I’m Tetiana 'ฉันยังมีชีวิตอยู่' แผล(สด)จากสงครามยูเครน - Decode
Reading Time: 3 minutes

“ทุกคนบอกว่าพี่ชายของฉันเป็นฮีโร่ฉันต้องดีใจ สิ่งที่เขาทำสามารถช่วยเหลือคนได้หลายคน ฉันไม่อยากให้พี่ชายฉันเป็นฮีโร่ สิ่งที่ฉันต้องการ คืออยากให้พี่ชายฉันมีชีวิต

“บางครั้งฉันรู้สึกผิด ที่ไม่สามารถทำให้พี่ชายออกจากเมืองแห่งนั้นได้ สิ่งที่คุณถามฉันว่าจะใช้ชีวิตต่อจากนี้ไปอย่างไร ฉันตอบคุณไม่ได้ รู้แต่เพียงว่าวันนี้ครอบครัวฉันเหลือแค่ฉันกับพี่ชายอีกคน เราต้องใช้ชีวิตนี้กันต่อไป ด้วยจิตใจที่เรามีกันทั้ง 2 คน เรามีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่เสียใจไปให้มากกว่านี้ ฉันยังมีชีวิตอยู่

“ถ้าขอพรได้ฉันไม่อยากให้เกิดสงคราม มีหลายครอบครัวในยูเครนตอนนี้ลำบากมาก ฉันไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีสงคราม และถ้าวันนี้พี่ชายฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันอยากบอกว่าฉันรักเขามากที่สุดเท่าที่ฉันจะรักใครสักคนได้ ขอให้คุณปลอดภัยในโลกอื่นกับพ่อแม่ ฉันจะดูแลตัวเอง และคุณไม่ต้องเป็นห่วงฉัน…”

โศกนาฏกรรม…การสังหารหมู่ที่บูชา

เมษายน 2022 ภาพฉายเมืองบูชา (Bucha) ประเทศยูเครน อยู่ในสภาพรกร้างภายใต้ซากปรักหักพัง สองข้างทางเกลื่อนไปด้วยศพของเหล่าพลเมือง

ภายในห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง ! ของค่ายเด็กในยุคโซเวียต ริมสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมือง Bucha พบศพชาย 5 คนในห้องใต้ดิน ทุกคนถูกยิงด้วยปืน AK47 มุมมองจากวิถีกระสุน บ่งบอกว่าผู้ชายเหล่านั้นคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อถูกประหารชีวิต

เขาทั้ง 5 คนคือกลุ่มคนที่ปฏิเสธไม่ออกไปจากเมือง แต่กลับทำการให้ความช่วยเหลือคนอื่น ๆ ในเมืองแห่งนี้ จนกระทั่งสิ่งที่พวกเขาทำถูกพบเจอโดยกองทัพรัสเซีย พวกนั้นมอบความตายเป็นสิ่งตอบแทน ความตายที่เป็นมากกว่าการสูญเสียของ 5 ชีวิต

De/code พูดคุยกับหนึ่งในน้องสาวของผู้เสียชีวิต เมื่อความตายของพี่ชาย ได้พรากส่วนหนึ่งชีวิตจากเธอไป  บาดแผลจากสงคราม ในวันที่เธอต้องยืนหยัดมีความหวัง ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในเมืองไทย

“ในวันที่พี่ฉันตาย มันเหมือนมีใครมาบีบคอพี่ชายฉัน ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกก่อนที่พี่ชายฉันจะหมดลมหายใจ”

I’m Shulmeister Tetiana.

“ฉันชื่อ ทาเทียน่า (Shulmeister Tetiana) เกิดที่เมือง ‘เคียฟ’ (Kyiv) อยู่ในครอบครัวใหญ่ ชีวิตวัยเด็กของฉันมีความสุขที่สุด เราใช้เวลาท่องเที่ยวในประเทศยูเครนด้วยกัน พ่อแม่สอนให้ฉันรักทุกคนในครอบครัว

“ฉันมีพี่ชาย 2 คน พี่ชายคนโตชื่อ พาแวล (Shulmeister  Pavel) ส่วนพี่ชายคนกลางชื่อ ดิมิทรี (Shulmeister Dmitry)

“ตอนฉันอายุ 7 ขวบ ฉันไปขี่จักรยานอยู่แถวบ้าน มีกลุ่มเด็กผู้ชายที่อายุเยอะกว่า เขามาแกล้งจนฉันตกจักรยาน เลือดฉันไหลจักรยานพัง ฉันจำได้ดีว่าดิมิทรีวิ่งออกมาช่วย เขาคอยช่วยเหลือฉันตลอด

