โครงสร้างแห่งความจำนน - Decode
Reading Time: < 1 minute

ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม

วีรพร นิติประภา

โครงสร้างของประเทศเราเป็นอำนาจนิยม 

แล้วก็ไม่ได้เป็นอำนาจนิยมแบบธรรมดา เรียกว่าสุดโต่งและยาวนานเลยทีเดียว ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็จะเห็นมีลำดับอำนาจ ลำดับขั้น ตำแหน่งแห่งที่ และชนชั้นกำกับอยู่ในทุกอณู น้อยสุดคืออาวุโส แค่อยู่รอดไม่ตายมาได้นานพอก็มีอำนาจเหนือแล้ว 

การมีอยู่ในทุก ๆ ส่วนของชีวิตของแนวคิดอำนาจนิยมนี่เอง ที่ทำให้ประชากรมองไม่เห็นว่าอำนาจนิยมเป็นความวิปลาสของโลกสมัยใหม่ นอกเหนือจากเห็นเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ยอมรับการถูกอำนาจริดรอนรังแก เรายังสรรเสริญกับส่งเสริมอำนาจที่ริดรอนเราให้เพิ่มขึ้นและให้ขยายขอบเขตออกไปเรื่อย ๆ เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าพื้นฐานความเป็นประชากรผู้เสียภาษีนั้นเท่าเทียมกัน และเป็นนายข้าราชการ ไม่ต้องพูดถึงความยากจนที่เป็นความผิดพลาดในการบริหารประเทศ ไม่ใช่เรื่องไร้ความสามารถหรือพยายามไม่มากพอ หรือไม่ใช่ผลบุญกรรมของเราจากชาติปางก่อน เรายอมให้รัฐมนตรีชี้หน้าเราว่าการ์ดตกและทำให้โควิด 19 ระบาด ทั้ง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาในการจัดการ เรายอมรับ ผอ.โรงเรียนที่สั่งซื้อเก้าอี้ที่ถูกครูคนอื่นนั่ง เราปล่อยให้ครูตีลูกของเรา จับลูกเรากล้อนผมเหมือนสัตว์เลี้ยง ด่าทอเสีย ๆ หาย ๆ เหมือนไม่ใช่คนด้วยความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ

ขณะเดียวกัน แม้แต่ตัวเราเองก็ยังทำผิดพลาดแบบเดียวกันกับครูโรงเรียน เราขึ้นเสียงกับลูก ใช้อารมณ์ดุว่าเขาตลอดเวลา เรากักบริเวณและยึดข้าวของเพื่อทำโทษเขา ที่สำคัญเรามองเห็นว่าเรามีสิทธิ์ นี่เป็นเรื่องถูกต้อง ดีงาม เราห้ามลูกไม่ให้อธิบาย ห้ามเถียงผู้ใหญ่  และถึงกับขู่เขาว่าจะไม่รักถ้าเขาดื้อ  

เราเตรียมความพร้อมให้เขาเติบโตเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเกรงใจไม่รู้จบ นบนอบคนมีตำแหน่งสูงกว่าในที่ทำงาน  ไม่ตรงไปตรงมากับผู้บังคับบัญชาต่อให้นายทำผิดคิดผิด  เราไม่พูด ไม่โต้แย้ง และปล่อยให้งานที่เราถูกจ้างมาทำเสียหายเพื่อรักษาน้ำใจ 

เราถูกสอนให้ทำตัวเป็นที่รักของนายมากกว่ามาทำงานให้เกิดประโยชน์

การไม่พูดไม่ส่งเสียงของเรายังทำให้เราเป็นประชากรที่ยอมจำนนได้อย่างน่าทึ่ง เรารถติดไปทำงานวันละหลายชั่วโมง เคยชินและคิดเอาเองว่าเป็นเรื่องแก้ไขไม่ได้ ในขณะที่ทั่วโลกแก้ไขปัญหานี้เสร็จจบกันไปหลายทศวรรษแล้ว 

น้ำท่วมเราก็ทน น้ำแล้งเราก็ทน คอร์รัปชันทนโท่เราก็ทน ทหารเบ่งเราก็ทน ตำรวจรีดไถเราก็ทน 

เราทนทุกอย่างมาตั้งแต่วันที่เกิดเติบโตในครอบครัวที่การใช้อารมณ์ถูกบอกว่าเป็นความรัก โรงเรียนที่ครูใช้อำนาจเป็นความหวังดี จากนั้นก็เข้าทำงานในที่ทำงานสังกัดราชการที่คนที่เป็นคนโปรดของนายได้เลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนโดยไม่สร้างผลงาน มีชีวิตอยู่ในสังคมที่มีแต่ปัญหา  ทั้งขยะล้น โสเภณี ยาเสพติด อาชญากรรม แต่มีห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในโลกนับสิบ ๆ แห่ง และเราไม่รู้สึกว่านี่เป็นอะไรที่ผิดประหลาดวิปลาส

การเรียนการสอนด้วยการคาดโทษและลงโทษของเรา ขู่ให้กลัวหงอ เป็นสิ่งที่ประเทศเจริญล้มเลิกไปตั้งแต่ยุคสร้างชาติหลังสงครามโลกแล้ว และเป็นความกลัวฝังลึกนี่เองที่กดขีดคั่นความสามารถในการแข่งขันของเราในโลกตกต่ำ ไม่แต่การสอนที่มุ่งแต่จะกำกับอำนาจและไม่เน้นวิชาการความรู้ อำนาจนิยมโดยตัวมันเองยังทำให้ความคิดสร้างสรรค์และการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ถูกทำลายลงไป ในศตวรรษที่โลกมองหาความสร้างสรรค์และนวัตกรรม คนจะมาลงทุนประเทศเราเพื่ออะไรในเมื่อเราไม่มีสิ่งที่เขามองหา 

