ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม
วีรพร นิติประภา
เราเป็นประเทศที่ผู้ปกครองทุ่มเทมากมายมหาศาลกับการศึกษาของลูกหลาน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง หลายคนย้ายภูมิลำเนาเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่กินไม่ใช้ เพื่อให้ลูก ๆ ได้รับการศึกษาที่ดี แต่ข่าวคราวเลวร้ายที่ออกมาบ่อยครั้งกลับน่าวิตก จนอดคิดไม่ได้ว่าการศึกษาที่เราทุ่มเทเพื่ออนาคตลูกหลานนั่นแหละที่เป็นตัวทำลายพวกเขาเสียเอง
เริ่มตั้งแต่ความปลอดภัยซึ่งต่ำมากในตามโรงเรียนต่าง ๆ มีตั้งแต่ปล่อยให้ประตูเหล็กล้มทับนักเรียนเล็ก ๆ ไฟตู้กดน้ำรั่วดูดนักเรียนเสียชีวิต ถูกพี่เลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนก่อนวัยเรียนทารุณกรรมเด็ก กระทั่งเด็กระดับอนุบาลถูกครูตบตี ด่าทอหยาบคาย ทำร้ายบาดเจ็บ ครูเลินเล่อลืมทิ้งขังเด็กเล็กเอาไว้ในรถโรงเรียนจอดกลางแดดทั้งวันจนเสียชีวิต ไปจนถึงการถูกล่วงละเมิดทางเพศในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ลวนลามไปจนถึงข่มขืนโดยเพื่อนนักเรียนด้วยกันและที่น่ากลัวกว่านั้น คือโดยครูบาอาจารย์ รวมถึงการบูลลี่ต่าง ๆ ที่บ่อยครั้งครูเองนั่นที่เป็นหัวโจกเสียเอง
พูดง่าย ๆ คือเราปฏิบัติกับเด็ก ๆ ราวกับพวกเขาไม่ได้เป็นมนุษย์
แต่ที่แย่และมักถูกมองข้ามนอกเหนือจากการบริหารจัดการคือตัวระบบการศึกษาเอง เราเคยหยิบยกเรื่องชั่วโมงเรียนที่มากเกินไปขึ้นมาถกเถียงกันอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็เงียบหาย ลืม ๆ กันไป เราเคยตั้งคำถามว่าบางวิชาอย่างลูกเสือและเนตรนารียังจำเป็นอยู่อีกหรือไม่ ทำไมภาษาอังกฤษของเด็กไทยถึงแย่ขนาดนี้ ทำไมเราถึงไม่มีความเข้าใจคณิตศาสตร์ดีพอ บ่อยครั้งที่เราพูดถึงการเรียนกวดวิชาว่าทำไมเราถึงจะต้องเสียเงินเพิ่มแพง ๆ ให้ลูกหลานเรียนเพิ่มอีก ทั้ง ๆ ที่มีโรงเรียนสอน ทำไมโรงเรียนถึงยังไม่ดีพอ ทำไมถึงต้องริบเอาเวลาพักผ่อนเล่นสนุกของเด็ก ๆ ไปอีก ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่แล้วว่าเด็ก ๆ แทบไม่มีเวลาเหลือทำอะไรนอกจากเรียน เรียน และเรียน ทั้งที่เราก็ได้เห็นภาพเด็ก ๆ โดยเฉพาะใน กทม.กินข้าวนอนหลับรวมทั้งทำการบ้านกันไปในรถบนถนน จราจรติดขัดทั้งเช้าเย็นจนเป็นภาพชินตา
ใช่ แล้วก็การบ้าน…ทำไมถึงต้องมากมายมหาศาลขนาดนั้น ถมทับจนราวกับครูอาจารย์ทั้งหลายสะใจเหลือล้นที่เห็นเด็ก ๆ ทำการบ้านหนักกันจนไม่ต้องหลับต้องนอน จนมือไม้ง่อยหงิก จนข้อสุดท้ายปลายนิ้วกลางปูดเป็นเม็ดแข็ง ๆเพราะจับดินสอมากเกินไป เมื่อไม่กี่วันมานี้ยังเห็นข่าวน้อง ม.2 ต้องทำการบ้านส่งครูที่โรงเรียนมากถึง 30 ชิ้นจนล้มป่วย แพทย์ตรวจพบสมองบวม จากการพักผ่อนน้อยและความเครียด
นี่ยังไม่รวมกฎระเบียบที่เข้มงวดจนราวกับโรงเรียนดัดสันดานไม่ก็คุกตาราง ควบคุมราวกับเป็นคนทำความผิดมาตลอดเวลา ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมรองเท้า ไปยันหมอบคลานขนานตัวไปกับพื้นเหมือนหมาแมว ถูกทำร้ายจิตใจสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่ดุว่าหน้าชั้น ประจานหน้าเสาธง พูดจาส่อเสียดหยาบคาย ถูกกดให้เป็นประชากรชั้นสองชั้นสามในโรงเรียน…ห้ามใช้ลิฟต์ครู ห้องน้ำครู ห้ามเดินสวนครู สบตาครู สั่งให้ทำอะไรงี่เง่าแค่ไหนก็ต้องทำ ยืนเข้าแถวตากแดดตากฝน วิ่งวนรอบสนามจนหัวใจวายล้มก็มี แล้วไหนจะคอยจ้องริบข้าวของ กล้อนผม
