ความเพิกเฉย - Decode
Reading Time: < 1 minute

ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม

วีรพร นิติประภา

สองวันก่อนเผอิญไปเห็นภาพผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ราว ๆ สามสี่คน พากันคุกเข่าเรียงกันก้มกราบกับพื้นแทบเท้าชาวบ้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้  ทุกคนใส่เสื้อแจ็คเก็ตของพรรคดูภูมิฐาน มีพวงมาลัยดอกดาวเรืองแขวนที่คอพร้อยอะร้าอร่าม ข้างชาวบ้านก็เห็นได้ชัดว่าสามัญเป็นราษฎรเต็มขั้นที่รายได้ไม่มาก

…ช่างเป็นภาพที่ตรงตรึงใจเหลือเกิน 

แค่ภาพนักการเมืองสุภาพกับประชาชนก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักอยู่แล้ว และแทบไม่ได้เห็นในยามปกตินอกจากฤดูกาลหาเสียง การถึงกับก้มกราบกับพื้นยิ่งให้ความรู้สึกเหนือจริงขึ้นไปอีก จนดูราวกับไม่ใช่เรื่องจริง  แต่เป็นซีนหนังกึ่งล้อเลียนกึ่งตลกประชดประชดมากกว่า 

พอนึกว่านี่คือการหาเสียงก็อดนึกไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับประชาชนล้วนข้องเกี่ยวกับคำว่าเสียง  …หาเสียง ขอเสียง คะแนนเสียง จำนวนเสียง ผู้มีสิทธิมีเสียง ออกเสียง ไปจนในที่สุดประชาชนก็ต้องออกมาส่งเสียง เรียกร้อง

แต่เรื่องประหลาดพิสดารที่สุดที่เกิดขึ้นในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาที่คนไม่ค่อยพูดถึงกลับกลายเป็นความเงียบ  ของรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ครอบครองเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

เกือบทศวรรษที่ผ่านมา เราชาชินกับการเห็นคนใหญ่คนโตบางคนออกมาพูดว่าไม่รู้ คำเดียวเมื่อถูกถามถึงวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ชาชินกับรัฐบาลที่ออกมาแถลงแค่ไม่กี่ประโยคเกี่ยวกับบางเรื่อง จากนั้นก็เงียบหายเป็นไป ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย

เงียบเป็นเป่าสากไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กหรือใหญ่ ระดับท้องถิ่นหรือระดับภูมิภาค ตั้งแต่ปัญหายาเสพติดที่ขยายการระบาดไม่หยุดลงลึกถึงทุกกระเบียดของผืนแผ่นดิน  การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงของจีนที่จะปล่อยน้ำตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้ การมุมานะสร้างเขื่อนชายหาดที่เร่งการกัดเซาะ ทำลายสภาพแวดล้อม และยังคงสร้างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ฝุ่นหมอก PM 2.5 ที่เลวร้ายขึ้นทุกปี ราคาน้ำมัน การพุ่งทะยานของค่าครองชีพ ปัญหาปากท้อง เยาวชนจำนวนมากต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาหลังโควิด การล้มละลายของกิจการขนาดเล็กและกลางไร้มาตรการรองรับ การรุกล้ำของทุนและมาเฟียต่างชาติ การผูกขาด คอรัปชัน …สารพัด

เงียบจนสงัด กับปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เร้ารุมและลุกลามจนทำให้เรากลายเป็นประเทศที่มีวิกฤติหนักแทบทุกด้าน  ตรงไหนไม่เคยมีปัญหาก็มีปัญหาใหม่ ตรงไหนมีปัญหาเล็กก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ ตรงไหนมีปัญหาใหญ่ก็กลายวิกฤติ แต่สิ่งที่เราได้รับกลับมาจากรัฐบาลกลับเป็นการบำเพ็ญขันติ นิ่ง เงียบงัน ไม่ไหวหวั่น ประหนึ่งทองไม่รู้ร้อน

