ผู้แพ้ในเพลงชื่อยาว
[ดวงดาวเดียวดาย] ประพันธ์ สุนทรฐิติ
ฝูงนกบินวนอยู่เหนือผิวแม่น้ำเจ้าพระยา เราจ้องมองมันอยู่นานสองนาน ท่ามกลางรสชาติของกาแฟที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เราเห็นนกบางตัวพยายามโฉบร่างของมัน ขยับปีกตีกายเริงร่าอยู่เหนือผิวน้ำ สักพักก็ทะลึ่งร่าง พุ่งโจนทะยานขึ้นไปบินวนอยู่บนท้องฟ้า จะว่าไปแล้ว นกทุกตัวก็แลเหมือนว่ามันจะมีลักษณะรูปร่างที่คล้าย ๆ กัน คือมีปีก บินได้ เห็นจะว่าต่างกันอยู่บ้าง ก็ตรงที่ขนาดตัว ซึ่งมีขนาดที่เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง อีกอย่างเห็นจะเป็นความว่องไว แต่อย่างว่า นกก็คือนก แม้จะบินได้อย่างอิสระเสรี แต่ทว่ากลับกัน ในท่ามกลางความอิสระเสรีนั้น นกก็ยังคงต้องระวังภัย จากนกที่ตัวใหญ่กว่ามันอยู่ดี
นั่นล่ะ เผลอแป๊บเดียว มารู้สึกตัวอีกที ความคิดของเรา ก็พาจิตของเราติดปีก โผบินไปพร้อมกับจินตนาการอันกว้างไกลแสนไกล แน่ล่ะ เราเป็นคนหนึ่ง ที่มักจะชอบมานั่งปลดปล่อยอารมณ์ ขจัดทิ้งคราบของบางเรื่องราวในความทรงจำ ชำระล้าง ขัดเกลาความใคร่รู้ ความสงสัย รวมถึงทบทวนถึงความผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ผ่านการตั้งคำถามคำตอบตัวเอง
“ ตอนนี้นายคิดอะไรอยู่หรือเพื่อน “
เรากำลังคิดถึงการพาใจกลับมาอยู่กับตัวเองจริง ๆ
“ แปลกนะ แปลกตรงที่เรามักเตลิดเปิดเปิงความคิดของตัวเราเอง ในยามที่ตัวเองรู้สึกว่า ตนกำลังจมอยู่ท่ามกลางความทุกข์ หรือแม้แต่ความสุข เรามักจะแออัดความรู้สึกต่าง ๆ เข้าไปในความคิด ขณะเดียวกัน เราเองก็กลับต้องการที่จะหลุดพ้น จากเศษส่วนที่ขาดวิ่นในอีกด้านของการรับรู้ เราเลือกที่จะพันธนาการบางสิ่งเอาไว้ ไม่ให้มันหลุดหายออกไป จากความรู้สึกของเรา เพียงเพราะแค่ว่าเรา รู้สึกเสียดายมัน “
ที่เรายังคงเจ็บปวด เพราะเรายังคงมีความรู้สึก ต่อสิ่งที่เรารู้สึก มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับใครบางคน ยิ่งถ้าหากจะให้เขาลืม หรือละทิ้งบางเรื่องราวไปเสีย ภายในหนึ่งวัน หรือแม้แต่หนึ่งปี
“ บางคนกอดเก็บความทรงจำเอาไว้เนิ่นนาน เพียงเพราะเขายังคงมีความเชื่อว่า อดีตยังคงหันมาส่งกลิ่นหอมหวาน ทักทายเขาอยู่เสมอ ในทุกคราวครั้งที่เขาหวนกลับไปนึกถึงมัน “
แม้ว่าบทสรุปสุดท้าย บางสิ่งในใจนั้น จะหวนกลับมาเป็นเสมือนดังยาพิษ ฆ่าช่วงเวลาชีวิตของเขาก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่า เขาเองจะยินยอม พร้อมใจ ที่จะสละเสี้ยวเวลาหนึ่งจำนนให้แก่มัน
ยอมปล่อยผ่าน ให้เรื่องบางเรื่อง เป็นไปดังเช่นเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าเรื่องนั้น จะดีแค่ไหน หรือเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม
“ ผมไม่ไหวแล้วจริง ๆ ไม่ไหวที่จะกอดเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา หอบรวมมันเอาไว้ในความทรงจำ “
เนื้อความในกล่องข้อความค้างคืนของเมื่อคืนวาน ว่าด้วยเรื่องราวของการแสวงหาหนทาง การพยายามที่จะลืมใครบางคนในความทรงจำ
“ ทุกยามที่ผมหวนกลับไปนึกถึง มันเหมือนมีมีดโกน กรีดซ้ำ ย้ำลงไปที่เนื้อหนังหัวใจของผม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ๆ ในใจ”
