บันทึกจากนร.เตรียมอุดมฯ 3 ปีทองของฝ่ายซ้าย หลัง '14 ตุลา' - Decode
Reading Time: 4 minutes

เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นบทบันทึกจาก พันธ์สิริ วินิจจะกูล อดีตนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่เขียนบันทึกเรื่องราวของตัวเองที่เกิดขึ้นในช่วง 3 ปีทองของฝ่ายซ้าย หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

Chapter 1 กุญแจแห่งมหาทวาร

บทบรรยาย

เมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงแรกสู่ขอบฟ้า ดูเหมือนว่าสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นก็ปรากฏ เสียงนกร้องทักทายกันเป็นคู่เป็นกลุ่มพร้อมไก่ขัน และใบไม้เสียดสีกันตามแรงลม ที่เคลื่อนเป็นคลื่นพร้อมแดดเช้า ช่างเป็นฉากหลังที่โรแมนติกสมบูรณ์แบบสำหรับการเริ่มต้น เรื่องราวชีวิตซึ่งเขียนจากชีวิตที่มีกำเนิดหลากหลาย มาพบกัน ณ จุดหนึ่ง จุดซึ่งเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของแต่ละคน ไปตลอดชีวิตหลังจากนั้น

การรำลึกถึงอดีตร่วมสี่สิบปีย้อนหลัง ให้เขียนได้เป็นฉากเป็นตอน ถ้าไม่เป็นเพราะความประทับใจอย่างยิ่งยวด ก็ต้องเป็นความทรงจำที่ถูกฝังหมุดเอาไว้แล้ว ประเภทแม้อยากลืมก็กลับจำ ที่อยากจำก็ให้รู้สึกว่า ยังมีรายละเอียดที่อยากจำอีกมาก แต่ดันลืม

ย้อนภาพรีเพลย์กลับไปเหมือนหนังไทยยุค 16 มม. พร้อมตัวพิมพ์ไทยคลาสสิค “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พศ. 2516-2519” ละอ่อนชายหญิง คละบุคลิกและการแต่งกายก้าวเดินเข้ามา ในอาณาจักรที่ตนเองแสนจะภาคภูมิ เปิดชีวิตหน้าใหม่ จากเด็กมัธยมต้นกะโปโล ก้าวข้ามสู่ช่วงวัยที่สำคัญตนว่าเป็นเด็กโต พระเกี้ยวบนอกเสื้อ ทำเอายืดผึ่งผายเป็นพัก ๆ เหมือนผู้ผ่านศึกที่ฝ่าด่านโหดหินมาได้เป็นยอดฝีมือ ความหวัง ความฝัน โลดลิ่ว

อีกด้านของความรู้สึก โรงเรียนใหม่นี้ช่างกว้างใหญ่ จากตึกหน้าไปตึกหลังราวกับเดินข้ามหมู่บ้าน ถ้าตนเองเป็นยอดฝีมือ อาณาจักรแห่งนี้ก็เหมือนยุทธจักรบู๊ลิ้ม ซึ่งมีผู้พร้อมประลองยุทธ์กันมากมาย ยังไม่รู้เขารู้เรา ต่างคนต่างไว้เชิง ที่รู้จักกันมาก่อน ก็กอดกลุ่มกันแน่นเพื่อความอุ่นใจ ที่มาคนเดียวนั้นน่าเวทนา ยิ่งเป็นผู้กล้าจากบ้านนอก ก็แทบหมดลายตั้งแต่วันแรก

เด็กกลุ่มหนึ่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มุ่งตรงมาที่เรือนไม้ทรงขรึมขลัง บ้างบังเอิญผ่านมา บ้างก็ด้วยความสงสัยอยากเปิดดูว่าข้างในนั้นมีอะไร อีกจำนวนหนึ่งมุ่งตรงมาอย่างแน่วแน่ ไขกุญแจแห่งมหาทวาร ไม่เข้ามาเปล่าคนเดียว แต่กลับเชื้อเชิญ ออกไปจูงเพื่อนหน้าใหม่เข้ามาร่วมแสวงหา