“ฉันนิยามตัวเองเหมือนผู้ชายตัวเล็ก พอฉันตัวเล็กพี่ชายเลยสอนให้ฉันต้องดูแลตัวเอง ไม่ให้คนอื่นมารังแก จนถึงตอนนี้ฉันไม่เคยที่จะต้องกลัวอะไร เพราะรู้ดีว่ามีพี่ชายที่คอยดูแลอยู่”

ทาเทียน่าเริ่มต้นเล่าเรื่องราวชีวิต เธอใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอยู่ในยูเครน จนกระทั่งถึงวันที่เธอตัดสินใจเดินทางมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยในปี 2015

“ตอนที่แม่เสียชีวิตฉันไม่สามารถอยู่ต่อที่ยูเครนได้ ฉันรู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างในชีวิต ฉันอยากไปอยู่ในประเทศสภาพอากาศอุ่น ๆ และมีคนนิสัยดี ฉันจึงตัดสินใจเดินทางเข้ามาที่ไทย ฉันชอบที่นี่”

ในระหว่างที่ทาเทียน่าพักอยู่ที่เมืองไทย เธอยังคงเดินทางกลับยูเครนเมื่อมีโอกาส พี่ชายของเธอทั้ง 2 คนจะคอยต้อนรับดูแลทาเทียน่าทุกครั้งเมื่อเธอกลับไป

“หลังจากอยู่เมืองไทยมา 2 ปี ฉันเดินทางกลับไปหาครอบครัว พาแวลมารับฉันที่สนามบิน  ตอนนั้นดิมิทรีอาศัยอยู่ในเมืองฮอสตอแมล (Hostomel) อยู่ใกล้กับเมืองบูชา (Bucha) 

“ดิมิทรีทำอาหารเยอะมากเลี้ยงต้อนรับฉัน เขาดีใจมากที่ฉันกลับไป ดิมิทรีมีบ้าน 2 ชั้น เขาบอกฉันว่ายกชั้น 2 ให้ฉัน เขาไม่อยากให้ฉันไปอยู่ที่อื่น ‘อยู่กับเราสิเราจะทำให้ชีวิตเธอดีขึ้น’

แต่ทาเทียน่าไม่มีโอกาสได้กลับไปยูเครน ภายหลังการเกิดเหตุการณ์โรคระบาดโควิด19 เธอพักอาศัยอยู่ในเมืองไทย รอคอยเวลาที่จะได้กลับไป จนกระทั่งพ่อของเธอเสียชีวิต เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2020

“การตายของพ่อฉันเข้าใจได้ เพราะชีวิตคนเราไม่สามารถอยู่ไปได้ตลอด สักวันหนึ่งอย่างไรเขาก็ต้องเสียชีวิต”

แต่ไม่ใช่กับการตายของพี่ชายเธอ เมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครนเริ่มต้นขึ้น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2022 การแตกสลายทางความรู้สึกที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ของทาเทียน่า เกิดขึ้นเมื่อกองทัพรัสเซียเข้าครอบครองเมืองบูชา

เธอไม่อยากได้คำว่าฮีโร่ แต่อยากได้ชีวิตพี่ชายกลับคืน

“ฉันเชื่อเสมอว่าดิมิทรีเขาไม่เคยกลัวอะไร แต่ฉันกลับรู้สึกว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของพี่ชายฉันเขากลัวมาก ๆ เขายังไม่อยากตายยังไม่พร้อมที่จะตาย”

ทาเทียน่าเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับดิมิทรี (Shulmeister Dmitry) พี่ชายคนกลางของเธอ ตั้งแต่ช่วงที่สงครามในยูเครนเริ่มต้นขึ้น

“26 กุมภาพันธ์ 2022 ดิมิทรี ส่งวิดีโอเฮลิคอปเตอร์รัสเซียบินผ่านบ้านเขา”

น้ำตาเธอไหลก่อนกล่าวต่อว่า

“เวลาเห็นวิดีโอนี้ ฉันจะส่งข้อความหามิทรี ‘ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ห้ามออกไปข้างนอก ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะจบลงโดยเร็ว’”

ทุกคนในครอบครัวพยายามโน้มน้าวให้ดิมิทรี ย้ายออกมาจากเมืองแต่ไม่เป็นผล ดิมิทรีกล่าวกับทาเทียน่าว่า 

“ที่นี่เป็นบ้านของฉัน และฉันเป็นพลเมืองธรรมดาที่ไม่มีอาวุธ ฉันมั่นใจว่าจะไม่มีใครมาทำร้ายพลเรือน ขนาดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเยอรมันที่บุกรุกประเทศของเรายังไม่ฆ่าพลเรือนเลย”

 ในเวลาดังกล่าวทาเทียน่ากล่าวว่า การที่คุณเป็นคนธรรมดาไม่มีอาวุธ มีความอันตรายมากกว่าการเป็นทหารที่มีอาวุธเสียอีก

27 กุมภาพันธ์  2022 กองทัพรัสเซียยึดครองเมืองบูชาได้สำเร็จ บ้านหลายคนในเมืองถูกพังทำลาย ชาวบ้าน 21 คน จึงย้ายมาอยู่ที่บ้านของดิมิทรีเพื่อหลบภัย

“ทหารรัสเซียทำสิ่งไม่ดีไว้มากในประเทศยูเครน ข่มขืนผู้หญิง ข่มขืนผู้ชาย ฆ่าคน บางคนตายแล้วก็ขับรถไปเหยียบเขาอีกรอบหนึ่ง กลายเป็นเรื่องตลกของพวกเขา บางครั้งพวกเขาเข้ามาบุกรุกบ้าน และถ้าเขาชอบบ้านหลังนี้ เขาจะไล่ผู้คนออกมา”

ในช่วงเวลาที่ทหารรัสเซียยึดครองเมืองบูชา ดิมิทรีได้นำรถตู้ของตัวเองมาแปลงให้เป็นเหมือนรถพยาบาล เพื่อออกไปซื้อของนำมาแจกจ่ายให้คนที่ออกมาจากบ้านไม่ได้

“หลายคนไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำกิน บางคนต้องอาศัยอยู่ใต้ดิน ไม่มีหมอไม่มีอะไรคอยช่วย ดิมิทรีจึงคิดว่าอยากช่วยแจกอาหารให้ได้มากที่สุด”

ทาเทียน่าเสียงสั่นเครือ เมื่อต้องเล่าถึงช่วงเวลาดังกล่าวที่พี่ชายของเธอเผชิญ เธอกล่าวว่าดิมิทรี สามารถช่วยเหลือคนออกมาได้หลายคน เพราะเขารู้เส้นทางเล็ก ๆ ที่ทหารรัสเซียไม่รู้

12 มีนาคม 2022 ดิมิทรีออกจากบ้านไปพร้อมรถตู้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการออกไปที่เขาไม่เคยได้กลับมา

“วันที่ 15 มีนาคม มีคนเห็นรถตู้ของดิมิทรีขับกลับมาที่หมู่บ้าน…แต่ข้างในเป็นทหารรัสเซีย ไม่มีใครกล้าถามทหารเหล่านั้น ว่าคนที่อยู่ในรถไปอยู่ที่ไหน?”

ทาเทียน่ายังคงมีความหวังว่าดิมิทรีหนีรอดไปได้ หรือไม่ก็แค่ถูกจับตัวไป จนกระทั่งถึงวันที่ทหารรัสเซียถอนกำลังออกจากเมืองบูชา ทหารยูเครนเข้าตรวจสอบพื้นที่ และได้พบ 5 ศพถูกมัดมือซ่อนไว้ที่ชั้นใต้ดิน หนึ่งในศพนั้นคือดิมิทรี

“ตอนที่ฉันรู้ข่าว เหมือนภายในตัวฉันมันได้ตายไปด้วย ไม่ใช่ฉันไม่อยากอยู่ต่อบนโลกใบนี้ แต่ฉันไม่เห็นหนทางเลยว่าจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร…”

ความตายดับสิ้นชีวิตหนึ่ง รวมทั้งอีกส่วนหนึ่งของชีวิตคนอีกคน

“วันที่รัสเซียยิงพี่ชายฉันตาย รัสเซียไม่ได้ยิงพี่ชายฉันแค่คนเดียว แต่พวกเขายิงฉันด้วย

“คริสต์นิกายออโธด็อกซ์บอกว่า คนที่ตายแล้วเราต้องปล่อยเขาไป แต่ฉันยังปล่อยไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ตายไปเอง แต่มีคนมาเอาชีวิตเขาไป”

นับตั้งแต่ดิมิทรีเสียชีวิต ทาเทียน่ากินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ บางวันเธอนอนข้ามวัน ในขณะที่ผ่านไปอีกวัน เธอไม่สามารถหลับได้ 2-3 วัน

“เป็นเรื่องยากที่ฉันจะหากำลังใจได้ในเวลาเช่นนี้  ภายในใจตอนนี้มันไม่เหลืออะไร ถ้าดิมิทรียังอยู่ เขาคงบอกว่า ‘คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ คุณต้องยิ้มนะ ยิ้มให้ได้ตลอด’”

น้ำหนักของเธอลดลงไปกว่า 10 กิโลกรัม พร้อมกับเงินที่เธอบอกกับเราว่าตอนนี้เหลือติดตัวไม่ถึง 1,300 บาท เธอกล่าวว่าที่ผ่านมาในชีวิตของเธอไม่เคยที่จะต้องขอให้ใครเข้ามาช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป และต้องการความช่วยเหลือเท่าที่ทุกคนจะช่วยเธอได้

“3 เดือนที่ผ่านมานี้ฉันไม่สามารถออกไปไหนได้เลย ยังคงรู้สึกกลัวทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก รู้สึกไม่ปลอดภัยอยากอยู่แต่คนเดียว”

ในช่วงเวลาเดียวกัน ทาเทียน่ากลับมาทำงานศิลปะอีกครั้ง ศิลปะคือสิ่งที่เธอชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก แต่การกลับมาครั้งนี้ เธออยากแต่ที่จะวาดภาพขาวดำ

“เวลามีปัญหา ฉันจะหยิบกระดาษกับสีขึ้นมาวาดรูป มันเหมือนสิ่งที่บอกว่า ฉันจะไม่แย่แบบนี้ตลอดไป”

การวาดภาพทำให้เธอมีกำลังใจ แต่ยังไม่เพียงพอให้ชีวิตเธอก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

“ตอนนี้ฉันต้องการใครสักคนมาช่วย ฉันสู้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวไม่ไหวแล้ว ประเทศบ้านเกิดฉันก็ยังกลับไม่ได้ ทุกอย่างในยูเครนยังไม่จบ ฉันเคยคิดว่าอยากไปเป็นทหาร บินกลับไปบ้านเกิดเพื่อช่วยยูเครน แต่ตอนนี้แม้แต่ดูแลตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย”

และอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอตัดสินใจมีชีวิตอยู่

“ทุกคนที่พี่ชายฉันได้ช่วยเหลือ ฉันอยากให้ทุกคนได้มีชีวิตที่ดี ดิมิทรีจะได้รู้ว่าที่เขาทำลงไปมีความหมาย วันนี้ฉันเริ่มเข้าใจแล้ว ฉันต้องสู้ชีวิตต่อไปเพื่อพี่ชายของฉัน ที่ช่วยชีวิตหลายคนไว้ ฉันไม่จำเป็นต้องตายไปพร้อมเขา

“คนทั่วโลกตอนนี้เห็นรูปภาพของพี่ชายฉัน ฉันอยากให้ทุกคนจดจำชื่อเขา…การที่ทุกคนไม่ลืมชื่อดิมิทรี มันคือกำลังใจในการใช้ชีวิตให้แก่ฉันต่อไป”

ทาเทียน่ายังคงหาหนทางในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในเมืองไทย เธอเริ่มต้นวาดภาพและหวังว่าจะสามารถสร้างรายได้จากงานศิลปะ งานที่แทนความรู้สึก ความโหดร้ายของสงคราม การสูญเสีย และสันติภาพที่เธอคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววัน …เกิดขึ้นในวันที่เธอยังคงหลงเหลือคนที่เธอรักอยู่ในประเทศยูเครน พี่ชายคนโตพาแวล สมาชิกคนสุดท้ายในครอบครัวของเธอ ยังคงเป็นทหารอยู่ในสงครามที่ยังไม่มีท่าที่ว่าจะจบสิ้นในเร็ววัน !

ผลงานภาพวาดของทาเทียน่า

Shulmeister Tetiana ส่งข้อความมาหาเราหลังจบการสัมภาษณ์ :
ฝากข้อความนี้ไว้ใต้บทความของคุณด้วย 
ฉันขอขอบคุณกงสุลยูเครนประจำประเทศไทย ในการช่วยเหลือสนับสนุนฉันและเพื่อนยูเครนคนอื่น ๆ ที่ยังคงอยู่เมืองไทย 
ขอบคุณ Thomas, Andreas Kamps , Sergei Bortnau  สำหรับความช่วยเหลือทุกอย่างให้แก่ฉัน  
ขอบคุณทุกคนที่ยังคงเหลียวแลโศกนาฏกรรมและความเศร้าโศกที่ฉันเจอ ฉันยังคงชอบประเทศไทย ชอบสภาพอากาศ ธรรมชาติ ความมีน้ำใจ และอัธยาศัยดีของคนที่นี่ ฉันมีความสุขที่ได้อยู่ที่แห่งนี้ 

บทสัมภาษณ์แปลจากภาษารัสเซียโดย: Elmira Poltavskaya
ขอบคุณการประสานงานจาก: Bang-on Jansanthia (Honorary Consul)