เราสัมผัสได้ทันที ผ่านตัวหนังสือที่เขาบอกเล่า ว่ามันช่างแสนจุกปน และจบเจ็บปวดร้าวทรมาน
“ ผมจะผ่านมันยังไง พี่พอจะมีวิธีอะไรบ้างไหม ที่จะทำให้ผม ลืมเลือนเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นนี้ได้ “
เสมือนดังเป็นคำถาม ซึ่งแม้แต่เราเองก็เคยพยายามที่จะค้นหาคำตอบ แน่ล่ะ ความคิดเองมีคุณสมบัติพิเศษ สามารถที่จะทะลุทะลวง ช่วงชั้นผิวผนังของความรู้สึก และห้วงจิตสำนึกของคนเราได้ โดยที่ไม่ว่าชั้นผนังนั้น จะห่อหุ้มความหนาของกาลเวลาเอาไว้มากมายปานใด แต่ตราบเท่าที่ความทรงจำยังคงคุกรุ่นอยู่ มันก็จะยังคงพร้อมเสมอ ที่จะเผาไหม้ตัวเอง ให้ความทรงจำสุกสว่าง เตือนความจำของเราเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา
“ ภาพมันชัดเจนมากครับพี่ เหมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ “
ก่อนหน้านี้ เราเคยพยายามคิดอยู่เสมอว่า พอจะมีหนทางอะไรบ้างไหม ที่จะเคลื่อนย้ายความรู้สึกบางอย่างนี้ ออกไปจากความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง แต่แล้วเราก็ได้คำตอบว่า มันไม่มีทาง ตราบเท่าที่เรายังคงมีความรู้สึก สิ่งดีร้ายในความคิดของเรา มันก็จะยังคงอยู่ จนกว่าความสำคัญต่อสิ่ง ๆ นั้น จะลดค่า ด้อยความสำคัญต่อตัวของเราเองลง ผ่านขบวนการคลี่คลาย นำไปถึงซึ่งการยอมรับความจริง ตราบนั้น ความสำคัญต่อสิ่งนั้นในใจ จะค่อย ๆ เจือจาง จนกลับกลาย แปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นความเข้าใจได้เอง
“ มันไม่จำเป็นเลย ที่จะต้องลืม เพียงแค่อยู่กับมันให้ได้ ด้วยการค่อย ๆ ลดค่าความสำคัญในสิ่ง ๆ นั้นลง ถอยออกมาจากความรู้สึกถึงบางสิ่งอย่าง เพียงเพราะยังรู้สึกว่าสิ่ง ๆ นั้น มีความสำคัญต่อชีวิต วนเวียนอยู่ในสภาวะความรู้สึกที่คุ้นเคย ผนวกเข้ากับความรู้สึกเสียดาย ช่วงเวลาที่มีค่า ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง ตัวเราเองอาจจะเคยได้ก้าวข้ามผ่าน ช่วงเวลาอันแสนจะเจ็บปวดนั้นมาได้แล้ว แต่เพราะความคิด พาให้เราวนหวนกลับไป สู่ความรู้สึกเช่นดังที่เคยรู้สึก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และอีกสิ่งที่ยากที่สุด คือใจเราเองนั้นไม่ยอมปล่อย ใจเราเองนั้นไม่ยอมละทิ้ง ใจเราเองนั้นไม่ยอมให้กาลเวลาได้คลายปมความรู้สึกภายในใจ บางคนจึงโกรธใครได้เป็นเวลานาน ๆ เกลียดใครได้เป็นเวลานาน ๆ และยังคงยึดมั่นถือมั่น อยู่กับช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดนั้น ๆ จนตนไม่สามารถที่จะพาตัวเอง ก้าวขาออกมาจากหลุมดำชีวิตได้
หากมองภาพให้กว้างมากขึ้น เราทุกคนล้วนต่างมีโอกาส ที่จะผิดหวังเสียใจ หรือแม้แต่สุขใจ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัยของชีวิตคน แน่นอนว่าถ้าหากเรายิ่งไปให้ความสำคัญ กับเสียงร้องไห้ของตัวเองมากเท่าไหร่ มันก็จะนำผล ไปสู่ความเจ็บปวดมากเท่านั้น เราหัวเราะดังแค่ไหน ปริมาณความสุขก็มากมายขึ้นเท่านั้น จริงเหรอ นี่อาจเป็นเพียงแค่คำถามในใจของใครบางคน หรืออาจเป็นเพียงการตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าเหตุนี้หรือ ที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะดึงตัวของเราเอง ขึ้นมาสู่โลกแห่งการยอมรับความเป็นจริงได้