ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม
วีรพร นิติประภา
“กฎแห่งกรรมมีจริงหรือไม่” เป็นคำถามที่ปรากฏบนฟีดในโซเชียลมีเดียกลางดึกคืนหนึ่ง
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำเช่นไรไว้ก็ได้กลับมาเช่นนั้น กฎแห่งกรรมเป็นกฎแก่นสำคัญของพุทธศาสนาที่เข้าใจง่ายที่สุด สอดคล้องกับสามัญสำนึกมากที่สุด สมเหตุสมผลที่สุด เป็นสัจธรรมที่สุด
และคนไทยเมืองพุทธเองก็เข้าใจ ยอมรับ กระทั่งพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ตลอดเวลา “ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้” เพื่อแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา “กรรมตามทันละนั่นเห็นมั้ยเล่า” เพื่อแสดงความสมน้ำหน้าสะใจแบบไม่ให้ตัวเองต้องดูไม่ดี เมื่อยินดีในความตกต่ำของผู้อื่น “คอยดูนะ สักวันหนึ่งมันก็ต้องได้รับกรรม” เพื่อแสดงความอาฆาตกับด่าแช่งไปในคราวเดียวกัน ฯลฯ
แต่แล้วทำไมเราถึงต้องถามคำถาม เปรย พูด บ่น ว่ากฎแห่งกรรมมีอยู่จริงหรือไม่ ทำไมถึงมีคนทำไม่ดีแต่ได้ดี ทำไมถึงมีคนทำดีกลับไม่ได้ดี หรือว่ากฎแห่งกรรมนี้จะไม่มีอยู่จริง เป็นแค่เรื่องหลอกลวง เป็นแค่สิ่งสมมติที่ถูกพระศาสนากุอ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนทำความดี
แน่นอน กฎแห่งกรรมส่งผลทางใจอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่ทำเรื่องดี ๆ ย่อมมีความสุขมากกว่าคนทำสิ่งไม่ดี คนทำอะไรดี ๆ ก็ย่อมรู้สึกสงบ อิ่มเอมใจ ยิ่งกว่านั้นคนทำเรื่องดี ๆ ยังเป็นที่รักใคร่ ใคร ๆ ก็อยากคบหาเป็นมิตรสหาย อยากให้อยากทำสิ่งดี ๆ ด้วยเป็นการตอบแทน
ขณะคนกระทำความชั่วร้ายแม้อาจดูสบาย ซ้ำร้ายอาจถึงขั้นร่ำรวยพรั่งพร้อมอุดมสมบูรณ์กว่า แต่ก็ชัดเจนว่ามีความเห็นแก่ตัวเป็นสารตั้งต้นนั้น ยากที่จะเป็นคนมีความสุขได้ วัน ๆ ก็คอยจ้องแต่จะเอาเปรียบ คดโกง ทำร้าย ทำลายคนอื่น ผู้คนก็จะทั้งเกลียดทั้งกลัว มิตรดี ๆ ก็ไม่มี มีแต่มิตรชั่วร้ายกระหายโลภเสมอกันคบหา ยากจะสงบ ไหนจะต้องคอยหวาดว่าคนที่ไปเอาเปรียบเขาทำร้ายเขาไว้ จะหวนกลับมาเอาคืนแก้แค้นเมื่อไหร่ ไหนจะต้องคอยระแวดระแวงคนไม่จริงใจ และร้ายกาจพอกันที่รายล้อม
ในทางพุทธศาสนา กฎแห่งกรรมยังถูกใช้สอนเพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถสงบใจลงได้บ้าง ในยามชีวิตไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อถูกใครทำไม่ดีใส่และไม่สามารถจะเอาความ ผู้ถูกกระทำจะถูกสอนให้รอคอยกฎแห่งกรรมทำงาน และสามารถปล่อยทิ้งความขุ่นข้องหมองใจ ดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่ถูกครอบงำ ด้วยความโกรธแค้นอาฆาตชิงชัง
อีกทั้งยังช่วยให้คนสามารถสลัดความทุกข์ใจในยามยากลำบาก เมื่อนึกว่าปัญหาและกะพร่องกะแพร่งแร้นแค้นทั้งหลายล้วนเป็นผลจากการทำไม่ดีไว้ในอดีต ซึ่งคนทุกคนก็ต้องเคยทำสิ่งผิดพลาดกันมาบ้างทั้งนั้นไม่มากก็น้อย และถ้าชาตินี้ทำผิดไม่พอก็ขอให้คิดว่าอาจทำไม่ดีไว้ชาติที่แล้ว…ชาติไหนสักชาติ
แต่ผลเพื่อสงบสบายใจแต่แค่นั้นเพียงพอแล้วละหรือ
กฎแห่งกรรมยังมีนัยอื่น มันคือสิ่งยืนยันความยุติธรรม เช่นที่กล่าวไว้ในตอนต้น มันคือหลักธรรมที่สอดคล้องกับสามัญสำนึกอย่างที่สุดแล้ว ดังนั้นนับแต่เริ่มต้นอารยธรรมมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมก็ได้เรียนรู้แล้ว ว่าดินแดนไม่ว่าเล็กใหญ่ไพศาลแค่ไหน ชุมชนไม่ว่าจะหน่วยบ้าน หมู่บ้าน เมือง ประเทศหรืออาณาจักร หากไม่สามารถทำให้การทำดีได้ดีการทำชั่วได้ชั่วเป็นจริงได้ สังคมนั้นจะต้องถึงแก่กาลล่มสลาย
