆ โดยไม่แก้ไขปัญหาเดิม ๆ ไม่ว่าจะน้ำหลาก น้ำแล้ง และการกระหน่ำใช้สารเคมี
ในขณะที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนามนั่งคิดนอนคิดเอาเป็นเอาตายว่าทำอย่างไรถึงจะมีข้าวและทุเรียนอร่อย ๆ อย่างของเรา หรืออร่อยกว่าคุณภาพดีกว่า ในที่สุดเขาก็พัฒนาสายพันธ์ของเราให้ดีกว่าพันธ์เดิมในพื้นที่ของเขา ในที่สุดเขาก็ค้นพบพันธ์พืชดึกดำบรรพ์ที่อร่อยกว่า ทนแล้งกว่า แถมยังหาวิธีปรับปรุงดินเพื่อจะได้ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ขณะเดียวกันยังให้ผลผลิตมากกว่าของเราหลายเท่า …พืชผลของเราผลิตขายออกได้น้อยลง ทั้งปริมาณและราคา
ไม่รวมลูกค้าเก่าเอาแต่ได้อย่างจีนที่เข้ามากว้านซื้อจนกลายเป็นคนกลางกำหนดราคา ไม่พอยังเอาเมล็ดพันธ์ไปตัดแต่งปรับปรุงปลูกเองขายเอง ทุบทั้งตลาดและราคา
ด้านอุตสาหกรรมเราก็ปล่อยให้ค่าพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนหลักสูง จนดันค่าครองชีพกับค่าแรงให้สูงขึ้นตาม มิหนำยังปล่อยให้น้ำท่วมประเทศตลอดเวลาทั้งที่ผันงบประมาณลงไปในการนี้มหาศาล และหวังว่าประเทศต่าง ๆ จะมาลงทุนโดยไม่พัฒนาสาธารณูปโภคมาตรฐาน ไม่ต้องพูดถึงการไม่ใช้กลไกภาษีและกลยุทธอื่น ๆ กีดกัน ปล่อยให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาทำลายอุตสาหกรรมในประเทศตัวเองจนพังราบเป็นหน้ากลอง
พอเกษตรกับอุตสาหกรรมพังเราก็หันมาหาทางอยู่รอดด้วยการท่องเที่ยว หลายปีผ่านเราโหมสร้างแต่ห้างกับโรงแรมเพื่อรองรับจนล้น แต่เราไม่สร้างถนนใหม่ ไม่ปรับปรุงขนส่งมวลชนคมนาคม ไม่ใส่ใจพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพ หลากหลาย น่าสนใจ สะดวก และปลอดภัยสำหรับผู้มาเยือน
…การท่องเที่ยวที่เป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเราจะพังตามวันไหนก็ไม่รู้
การถูกขังในกรอบมาค่อนศตวรรษ ไม่เพียงแต่ทำลายความริเริ่มสร้างสรรค์ ความทะเยอทะยานต้องการที่จะเป็นเลิศของเรา มันยังทำลายเฟืองที่ขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความอยู่ดีกินดีมั่งคั่งลงไปทีละตัว แต่ที่ร้ายที่สุด มันทำให้เรากลายเป็นประเทศไร้พลัง และยอมจำนน
ทั้งกำลังจะจมปลักในความยากจน ไร้ที่ทางของตนในโลกที่แข่งขัน และขับเคลื่อนด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม