ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม
วีรพร นิติประภา
เกือบทุกเคสที่ผู้หญิงถูกคนรักหรือคู่ชีวิตฆ่า พวกเธอเคยถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจมาก่อนหน้าแล้วหลายครั้ง
…หลายครั้งฝ่ายชายมีผู้หญิงอื่น พูดจาดูถูกเหยียดหยาม ตะคอกด่า ขุดคุ้ยความผิดพลาดในอดีตมาประณาม บังคับ ทำร้ายจิตใจ หลายครั้งเอาปืนจ่อ ขว้างของใส่ ตบตีฟกช้ำ หลายครั้งซ้อมหนักระดับบาดเจ็บจนถึงแอดมิดโรงพยาบาล หลายคู่นาน ๆ ครั้ง หลายคู่เป็นประจำรายวัน หลายรายฝ่ายหญิงขอเลิก …แต่แล้วก็กลับไปอีก วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนหลายหนเรื่องก็จบที่ความตาย ถ้าไม่ฝ่ายหญิงคิดสั้นก็ถูกฆ่า
…เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดผู้หญิงจำนวนไม่น้อยถึงทนและยอมทนมาจนถูกเอาชีวิต …ไม่ว่าจะตั้งใจหรือหลุดไม้หลุดมือก็ตาม เหตุใดการทำร้ายร่างกายโดยคนรักหรือสามีถึงไม่ถูกตระหนักว่าเป็นการพยายามฆ่า ทั้ง ๆ ที่หลายครั้งความตายก็เกิดจากการทำร้ายเมามันจนยั้งไม่อยู่และอุบัติเหตุ เหตุใดเราถึงยอมรับการทำร้ายกันในความสัมพันธ์ประหนึ่งสิ่งปกติธรรมดา
แพทเทิร์นประจำที่เกิดขึ้นหลังการทำร้ายคือฝ่ายชายจะขอโทษขอโพย โอ๋ เอาอกเอาใจ รวมทั้งอาจให้ข้าวของชดเชยด้วย เหนืออื่นใดคือทำให้เชื่อว่าเขาจะไม่ทำอีก และเขารัก…โดยเฉพาะการทำร้ายที่มีความหึงหวงเป็นปฐมเหตุ
แต่เหตุใดผู้หญิงถึงเชื่อ ว่าผู้ชายที่ทำร้ายเธอรักเธอ ทั้ง ๆ ที่เราทำร้ายศัตรูไม่ใช่คู่รัก ทั้ง ๆ ที่ทุกคนรู้ว่าการทำร้ายอยู่ตรงข้ามกับความรัก
เราต้องยอมรับก่อนว่าเป็นสังคมอำนาจนิยม …อย่างหนัก เรายกย่องคนในเครื่องแบบซึ่งก็คือผู้ครอบครองอาวุธ พละกำลังและอำนาจ และอำนาจนิยมก็ไม่จำกัดวงอยู่แค่นั้น แต่ยังแผ่ขยายไปทุกที่ของสังคมเต็มไปด้วยชนชั้นต่าง ๆ ที่อำนาจนิยมสร้างขึ้นตาม เรายกย่องคนรวยที่มีอำนาจเงิน เรายกย่องครูบาอาจารย์ที่มีอำนาจคุณวุฒิ เรายกย่องดาราที่มีอำนาจความนิยม
เรายกย่องคนที่มีบางอย่างเหนือกว่าไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ซึ่งชี้ให้เห็นด้านกลับของการเป็นสังคมกดเหยียดหมิ่นแคลนคนอีกโสตหนึ่งด้วย
สิ่งเหล่านี้ทำให้อำนาจนิยมเบ่งบานในทุกกระผีกริ้นของประเทศ ไม่เว้นบ้าน โรงเรียน และวิธีการเลี้ยงดูลูกหลาน ถึงขั้นยังสมาทานแนวคิด ’รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’ มาจนถึงทุกวันนี้ …ในโลกสมัยใหม่ โดยไม่ฉุกคิดว่าวลีนี้ฝังแนวคิดตรรกะบิดเบี้ยวในหัวเราเอง ว่าลูกหรือเด็กเยาวชนเป็นสัตว์ สอนด้วยคำพูดเหตุผลไม่รู้เรื่องต้องสอนด้วยทุบตีใช้กำลัง และยังแปลความหมายของ’ความรัก’เป็นความชอบธรรมที่จะทำร้ายคนอื่น รวมทั้งการทำร้ายยังถูกทำให้กลายเป็นความหวังดี