ประตูอะไรนะ มหาทวารเนี่ยมันออกไปทางไหน แล้วมีอะไรอยู่ข้างในและข้างหน้า ลองมองดูดวงตาพวกเขาแต่ละคน ประกายวิบวับ ไม่ต่างกันแม้ว่าจะคละปนความรู้สึก ใครบางคนบอกว่า เด็กกลุ่มนี้เหมือนดวงตะวันยามเช้า ยามแปดนาฬิกา แสงเริ่มแรงกล้าเปี่ยมพลังสร้างสรรค์ ดูสิ ลูกใครกัน ช่างบริสุทธิ์ผ่องใสเป็นความหวัง พวกเขาวาดฝันสิ่งใด ยิ่งใหญ่ขนาดไหนในบ้านขรึมขลังหลังนี้…ห้อง 60

เด็กห้องคิง

บทบันทึก

วันนี้เป็นวันแรก ต้องแยกจากเพื่อนเก่ามาห้องของตัวเอง ก้าวแรกก็เห็นเด็กหลังห้องกลุ่มใหญ่นั่งเรียงเป็นแผง ได้ความว่ามาจาก รร. ผู้ดีมีสตางค์ชื่อไม่ไทย พวกเธอล้วนน่าเกรงขามเป็นขาใหญ่ กลุ่มผู้ชายสี่ห้าคนเป็นชนกลุ่มน้อย เราตัดสินใจเดินไปรวมกลุ่มเด็กตัวเล็กหน้าห้อง เพราะสายตาที่เป็นมิตรและอ่อนน้อม ต่างคนต่างค้อมตัว เหมือนจะยิ่งทำให้เล็กลงไปอีก อยู่กลุ่มนี้น่าจะปลอดภัย

ปีนี้เป็นปีแรกที่วัดผลแบบไม่ใช้เปอร์เซ็นต์ และใช้วัดเกรดเฉลี่ยแทน มีเสียงกระซิบประปรายมาว่าตัดเกรดแล้วทำให้ความเป็นห้องคิงไม่ชัดเจน แต่เรามีตัวชี้วัดได้ อ.อัมพิกา สอนห้องไหนห้องนั้นคือห้องคิง ว่าแล้ว อ.อัมพิกา ผู้น่าเกรงขามก็เดินเข้ามา เราอยู่ห้องคิงส์หรือนี่? จากนั้นความกดดันทั้งปวงก็คล้ายจะครอบทับ ให้เด็กห้องนี้ต้องพิสูจน์ตนให้สมกับความเก่งกล้าสามารถ 

น่าแปลกเรากลับรู้สึกว่าเพื่อนห้องข้าง ๆ ล้วนมีหน้าตาฉลาดเฉลียวกว่า ร่าเริงมีอิสระบอกไม่ถูก ครูผู้สอนเหมือนพี่สาวเพิ่งจบใหม่ ใช้ตำราภาษาฝรั่งเศสหลักสูตรทดลองสอนน่าสนุก ยามพักเที่ยง เราไม่เคยรีรอวิ่งข้ามไปอีกสองห้อง เดินจูงมือเพื่อน รร. เก่าตั้งแต่ชั้นประถมไปกินข้าวด้วยกัน เพื่อนในห้องคิง ยังไงก็เป็นคนแปลกหน้าและหน้าแปลกอยู่ดี

เราไม่เคยชินนัก กับการสอนที่ครูเดินเข้ามาพร้อมไมโครโฟนกระเป๋าหิ้ว แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านข้อความ เกี่ยวกับภูมิกายภาพในหนังสือให้ฟัง แบบนอนสต็อปจนจบชั่วโมง บางครั้งครูอีกคนก็พินอบพิเทา นำสไลด์ของเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ที่ไปเที่ยวเมืองนอกกับบุพการีมาบรรยายให้ฟัง

อ.ผู้น่าเกรงขามก็เกรี้ยวกราดซะเหลือเกิน หยิกเหน็บเมื่อไม่ได้ดังใจ จนเราเผลอประกอบวีรกรรม กดดินสอจนหักต่อหน้าแก ต้องถูกเพื่อนกดดันให้ไปขอโทษที่ทำให้ อ.ร้องไห้ ทั้งที่เราสงสัยไม่หายว่าใครน่าจะเสียน้ำตากันแน่

