เรียนความเป็น 'คน' จากมนุษย์กลายพันธุ์ - Decode
Reading Time: < 1 minute

ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม

วีรพร นิติประภา

จากการทำเวิร์กช็อป ‘โปรดโอบกอดมนุษย์แม่’ กับ Mappa และ Flock Learning ในช่วงหนึ่งที่ได้คุยเปิดอกกับเหล่าแม่ ๆ  พบว่าหลาย ๆ เรื่องที่ดูจะเป็นปัญหา เกิดจากการที่แม่พยายามสอนลูกทุกอย่าง สังคมของเรามีความเข้าใจเช่นนั้น อยากให้ทำอะไร…สอน อยากให้เป็นอะไร…บอก พูดง่าย ๆ คือป้อนข้อมูลจากข้างนอกเข้าไป  แทนที่จะมองหาแรงบันดาลใจและสร้างแรงผลักดันออกมาจากข้างในคนคนหนึ่ง

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น ลูกชอบตะโกนเสียงดัง สิ่งที่ผู้ใหญ่หรือแม่ ๆ มักทำคือตะโกนกลับ และตะโกนกลับให้ดังกว่าเพื่อให้ลูกฟัง แต่วิธีที่เคยใช้ได้ผลกับลูกตอนยังเล็กคือลดเสียงพูดลงให้เบาที่สุด ทำปากขมุบขมิบแต่ไม่มีเสียงออกมา วิธีการนี้จะทำให้ลูกจะลดเสียงลงทันทีโดยสัญชาตญาน เพื่อจะได้ยินว่าเรากำลังพูดอะไรกับเขา และแน่นอน การทำให้เขารู้ว่าเราฟังจะทำให้เขาพูดเบาลง

การอ่านหนังสือก็เหมือนกัน แทนที่จะพร่ำบอกลูกให้อ่าน อ่านเถิดนะ อ่านเป็นสิ่งดี ขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำตัวเป็นนักอ่านก่อนเป็นสิ่งแรก อ่านให้เขาเห็น  อ่านให้เขาฟัง อ่านอะไรก็เล่าให้เขารู้ เขาอ่านอะไรก็ให้เขาเล่าให้ฟัง

ลูกอยากพูดได้เหมือนเรา เดินเหมือนเรา ทำทุกอย่างเลียนแบบเรา …การเลียนแบบคือวิธีการเรียนรู้ของคน  เมื่อเขาเห็นเราอ่าน เขาก็จะพยายามอ่านตาม เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ ที่เขาทำตามเรา

การเรียนก็เช่นกัน การพยายามพร่ำบอกว่าต้องเรียนเก่ง ๆ ต้องชอบเรียนนะ จะได้ไม่ต้องไปเลี้ยงควายขายพวงมาลัย ไม่ได้ผลเท่ากับช่วยให้เขาเห็นคุณค่าของความรู้  และความสำคัญของการมีความรู้ เมื่อเขาสงสัยอะไร คุณไม่จำเป็นต้องตอบเขาทุกอย่าง กระตุ้นให้เขาหาคำตอบด้วยตัวเองจากอินเทอร์เน็ต แล้วขอให้เขาเอาคำตอบมาบอกด้วย ฟังเขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ด้วยความสนใจ

แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยบ้างบางครั้ง และชมเชยเขาเมื่อเขาเล่าเรื่องที่รู้มาให้ฟัง ยกย่องเขาที่มีความรู้ ทำให้เขารู้สึกเป็นคนเก่งและฉลาดที่รู้เรื่องบางเรื่อง ให้เขารู้สึกเป็นคนสำคัญที่รู้สิ่งที่คนบางคนอาจไม่รู้ ถามคำถามเขาเยอะ ๆ แกล้งทำตัวเป็นคนโง่แล้วให้เขาอธิบาย พอเขาอธิบายก็แกล้งโง่ต่อ ทำเป็นไม่เข้าใจ กระตุ้นให้เขาหาวิธีอธิบายมากกว่าหนึ่งแบบ หาแบบที่สองและที่สาม ทุกครั้งที่คนอธิบายอะไร เขาจะลงลึกไปกับสิ่งนั้น

ที่สำคัญ…บอกเขาให้เข้าใจว่าจุดมุ่งหมายของการเรียนคือเพื่อรู้ ไม่ได้อยู่ที่สอบได้หรือมีคะแนนสูง

บอกให้เขาเข้าใจว่า อยากรู้อะไรก็ให้เรียนสิ่งนั้น ส่วนจะทำอาชีพอะไรอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน พอ ๆ กับอาจเป็นสิ่งเดียวกันก็ได้เหมือนกัน

โปรดเข้าใจว่าหากเขาเข้าใจแก่นสารของการเรียนรู้ …อะไรก็หยุดยั้งเขาไม่ได้ และการสนใจใฝ่เรียนรู้จะอยู่เขาไปตลอดชีวิต เขาจะไม่หยุดนิ่ง เขาจะไม่คิดว่าเขารู้ทุกอย่าง เขาจะมีความกระหายใคร่รู้ติดตัวให้เรียนรู้ต่อไปได้ตลอดชีวิต