ไม่รวมค่านิยมที่สมาทานตาม ๆ กันมา ไม่ว่าจะ ’เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย’ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี’ ‘เลี้ยงลูกให้ได้อย่างใจ’ ที่กลายมาเป็นเป้าหมายการเลี้ยงดู โดยไม่มองเห็นอันตรายของแนวคิดที่ว่าเรากำลังเลี้ยงลูกให้กลายเป็น ’เหยื่อ’ ความรุนแรงและการหลอกลวง
หลายกรณีนี่ยังรวมทั้งการยอมทนหรือเลิกกันแล้วยังกลับไปของพ่อแม่เองที่ทำเป็นตัวอย่าง และทำให้เห็นการทำร้ายกันเป็นเรื่องปกติ หนักหน่อยรุนแรงนิดเป็นสิ่งที่ให้อภัยได้ ปรับปรุงแก้ไขได้ โดยมองข้ามความจริงที่ว่าการทำร้ายคือการใช้อำนาจ ขณะเดียวกันก็ลดทอนความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายลงด้วย และการลุแก่โทษะคือความบ้า วิปริต วิปลาส
ไม่เพียงแต่สังคมของเราจะยอมรับความวิกลจริตเป็นสิ่งปกติ เรายังสร้างคนบ้าที่ขาดความยับยั้งชั่งใจขึ้นมาด้วย ที่น่ากลัวกว่าการทำร้าย คือการที่เรามองไม่เห็นว่าการควบคุมทำร้ายเป็นการเสพติด เหมือนติดยา …หอมหวาน เคลิบเคลิ้ม เพลิดเพลิน น่าหลงใหล และจะไม่หยุดที่ครั้งเดียว หากจะเพิ่มขนาดและความรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ใช่ …เหมือนติดยา และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่มีคนตาย และเหตุใดผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นคนรักจึงไม่หยุดแค่ซ้อมทำร้าย
เมื่อเกิดเหตุผู้หญิงทำร้ายรุนแรงถึงชีวิตในหน้าสื่อ คำถามแรก ๆ ที่เรามักได้ยินคือ ‘ทำไมไม่รักตัวเอง’ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องพูดถึงในที่นี่
คนต้องถูกรักมากพอที่จะรู้สึกว่าเป็นที่รัก …เขาถึงจะรักตัวเองเป็น การเลี้ยงดูและดูแลดีไม่ได้แปลว่าเด็ก ๆ จะรู้สึกถูกรัก บางครอบครัวมีสตางค์ มีพี่เลี้ยงดูแล แต่ไม่เคยให้เวลากับลูก ลูกก็ไม่รู้สึกว่าเขาถูกรักและเป็นที่รักหรอก เพราะพี่เลี้ยงไม่ได้รักเขา หรือหากเราเลี้ยงเขาเข้มงวด ด่าว่าเหยียดหยามบุลลี่ทุบตีให้เขาเจ็บปวด เด็กก็จะมองเห็นความรักและความเจ็บปวดเป็นสิ่งเดียวกัน กรณีนี้ไม่เพียงแต่เขาจะโตขึ้นจำนนต่อคู่ที่ทำร้ายเขา เขายังอาจมองหาคู่ที่ชอบทำร้ายเขาด้วย