คิดถึงครูพูลฉัตรที่สอนเรามาแต่เด็ก อ้อมกอดของครูตอนรับรางวัลเรียนดี ความอบอุ่นที่ได้นั่งเบียดกับครูบนรถ รร. เพราะตัวเล็กโหนราวไม่ถึง ความหมายของครูและศิษย์ของเด็กห้องคิงที่ รร.ใหม่นี้ จึงแปรงปร่าไม่ซาบซึ้งเท่าที่ควรจะเป็น

อดทนตั้งใจเรียนอยู่สองเดือน จนได้ Tres Bien ในการบ้านภาษาฝรั่งเศสมาประดับสมุด รุ่งเช้าวันหนึ่งแจ่มใส เด็กรุ่นพี่หน้าแปลกสองคน ตรงรี่มาหาแบบจู่โจม แอบอ้างชื่อพี่ชายแบบสนิทสนม เพ่งพินิจดูแล้วก็เห็นแววตาพาซื่อฉายอยู่ลึก ๆ เลยยอมรับไมตรีที่พุ่งชนแบบไม่คาดหมาย

แล้วเธอทั้งสองก็พามาแนะนำให้รู้จัก กับเรือนไม้ทรงขรึมที่ชื่อว่าห้องหกสิบ น่าจะมีอายุพอ ๆ กับเรือนเทาที่เป็นห้องเรียน ก้าวแรกที่ข้ามผ่านธรณีประตู คล้ายกับมีลมแห่งโชคชะตาวูบผ่านหน้า มีเพื่อนหน้าแปลกมากมายหลายคนอยู่ขวักไขว่ น่าจะเป็นเพราะความแปลกแยก ที่อดทนมาตลอดหลายเดือนในห้องเรียน ห้องหกสิบนี้จึงกลายเป็นแม่เหล็กแท่งใหญ่ ดูดเท้าให้เดินมาหาได้ทุกวัน

เราทำความคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่กลุ่มนี้ได้อย่างฉับพลัน ไม่นานก็รู้ว่าพวกเขาเป็นกรรมการนักเรียน มีกิจกรรมแปลกใหม่ต่างจากชมรมตัวเลือกอื่น ๆ และที่สำคัญ กลิ่นอายของการมีส่วนร่วมรับผิดชอบประเทศชาติมันตลบอบอวล สิ่งซึ่งเมื่อวานเรายังรู้สึกมันเป็นเรื่องไกลตัวของผู้ใหญ่ แต่ในห้องเคร่งขรึมนี้ เหมือนท้องฟ้าจำลองของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง บางคนก็นั่งถกปรัชญากันหน้าเครียด ราวกับวงสนทนาของเพลโตบวกโสเครติส

ชมรมห้องสมุด เป็นชมรมญาติกับห้องหกสิบที่ถูกเชื้อเชิญเป็นสมาชิก มีประธานชมรมหน้าหล่อเรียบร้อยเกินปกติที่มีสถานะเป็นอดีตประธานนักเรียนด้วย และมาทราบภายหลังว่า แกยอมซ้ำชั้นเพื่อข้ามรุ่นมาดูแลน้อง ๆ หนังสือในชมรมแต่ละเล่ม ขนาดเล็กบาง แต่เนื้อหาหนักแน่น ประเภทที่ว่ากว่าจะอ่านผ่านได้หนึ่งหน้า ต้องใช้เวลาและสมาธิอยู่หลายวัน

ก้าวแรกที่เดินเข้ามาแบบงง ๆ ไม่ได้ทำให้หันหลังกลับ ก้าวต่อ ๆ มายิ่งเพิ่มความน่าสนใจ คล้ายกับเล่นเกมจูมานจิ ที่ดึงเราให้ก้าวลึกเข้าไปทุกที

ห้องหกสิบแห่งนี้ มีส่วนผันแปรชะตาชีวิตของเรา แบบโค่นล้างความใฝ่ฝันในวัยเด็กอย่างไม่เหลือซาก ชีวิตที่ระหกระเหิน เกินบรรยาย…