อีกตัวอย่างคือเรื่องของผู้เขียน ในตอนรุ่น ๆ เขาเป็นเด็กเนิร์ดดี้ และเหมือนเด็กเรียนทั่ว ๆ ไป คนเหล่านี้จะมีสีหน้าและท่าทางแตกต่างออกไป เช่น อาจพูดเร็ว กระตุก มีสีหน้าไร้ความรู้สึก หรือแสดงอารมณ์อย่างเปิดเผย เวลาเดินก็อาจมีท่าทางแข็งทื่อ หรือไม่ก็กะร่องกะแร่งไม่สง่างาม แทนที่จะสอนบอกเขาทุกอย่าง ซึ่งหนีไม่พ้นต้องทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตำหนิ ไม่ดีพอ และอาจต้องพูดหลายครั้งในการปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นบ่นไป โดยไม่ได้อะไรขึ้นมา

สิ่งที่ทำคือกลับมามองว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงไม่เหมือนคนอื่น ๆ แล้วก็พบว่าเขาชอบเรียน เขาอ่านหนังสือมาก และคนเรียนเก่งก็มักจะมีเพื่อนน้อย ทำให้เขาไม่ค่อยได้มองคน เมื่อไม่ได้เห็นคนอื่นเขาก็จะมีบุคลิกภาพแตกต่าง ซึ่งยิ่งทำให้เพื่อน ๆ มองเขาเป็นตัวประหลาด และยิ่งทำให้ไม่มีเพื่อนเข้าไปอีก

วิธีปรับเปลี่ยนแก้ไขคือพาเขาไปดูหนัง นัดกันเป็นกิจวัตรทุกวันพฤหัส ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้เขาได้เห็นคน แต่ยังได้สัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะทางอารมณ์ความรู้สึก แม้จะเป็นประสบการณ์มือสองก็ตาม และยังช่วยให้เขาได้มีเวลาพักจากการเอาแต่เรียนไปด้วยในตัว  ผ่านไปปีหนึ่ง นอกจากเขาเริ่มมีบุคลิกภาพกลมกลืน ไม่แปลกแยก เขายังเป็นคนสนใจแต่งตัวมากขึ้น และเติบโตเป็นชายหนุ่มที่ได้รับคำชมเสมอ ๆ ว่าแต่งตัวดี และมีท่าทางสมาร์ท สง่างาม …โดยไม่ต้องสอนบอก

เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ผ่านตาเรื่องราวของ Jim Twik ซึ่งเป็นโค้ชสมอง หรือ Brain Coach ผู้โด่งดัง หาติดตามชมได้ในยูทูป

เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับชายผู้นี้มีอยู่ว่า ในตอนยังเป็นเด็กเล็กคุณจิม ประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะ หลังจากนั้นแกก็มีปัญหาในการเรียนรู้เรื่อยมา แกอ่านแต่จำอะไรไม่ค่อยได้  เรียนแต่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ช้า เวลาผ่านไปพร้อมกับความทุกข์ทรมาณสาหัสที่จะสอบผ่านแต่ละชั้น

วันหนึ่งเพื่อนสนิทก็ชวนไปแกนอนค้างบ้าน ที่นั่นแกได้คุยกับพ่อของเพื่อน ผู้ซึ่งพาเขาเดินชมห้องสมุดที่บ้าน และบอกเขาว่าทุกอย่างอยู่ในหนังสือ เขากลับมาอ่านมากขึ้น  อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม  เขาจำอะไรไม่ค่อยได้ และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ช้า แต่ในเวลาว่างจิมมักอ่านหนังสือคอมมิค และเรื่องราวโปรดปรานของเขาคือเหล่าเอ็กซ์เมน ซึ่งทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาว่าตัวเขาเองก็เป็น Mutants หรือมนุษย์กลายพันธุ์ เป็นมนุษย์ที่แตกต่างและมีพลังวิเศษ

ทั้งเรื่องห้องสมุดของพ่อเพื่อนและเอ็กซ์เมนที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลยกลายมาเป็นแรงบันดาลใจของเขา จิมเริ่มอ่านทุกอย่างที่หาได้เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ตั้งแต่กลไกการทำงานทางฟิสิกส์ เคมี และชีวภาพ การประมวลความเข้าใจตั้งแต่ด้านโภชนาการ การทำแบบฝึกหัดกระตุ้นสมองใช้ความคิด การออกกำลังกายหลายอย่างที่ช่วยให้สมองกระฉับกระเฉง ทำให้จิมสามารถพัฒนาศักยภาพของสมองที่อ่อนด้อยของเขาขึ้นจากใกล้ศูนย์ถึงพัน

เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยเร็วกว่าคนอื่นด้วยผลการเรียนดีเลิศ เขียนหนังสือ Best Seller ออกมาหลายเล่ม เป็นนักพูด เป็นยูทูบเบอร์ที่มีคนติดตามหลายล้าน เปิดศูนย์การเรียนรู้ชื่อ Twik Learning ที่ช่วยพัฒนาความจำและศักยภาพการคิด

สิ่งที่ผลักดันเด็กชายซึ่งมีปัญหาทางการเรียนรู้ให้กลายมาเป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดในโลก ไม่ได้มีแค่วิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่ความใฝ่รู้เท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ห้องสมุดของพ่อเพื่อนกับซุปเปอร์ฮีโร่กลายพันธุ์  คือแรงบันดาลใจและแรงผลักดันจากภายในต่างหาก ที่ทำให้เขากลายมาเป็นคนที่เขาอยากเป็น

ในฐานะพ่อแม่ เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าการเติบโตที่แข็งแกร่งต้องเกิดขึ้นจากภายใน และการสอนทุกอย่างจากข้างนอกเข้าไปโสตหนึ่งก็สามารถเป็นการปิดกั้น และที่สำคัญคืออาจไม่สร้างผลเลิศ