เราจำเป็นต้องเข้าใจการเลี้ยงดูเด็ก ๆ ให้มากกว่านี้ เราต้องเลี้ยงเขาด้วยความรักและเคารพในความเป็นมนุษย์ของเขา …อย่างไม่มีเงื่อนไข เราต้องเลิกบังคับ กดดัน ทำร้าย และเข้าใจว่าหน้าที่ของบุพการีไม่ใช่การสร้างคนดี หรือฝึกสัตว์เก่งในละครสัตว์ แต่คือการเลี้ยงดูคนให้เติบโตมีสุขภาพทั้งกายใจ มีทัศนะใฝ่รู้ที่จะพาเขาไปทุกที่ มีตรรกะเที่ยงตรงไม่บิดเบี้ยว
สิ่งเดียวที่เราสร้างได้ไม่ใช่เขาในแบบที่เราต้องการ แต่คือความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และมิตรภาพที่ทรงคุณค่า …ชั่วชีวิตของเขาและของเรา
อีกคำถามที่ได้ยินคนพูดกันมากก็คือ ‘อยู่กับมนุษย์ท็อกสิกทำไม ทำไมไม่เดินออกมา’
เราจำเป็นต้องสอนให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ให้ปฏิเสธสิ่งที่ไม่ชอบ …แต่สังคมเรากลับบังคับเด็ก ๆ ให้สวัสดีคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้า ปล่อยให้ใครไม่รู้อุ้มเขาจนร้องไห้จ้า บอกเขาให้ทนทำตามกฏเกณฑ์ไม่ดีพอที่เขาจะเข้าใจและทำเองโดยสมัครใจ ไม่พาเขาไปลาออกจากโรงเรียนที่มีครูใจร้าย ไม่ให้เขาตอบโต้สมเนื้อสมน้ำกับญาติ ๆ ที่พูดไม่ดีหรือเล่นแรงกับเขา เราสอนเขามาเองตลอดให้ยอมทน
ยิ่งกว่านั้น เราเองก็ต้องไม่ทำร้ายเขา หรือปล่อยให้ครูหรือใครทำร้ายเขา …ทั้งกายและใจ และบอกเขาให้อดทน เพราะเราอยากให้เขาดี เพราะเขาเป็นเด็กดี เพราะคนที่ทำร้ายเขาดี หรือครูที่โรงเรียนดี ไม่ เราต้องสอนเขาว่าคนดีไม่ทำร้ายคนอื่น คนทำร้ายคนอื่นคือคนเลว
และเป็นเราที่จะไม่ทำร้ายเขา เป็นเราปกป้องพาเขาออกมาจากคนและสถานที่ที่ทำร้ายเขา เป็นเราที่จะสอนเขาว่ามีสิ่งอื่น ที่อื่น คนอื่นที่ดี และดีกว่านี้อีกมากมาย เขาต้องไม่ยอมทนสิ่งที่ไม่ใช่ คนที่ทำร้ายให้เจ็บปวด
โปรดเข้าใจว่าหลุมพรางของชีวิตก็ไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์พิษเท่านั้น มันมีสิ่งอื่นอีกมากมาย ทั้งยาเสพติด เหล้า การพนัน เพื่อนฝูง ศัลยกรรม หน้าตาชื่อเสียง งาน อำนาจ ถ้าเราไม่สอนคนให้ว่าเข้มแข็ง หนักแน่น เขาจะจำนน เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่สามารถเลือก เขาจะเป็นเหยื่อทุกอย่าง ตกทุกหลุมพราง และไม่สามารถออกมาจากหลุมเหล่านั้นได้
มันคือพ่อแม่และสังคมทั้งหมดร่วมกัน ที่จะต้องช่วยรักษาชีวิตและปกป้องผู้หญิงจากการถูกทำร้าย
…น้องจีจี้ไม่ใช่รายแรก และจะไม่ใช่รายสุดท้ายสุดท้าย…ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนวิธีคิดในการเลี้ยงดูเด็ก ๆ