Chapter 2  เบ่งบานและฝันใฝ่ 

บทบรรยาย

ความเชื่อพื้นฐานของนักเรียนเตรียมอุดม คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แบบยกห้อง ความเชื่อนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงเสมอมา แต่เด็กกลุ่มนี้ไม่สนใจความใฝ่ฝันของชีวิตแบบบ้าน ๆ ที่ยังไงก็ต้องเป็นจริงอยู่แล้ว ถ้าความใฝ่ฝัน เป็นสิ่งปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเหมือนหงอนบนหัวไก่ ลองนึกภาพสิ่งประดับนานาชนิด ที่วิจิตรด้วยความคิดสร้างสรรค์ และก้าวล้ำแหกกฎ อยู่บนหัวของพวกเขา

ใคร ๆ ก็บอกว่า ยุคนั้นคือยุคแห่งการแสวงหา พวกเขายังจะแสวงหาอะไรอยู่อีก ได้เดินตามครรลองที่พ่อแม่สั่งสอนอย่างราบรื่นเป็นขั้นตอน ก็มีความสำเร็จในอนาคตเป็นหลักประกันได้แบบไม่ยากเย็น เพียงแค่เดินไปตามทางที่มีผู้สร้างกรอบและแนวไว้ให้ เข้าใจว่าพวกเขาบังเอิญได้พบเห็นพื้นที่เสรี ที่ไพศาลเกินกว่าเส้นรอบกรอบ จึงลองแหวกมันดู และแล้วเด็กห้องหกสิบกลุ่มนี้ ก็ถูกแรงดึงดูดไร้สัญชาติ หันเหความสนใจออกจากครรลองปกติ ห้องเรียนดูเหมือนจะไม่ให้คำตอบ พวกเขาจึงออกแสวงหาเส้นทาง และจุดหมายปลายทางของความใฝ่ฝัน ที่ขอบฟ้าไกลโพ้น ที่ซึ่งตะวันขึ้นและลาลับ

ถึงจะล้ำขนาดไหน พวกเขาก็เด็กธรรมดา ๆ ย่อมต้องมีฮีโร่ในดวงใจ หลังจากผ่านวัยวันของหุ่นอภินิหาร มนุษย์ค้างคาว และหน้ากากเสือ ฮีโร่ในชีวิตจริงก็เริ่มปรากฏ พร้อมกลิ่นอายบรรยากาศทางการเมืองและการต่อสู้ เพื่อคนที่ตกทุกข์ได้ยาก อิทธิพลของนักศึกษารุ่นพี่ กับชัยชนะของการได้มาซึ่งประชาธิปไตย คนหนุ่มสาวกลายเป็นความหวังของผู้สิ้นไร้ไม้ตอก ในการขจัดความอยุติธรรมของสังคม มันคือการค้นพบความหมายของชีวิต การมีชีวิตเพื่อร่วมถางทางสู่ชีวิตที่ดีกว่าของเพื่อนมนุษย์ ณ เวลานั้น มันช่างสวยงามและน่าภาคภูมิ

ตามรอยเท้า 

บทบันทึก

ตั้งแต่จำความได้ก็รู้จักกันแล้ว เขาเป็นเด็กชายตัวบาง มีโรคหอบหืดเป็นอาภรณ์ประจำกาย ขณะที่เรามีตุ่มแพ้คันคะเยอพอไม่ให้มือไม้อยู่นิ่ง ๆ เป็นบุคลิก ว่ากันว่ามันคือสัญลักษณ์ทางกรรมพันธุ์ ปกติแล้วเขาจะคลุกคลี เป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งพี่ชายสี่คนที่เตะบอลพลาสติก กันอยู่บนชั้นสองของห้องแถวริมน้ำท่าพระจันทร์ น้องผู้หญิงไม่เกี่ยว