ความยุติธรรมค้ำจุนสังคม
หากปล่อยให้คนทำดีได้ชั่ว คนทำชั่วได้ดี สังคมจะมีแต่ความโกลาหลกับสงคราม เราจึงมีการให้รางวัล ปูนบำเหน็จ ยกย่อง เชิดชู ประกาศเกียรติคุณบุคคลที่กระทำคุณงามความดี ในขณะเดียวกันนั้นเรายังมีศาล กระบวนยุติธรรม มีเจ้าหน้าที่ที่จะทำงานสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ จับ ปรับ ขัง กระทั่งประหาร
ซึ่งมาในยุคสมัยใหม่การจำคุก ได้เปลี่ยนเป้าหมายจากการชดใช้ความผิดแต่อย่างเดียว ไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย เพื่อช่วยให้ผู้ทำผิดสามารถกลับมาอยู่ร่วมในสังคมได้อีกครั้ง โดยไม่ถูกผลักกลับไปทำผิดอีก ด้วยว่าครึ่งหนึ่งของการเป็นคนไม่ดีนั้น หากไม่มาจากความอดอยาก…ก็มาจากการความเหลื่อมล้ำด้อยโอกาส
ส่วนการประหารชีวิตก็งดเลิกไปในหลายประเทศ ด้วยว่าการเอาชีวิตหรือการตัดสินชี้เป็นชี้ตาย ไม่สามารถเป็นสิ่งตัดสินโดยมนุษย์ปุถุชน หากแต่ควรเว้นไว้ให้เป็นงานของพระเข้า รัฐบาลต้องไม่รับบทพระเจ้า โทษประหารจึงถูกปรับให้เหลือเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแทน…เมื่อพบว่าคนผิดไม่สามารถเปลี่ยนแปลง และอันตรายเกินกว่าจะปล่อยกลับออกมาอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
ไม่ว่ากฎแห่งกรรมจะมีอยู่จริง เป็นกฎของจักรวาลหรือไม่ ครึ่งค่อนของเรื่องนี้กลับอยู่ที่ความพยายามของมนุษยชาติ ที่จะทำให้มันประจักษ์เป็นจริงต่างหาก
หันมามองประเทศที่ตั้งคำถามถี่บ่อยขึ้นทุกวันว่า กฎแห่งกรรมมีอยู่จริงหรือไม่ จึงไม่ใช่สังคมปกติ ยิ่งเป็นประเทศพุทธที่บ่มเพาะสั่งสอนเรื่องกฎแห่งกรรมกันแพร่หลาย ยิ่งทำให้เห็นว่าเรามาถึงจุดอันตรายแค่ไหน และสุ่มเสี่ยงต่อความล่มสลายเพียงไร
เราเห็นการยกย่องเชิดชูคนที่ทุกคนตระหนักว่าไม่ใช่คนดี เราเห็นการตบรางวัลคนเพื่อผลประโยชน์อันเนื่องกันของหน่วยงานต่าง ๆ เราเห็นการเล่นพรรคเล่นพวกในหมู่ผู้มีอำนาจอย่างน่าละอาย ยิ่งกว่านั้นเรายังได้เห็นคนทำผิดลอยนวล สุขสบายมิหนำซ้ำยังได้ดิบได้ดีมีหน้ามีตา ขณะที่คนดี ๆ มากมายถูกกลั่นแกล้ง ถูกกดกำราบไม่ให้เติบโต และคนสุจริตมานะบากบั่นก็กลับแทบ ไม่อาจลืมตาอ้าปากและยากจน
การไม่สามารถธำรงกฎแห่งกรรมให้ทำงานได้ ไม่เพียงแต่ทำให้พุทธศาสนาซึ่งสนับสนุนแนวคิดนี้เป็นหลัก สูญเสียความเลื่อมใสศรัทธาในฐานะศาสนาแห่งตรรกะ และแนวคิดเป็นวิทยาศาสตร์ลงไป จนอาจเลวร้ายถึงขั้นพระศาสนาเสื่อมอีกด้วยซ้ำ ในทางหนึ่ง พุทธศาสนิกชนเองก็จำเป็นต้องเข้าใจ ว่าการทำบุญบริจาคเข้าวัดสวดมนต์แต่เพียงเท่านั้น ไม่สามารถทำนุธำรงพระศาสนาไว้ให้อยู่รอดได้หรอก เราจำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อให้กฎแห่งกรรมอันเป็นแก่นสารหลักของพระศาสนาทำงานเป็นจริงด้วย
ในแง่สังคม เมื่อความยุติธรรมไม่มี ทั้งสังคมก็จะถูกผลักดันให้พร่องคุณธรรมและเสื่อมศีลธรรมไปโดยธรรมชาติทันที คนจะถูกทำให้เชื่อว่าก็ในเมื่อทำดีไม่ได้ดี มิหนำซ้ำทำชั่วยังได้ดี ถ้างั้นก็ทำชั่วดีกว่า ขณะเดียวกันคนอีกส่วนก็จะดิ่งจมในโกรธแค้นอาฆาตชิงชัง ไม่เลิกรา ไม่จบสิ้น ยากมากที่สังคมจะมีความสงบสุข เติบโต เจริญรุ่งเรือง
ความสำคัญของคำถามที่ว่ากฎแห่งกรรมมีอยู่จริงหรือไม่ จึงไม่อยู่ที่มันมีคำตอบหรือไม่ หรือคำตอบที่ว่ามีจริงหรือไม่มี หากอยู่ที่การร่วมกันผลักดัน ทำให้กฎข้อนี้เป็นจริงและมีอยู่ให้ได้ต่างหาก