เราเป็นหนึ่งในประเทศที่เด็กนักเรียนถูกครูข่มขืน ลวนลาม ล่อลวงหาประโยชน์ทางเพศมากที่สุดในโลก ไม่แต่นักเรียน แม้แต่สามเณรบวชช่วงสั้น ๆ ก็ยังโดนกระทำ แต่เราไม่เคยมองว่าการสอนเด็กให้ว่านอนสอนง่ายคือภัยอันตราย การสอนให้ใครบอกอะไรก็ทำตามคือต้นเหตุให้เด็ก ๆ โดนทำร้าย 

เราเลี้ยงเด็กด้วยความกลัว สอนเด็กให้กลัวครู กลัวพระ  บอกเขาว่านั่นคือคุณสมบัติของเด็กดี แทนที่จะสอนเด็ก ๆ เข้มแข็ง เท่าทัน และสามารถปกป้องตัวเองได้ในโลกที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่วิปริต เราไม่เคยสอนเขาให้ตระหนักในสิทธ์ความเป็นมนุษย์ของตน ไม่สอนเขาให้ไม่ยอมให้ใครทำอะไรกับเนื้อตัวได้ทั้งนั้น เราไม่เข้าใจกระทั่งว่าถ้าปล่อยให้ใครทุบตีด่าทอหยาบคายได้ ริบของกล้อนผมได้ คนคนนั้นก็จะข่มขืนลูกเราหรือแม้แต่ฆ่าลูกเราได้

ที่แย่กว่านั้นคือเมื่อมีเหตุขึ้น นอกจากเหยื่อจะไม่ได้รับความเป็นธรรม หลายโรงเรียนยังไกล่เกลี่ยพ่อแม่ให้ยอมความเพื่อรักษาหน้าตาชื่อเสียงของโรงเรียนอีกด้วย และกระทรวงศึกษาก็ไม่นำพาราวกับไม่มีเรื่องนี้เกิดเอิกเกริกในประเทศ และเราก็ยังมองเห็นแค่ครูเลว โดยมองไม่เห็นระบบเลว

…ระบบของอำนาจที่จะเลือกข้างผู้มีอำนาจเสมอ

ในต่างประเทศ เด็ก ๆ จะได้รับความเคารพในเนื้อตัว เสื้อผ้า หน้าผม ไม่มีปล่อยให้มาถอดเสื้อผ้าเปลือยเปล่าต่อหน้าผู้คนอย่างที่เป็นข่าวเกิดกับเด็กสี่ขวบที่โรงเรียนเมื่อเร็ว ๆ นี้ในประเทศนี้ เขาไม่ตี ไม่ใช้คำพูดรุนแรง ไม่บังคับในเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างทรงและสีผม เพราะนี่จะทำให้คนตกอยู่ในวังวนของอำนาจนิยม และโตขึ้นกลายเป็นประชากรด้อยคุณภาพ  

ที่สำคัญ ประชากรของเขาฉลาดกว่า มีศีลธรรมกว่า และมีวินัยกว่า เจริญทั้งทางวัตถุและจิตใจกว่า 

ไม่เพียงแต่การเรียนการสอนต้องได้รับการสังคายนา แต่ทั้งองคาพยพของสังคมจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ประชากรต้องได้รับการยอมรับทัดเทียมเสมอภาคกันก่อน เราถึงจะก้าวออกไปยืนเคียงข้างทัดเทียมผู้คนในโลกได้ อีกเรื่องที่เรามองข้ามคือสภาพแวดล้อม ในประเทศเจริญแล้วจะเห็นว่าพื้นที่ต่าง ๆ ถูกกำหนดให้เป็นของประชากรร่วมกันประมาณหนึ่ง หลายประเทศบริเวณหน้าอาคารตึกสำนักงานทั้งราชการและเอกชนก็มีกฏหมายบังคับเป็นพื้นสาธารณะ เป็นบริเวณที่ประชาชนหน้าไหนก็เข้าไปนั่งพักผ่อนได้ นอกจากจะจัดทำสวนสวยงามองค์กรบริษัทต่าง ๆ ยังแข่งกันดูแลสะอาดสะอ้าน และถือความพอใจมาใช้ของประชาชนเป็นหน้าตาของบริษัทหน่วยงาน 

ไม่เหมือนกรุงเทพที่อาคารต่าง ๆ ทั้งทำรั้วสูงใหญ่กดข่มทั้งมียามคอยไล่ มีความรู้สึกไม่เป็นมิตรกับประชาชนปรากฏในทุกที่ แม้แต่ตึกรามไม่มีชีวิตยังแสดงอำนาจ  ผู้คนทำงานข้างในก็ยิ่งบ้าอำนาจตาม จะบริษัทห้างร้านหรือสถานที่ราชการแม้แต่โรงพยาบาลก็ยังเต็มไปด้วยการวางอำนาจ ขึ้นน้ำเสียง แบ่งชั้นทั้งนั้น ประชาชนข้างนอกก็ยิ่งถูกกดทับ ยิ่งถูกกดทับยิ่งจำนน และเราก็มองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ายิ่งประชาชนถูกทำให้อ่อนแอลงไปเท่าไหร่ คอร์รัปชันก็ยิ่งเอิกเกริกเบิกบานเท่านั้น