ที่โรงเรียนน้อยคนนัก จะไม่รู้จักเขาในฐานะผู้มีปัญญาเลิศ หน้าตาก็งั้น ๆ ไม่ได้บ่งบอกความฉลาดอะไร แต่เขาทำให้เราทึ่งได้เสมอ นับตั้งแต่การต่อวงจรไฟฟ้าขนาดจิ๋ว จนถึงการเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ก่อนวัยอันควร อ้อ…ลูกเจี๊ยบนั่นเอง ฟักจากไข่ที่กะเทาะเปลือกอยู่ในตู้อบอุณหภูมิพอเหมาะ

วันที่เขาลุกขึ้นมาเผาวรรณคดี เป็นวันที่สร้างความร้าวราน ให้กับคุณครูประถมที่พร่ำสอนเขามาแต่เล็ก คุณครูถึงกับฝากเรามาเตือนด้วยความตระหนก แต่ไม่เป็นผล ระบบการศึกษาถูกชำแหละด้วยหลักการและเหตุผล ที่เรือจ้างทั้งหลายเอามือทาบอกแบบวางไม่ลง ความหวังดีของครูไม่ถูกปฏิเสธ แต่ความคาดหวังของคุณครู ผู้หวังจะเห็นลูกศิษย์ติดบอร์ดนักเรียนดีเด่น จากการสอบทั่วประเทศก็ละลายหายไป คนกลางอย่างเราบอกได้แค่ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องระหว่างครูและศิษย์ มันคือการค้นพบข้อแตกต่างบางอย่างของสมองและหัวใจ

เขาเคยแนะนำให้เราอ่านหนังสือชื่อเรื่องแปลก หลาย ๆ เล่มทยอยเข้ามาสะสมอยู่ในตู้ ซึ่งเคยโชว์กับข้าวหน้าร้าน อ่านไม่สนุกเหมือนนิยายในนิตยสารสกุลไทย เราเลยบอกว่าอ่านแล้วเหมือนพวกมองโลกในแง่ร้าย ตอนนั้นกำลังอินกับงานเขียนโรแมนติกของทมยันตี พูดแล้วก็เหมือนทำร้ายจิตใจกัน แต่ลึก ๆ แล้ว เราก็รออยู่ว่า เขาจะทำอะไรให้ผู้คนทึ่งอีกหนอ คน ๆ นี้ช่างไม่ธรรมดา

วันที่เขาขวัญเสียกลับมาบ้านเนื้อตัวมอมแมม เป็นวันเดียวกับที่เขาเรียกกันว่าวันมหาวิปโยค เราเพิ่งสังเกตว่า เขาก็แค่เด็กชายคนหนึ่ง และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นกับบ้านเมืองของเรา มันก็ใกล้ตัวเสียเหลือเกิน นับจากนั้นวันที่เขาได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาพที่คุ้นชินคือไมโครโฟนในมือ กับถ้อยคำนานาและเรื่องราวที่สะกดผู้ฟังแบบยากจะลุกไปไหนถ้ายังฟังไม่จบ

ถ้าไม่รู้จักกันตั้งแต่เกิด เราอาจกังขาว่าใครนะช่างมาล้างสมองเด็กดี ๆ คนหนึ่งให้เพี้ยนไปได้ แต่สิ่งที่เขาพูดและทำล้วนมีเหตุผลรองรับ พอ ๆ กับเหตุผลที่ลูกเจี๊ยบ ก็สามารถฟักเป็นตัวได้โดยไม่มีแม่ไก่ ข้อเท็จจริงที่ขุดคุ้ยขึ้นมาตั้งคำถาม มันค้านกับสิ่งที่เคยเชื่อกันมาในอดีต มันท้าทายความซ้ำซากจำเจ และยอมจำนนในสิ่งที่สมควรเปลี่ยนแปลง คุณครูประถมคงเสียใจซ้ำสอง เมื่อรู้ว่าในที่สุดเราเองได้ถูกเขาล้างสมอง จากความเชื่อไร้สาระที่เชื่อต่อ ๆ กันมาไปเสียแล้ว