แล้วความเงียบคืออะไร แน่นอนคือเพิกเฉย แล้วเพิกเฉย เฉยเมย เฉยชา หูทวนลม เหล่านี้คืออะไร นัยยะหนึ่งของความนิ่งเงียบ ถ้าหูไม่หนวก…คือการไม่ให้ค่า ไม่สนใจ ไยดี เหมือนเวลาเดิน ๆ แล้วโดนหมาเห่าใส่ บางทีก็ไม่รู้กระทั่งว่ามันเห่าเรา และหรือสนใจว่ามาเห่าเราทำไม 

แต่หากเป็นคนกระทำต่อคนยังหนักหนาถึงขั้นสังหารรูปแบบหนึ่ง ถึงขั้นริบและปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของอีกฝั่งด้วยซ้ำ มันคือการทำให้ไร้ตัวตน เช่นเดียวกับที่เราทำกับคนที่เราเกลียดมาก ๆ ด้วย ไม่ฟัง ไม่เห็น มองผ่านราวกับคนคนนั้นเป็นอากาศธาตุ ขนาดนั้น

แล้วประชาชนตาดำ ๆ อย่างเราไปทำอะไรให้พวกคนใหญ่คนโตเหล่านี้หรือ ในฐานะประชากรผู้เสียภาษี …รัฐบาลมีสิทธิอะไรที่จะเพิกเฉยกับปัญหาและความยากลำบากของเรา กล้าดีอย่างไรที่ทำเฉยเมยกับเรา กระทั่งเมื่อประชาชนทนไม่ไหวออกมาส่งเสียง รวมตัวเรียกร้อง  แทนที่จะออกมาคุยกับเรา ฟังเรา บอกเราว่าจะทำอย่างไรให้เรา รัฐบาลที่ผ่านมาก็กลับส่งกองกำลังมาคุม และจับเด็ก ๆ ของเราไปอย่างป่าเถื่อน กระชากลากถูก ทุบตี  สำรากขู่ ยิงแก๊สเข้าลูกนัยน์ตา

แม้แต่สื่อต่าง ๆ ที่เคยเป็นกระบอกเสียง ซึ่งแปลว่าเครื่องขยายเสียงของประชาชนมาโดยตลอด มาบัดนี้ก็กลับเงียบใบ้ไปด้วยกัน

ไม่มียามไหนที่บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเท่ายามนี้  โปสเตอร์หาเสียงเกลื่อนเมืองเผยให้เห็นใบหน้าผู้สมัครนับร้อย ๆ ที่ฉาบรอยยิ้มอบอุ่น บางภาพยังเห็นบางหัวหน้าพรรคสวมกอดคนยากจนประหนึ่งญาติ รถกระจายเสียงแผดดังสุดเดซิเบลแล่นขวักไขว่อึกทึกครึกโครมทุกหนทุกแห่ง

แล้วไหนจะภาพก้มกราบกับพื้นอันตราตรึงใจไม่รู้วายที่ถูกแชร์ทั่วโซเชียลไม่รู้กี่หมื่นครั้งนั่น

แค่จะเตือนความจำอีกครั้งแค่นั้นเอง ว่าอย่าลืมยามพวกเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการ ใส่สูทราคาเรือนหมื่นเข้าไปนั่งเก๊กท่าในสภา และกลายร่างเป็นคนละคน พูดจาห้วนห้าวกรรโชกบนโพเดียม หรือเฉยชาเงียบใบ้ไม่รู้ไม่ชี้ราวกับประชาชนไม่มีตัวตน ไม่กระทั่งโผล่มาให้เห็นหน้าเวลาประชาชนหวาดกลัว น้ำท่วม แก๊สรั่ว กราดยิง โควิดระบาด ไม่สนใจปัญหาไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เรื้อรัง และกุลีกุจอทำแต่เรื่องใช้จ่ายงบประมาณเพื่อผลประโยชน์โดยไม่สนใจความจะเป็นเร่งด่วน

จำให้แม่น รำลึกให้ขึ้นใจว่าใครเคยทำอะไร

และอย่าเลือกกลับมาใหม่อีก