ลองถามเด็ก ๆ ดูว่าพวกเขากลัวครูกันมั้ย…แค่ไหน และถามตัวเองต่อว่าทำไม ทำไมเด็ก ๆ ถึงจะต้องอยู่กับความหวาดกลัวเยี่ยงนั้น
เอาเถิด ครูบาอาจารย์จะวิปริตซาดิสท์ขนาดไหน โรงเรียนจะบ้าบออย่างไร กระทรวงศึกษาจะไร้ความสามารถอย่างไร คำถามกลับเป็นว่าพ่อแม่เป็นอะไรกัน ทำไมคุณถึงยอมให้คนที่คุณรักที่สุดในชีวิตเติบโตในสภาพนี้ แบบนี้ ทำไมถึงปล่อยให้เวลาที่ดีที่สุดของชีวิตลูกถูกริบหายไปกับอะไรแบบนี้
เคยหันมองดูลูก ๆ ของเราเต็มตาจริง ๆ บ้างหรือไม่ เคยถามเขาบ้างไหมว่ามีความสุขอะไรกับใครบ้างไหม เคยสนใจไหมว่าคนจะเป็นอย่างไรเมื่อเริ่มต้นชีวิต แต่กลับพบว่าการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องไม่สนุกเลย เยาวชนของเราจะเติบโตไปเป็นแบบไหนจากถูกทำร้ายร่างกายจิตใจ และอยู่ในวังวนของความหวาดกลัวตลอดเวลานานยี่สิบกว่าปีเยี่ยงนี้
ขอโทษนะ แล้วลองมองออกไปที่ถนน ชุมชน ตลาด ห้าง…เอาแค่รอบ ๆ ตัวก็พอ แล้วยอมรับความจริงเถิดว่าเราไม่ได้เป็นประชากรที่มีระเบียบวินัย และกระทั่งมีความเคารพผู้อื่นหรือเคารพกฏหมายแต่อย่างใดเลยด้วยซ้ำ
สิ่งต่าง ๆ ที่เด็ก ๆ ต้องเผชิญที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้น ทุกขเวทนาล้านแปดที่เด็ก ๆ ต้องผจญมาตลอดชีวิตวัยเยาว์ของเขาไม่ได้สร้างเขาให้เป็นคนดี มีวินัย มีความสนใจใฝ่รู้ มีสติปัญญา หรือกระทั่งมีศีลธรรมสูงกว่า เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในโลกนี้
เกิดอะไรขึ้น ?
ทุกหนทุกแห่งบนแผ่นดินนี้ล้วนสะท้อนโครงสร้างอำนาจนิยมและเอาแต่พวกพ้องของประเทศ เรื่องมันก็เท่านั้นเอง ทุกอย่างถูกถ่ายทอดทับทบลงมาเป็นทอด ๆ และกดทับหนักหนาที่คนที่อยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อำนาจ ซึ่งเป็นคนที่เปราะบางที่สุด…เด็ก ๆ ลูก ๆ ของเรา
พ่อแม่ก็ถูกบ่มเพาะมาจากระบบเดียวกัน และแน่นอนเห็นดีเห็นงามตาม วาดหวังว่าลูกจะเติบโตขึ้นเป็นคนดีมีความสามารถ โดยไม่ยอมมองดูข้อมูล พิจารณาตัวเลขวัดผล โดยไม่ยอมมองโลกที่ถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าในความเร็วแสง ด้วยสติปัญญา ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ความริเริ่ม…แก่นสาระสำคัญของโลกยุคใหม่ที่เราทุ่มเทภาษีและเงินทองมากมายลงไปเพื่อทำลาย…ผ่านสิ่งที่เรียกโก้ ๆ ว่า โรงเรียน
และหากเรามองไปข้างหน้าอีกสิบหรือยี่สิบปี…เมื่อโลกทั้งโลกถูกเชื่อมสานเป็นโลกเดียวเสร็จสมบูรณ์ เด็กไทยที่ถูกบ่มเพาะทำร้ายให้หวาดกลัว ก้มหน้าไม่กล้าสบตาผู้ใหญ่ ไม่กล้าพูด กล้าถาม กล้าเถียง ไม่มีความมั่นใจในอะไรสักอย่างไม่ว่าเรื่องอะไรจะอยู่ในโลกใบนี้แบบไหน
เราไม่ได้เลี้ยงเด็ก ๆ ให้มีชีวิตอยู่ในวันนี้ห้วงเวลานี้ เราเลี้ยงเขาเพื่อที่เขาจะเติบโตมีชีวิตอยู่ในอนาคต แต่เรากลับยังเลี้ยงเขาด้วยระบบอำนาจนิยมที่ถูกคิดค้นขึ้นในห้วงเวลาสร้างชาติหลังสงครามโลกเมื่อหกสิบเจ็ดสิบปีก่อน
การเลี้ยงดูที่ล้าหลัง ไม่ให้คุณค่า ไม่ให้ความเคารพเขาเฉกเช่นเป็นมนุษย์เต็มคนของเราจะหล่อหลอมพวกเขาให้เป็นได้แค่ชนชั้นแรงงานที่ไม่มีความคิด ความภาคภูมิในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ในโลกที่ฉลาด เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ที่มาจากการพูดคุยถกเถียงอย่างกล้าหาญ
เรื่องนี้จำเป็นต้องถูกหยิบยกมาพูดคุยกันให้หนัก และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงนานแล้ว