และเมื่อใคร ๆ ในห้องหกสิบก็รู้จักและชื่นชมเขา มันจึงรวมเราเข้าไปด้วย เหมือนเรียนหลักสูตรเร่งรัด ที่ใช้ความรักโดยสายเลือดและความศรัทธามาชี้นำ บวกกับเพื่อนใหม่และมุมมองใหม่ของชีวิต การบรรยายนอกห้องเรียนกับศัพท์แสงแปลกใหม่ที่ไม่มีในพจนานุกรม เส้นทางที่เคยเดินระหว่างบ้านและโรงเรียน จึงมีทางแยกที่นำไปสู่โลกกว้าง ไปหาผู้คนที่มีรอยยับเป็นร้อยบนใบหน้า เป็นร่องให้น้ำใส ๆ ไหลมาเปื้อนอยู่เป็นปกติวิสัย

หลักสูตรเข้มข้นที่เรียนลัด ทำให้เราต้องซอยเท้าถี่ยิบ และเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเข้มข้นถึงขีดสุด เราก็พบว่า ได้เดินมาอยู่แถวหน้าโดยไม่ตั้งใจ ถอยไม่ได้ไม่ได้ต้องการถอย และเมื่อเหลียวไปยังเห็นแววตาที่คุ้นเคยของเขา ก็ให้รู้สึกอุ่นใจ…

Chapter 3 ค่านิยมใหม่ หลายประการ 

บทบรรยาย

ยุคที่เด็กกลุ่มนี้ถือกำเนิดขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นยุค “สายลมแสงแดด” ที่พายุหมุนเริ่มก่อตัว นักคิดนักเขียนทั้งหลายเริ่มเปิดศักราชใหม่ เพื่อตั้งคำถามที่ท้าทายสังคมกระแสหลัก แม้จะถูกปิดกั้นโดยผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่เมื่อแสงได้มีโอกาสรอดผ่านรูเล็กเข้ามาแล้ว มันก็ทะลุทะลวง แหวกคว้านสิ่งกีดขวาง จากสายลมแสงแดดที่โรแมนติก กลายเป็นแสงแปลบปลาบ ชวนให้ค้นหาและตื่นจากฝัน

ไม่ต่างกับเด็กวัยรุ่นทั่วไป พวกเขาชอบดนตรี กีฬา และการรู้จักเพื่อนใหม่ สิ่งที่ต่างออกไป คือการปฏิเสธดนตรีที่วนเวียนอยู่กับการอกหักและรักที่พร่ำเพ้อ รังเกียจกีฬาที่เชียร์กันแบบคลุ้มคลั่ง งุนงงกับการรับน้องที่ทำให้ก้าวแรกของปัญญาชน แลดูปัญญาอ่อนและเซื่อง ๆ พวกเขาไม่ใช่ฮีโร่เกิดใหม่ เป็นแค่เด็กกลุ่มน้อยที่แปลกแยกจากกระแสหลัก โดดเดี่ยวอ้างว้างภายใต้การกดทับของค่านิยมที่ห้ามปฏิเสธ

แสงที่ลอดผ่านรูเล็ก ๆ เข้ามาในห้องหกสิบ เป็นเหมือนแสงเสรีที่ใจกว้าง กวักมือเรียกเด็ก ๆ ให้เข้ามาค้นหา คำถามข้อข้องใจทั้งหลายทั้งปวง ที่อัดอั้นเต็มอกพูดไม่ได้ไอไม่ดังในห้องเรียน ก็ทะลักทลายในหมู่คนคอเดียวกัน เพราะไม่ต้องกังวลกับการแหกค่านิยมหลายประการที่ต้องท่องขึ้นใจ สิ่งที่ทำให้บรรดาครูสายปกครองต้องประหลาดใจ แกมหวาดเกรงคือความจริงที่ว่า กฎเหล็กของโรงเรียนที่มีไว้ปราบเด็กเกเร กลายเป็นอาวุธด้าน เด็กกบฏกลุ่มนี้ไม่ได้เบี่ยงเบนไปสู่อบายมุข พวกเขามีความปรารถนาแรงกล้าเกินตัว ตรรกะที่ท้าทายของพวกเขา เล่นเอาครูหลายคนตั้งรับไม่ทัน

ถ้าสมัยนั้น อ่างอาบน้ำเป็นของใช้ธรรมดาสามัญในห้องน้ำ เด็กกลุ่มนี้คงทำน้ำล้นอ่าง แล้วกระโดดยูเรก้าไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาชาวบ้าน ทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ และวิภาษวิธี ทำให้การมองโลกมีมิติหลากหลายสลับสีราวกับลอดตา เข้าไปดูกล้องกระจกสามมิติหมุนซ้ายขวาวนไปมาน่าตื่นตาตื่นใจ บางคนกระหยิ่มยิ้มย่อง บอกว่า วิภาษวิธี ช่วยทำให้สอบวิชาเคมีติดท็อป

การสะสมปริมาณของเหตุปัจจัย สามารถก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง เชิงคุณภาพของสรรพสิ่งได้ กลายเป็นโลกทัศน์ใหม่ที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่า ยิ่งมีแรงกดจากอำนาจที่ล้าหลังและขูดรีด จะยิ่งเพิ่มแรงดันให้กรอบเดิมระเบิด ออกสู่คุณภาพใหม่ ภาวะวิสัยจากปัจจัยอธรรมรอบด้าน ต้องอาศัยอัตวิสัยจากภายในของนักสู้ ที่มีความพร้อมก้าวสู่การเปลี่ยนแปลง นี่คือยูเรก้าขั้นพื้นฐาน ของการศึกษาโลกทัศน์ใหม่ เพื่อสร้างชีวทัศน์ใหม่รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่ดีกว่า มีเพียงการเผยแพร่โลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ปฏิวัติแบบนี้เท่านั้น จึงจะสร้างมวลมหาศาลขึ้นมา ขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ให้เคลื่อนไปข้างหน้า

ภาพคอมมิวนิสต์ผอมเกร็งทำลายชาติ บนโปสเตอร์ที่คุ้นชินมาตลอดชีวิตวัยประถม ตีคู่สูสีมากับภาพชนชั้นยากไร้ซึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบ ได้ลุกขึ้นสู้เพื่อสังคมอุดมคติที่มีความเท่าเทียม ทั้งศักดิ์ศรีความเป็นคนและความอยู่ดีกินดี สิ่งที่ทำให้คับแค้นใจ คือการดูหมิ่นดูแคลนจากผู้ใหญ่ใจแคบ กล่าวหากันราวกับว่าสมองนั้นถูกล้างกันได้โดยง่าย อันที่จริงเด็กกลุ่มนี้ ได้ยึดหลักการปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ทั้งที่ยังไม่ทันได้ไปเยี่ยมสำนักงานใหญ่ของยูเอ็นเลย

พวกเขารังเกียจการใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย แม้ว่าบางคนมาจากครอบครัวคหบดีที่ร่ำรวย เข้มงวดกับตนเองเสียจนต้องกดข่มความรักสนุกสวยงามของวัยรุ่นแรกแย้ม เพลงโฟล์กซองยอดนิยม ที่เป็นประถมของการฝึกเล่นกีตาร์ ก็แทนที่ด้วยเพลงเพื่อชีวิต ที่บรรยายความทุกข์ระทมของผู้ถูกเอาเปรียบในสังคม และเชิดชูการเป็นเยาวชนรุ่นใหม่ที่เป็นความหวังและเปี่ยมด้วยพลังสร้างสรรค์ หากการใช้ชีวิตเรียบง่ายอดออมทำเพื่อผู้อื่น ไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ใหญ่สมัยนั้น มิพักต้องสงสัยเลยว่าเหตุใด จึงต้องมารณรงค์การใช้ชีวิตแบบพอเพียง จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ 

หากว่าพวกเขาเป็นพวกเกิดก่อนกาล และแม้ว่าสังคมใหม่ที่พวกเขาปรารถนา จะทอดยาวคดเคี้ยวสลับซับซ้อนเกินจะเอ่ย อย่างน้อยเด็กกลุ่มนี้ก็มีตัวตน มีเรื่องราวระทึกสะเทือนใจ แทรกตัวอยู่ในวิถีชีวิตดาด ๆ ของผู้คนสมัยนั้น ยากเกินกว่าจะบอกให้ลืม ๆ มันไปซะ เพราะว่ามันคือมหัศจรรย์หนึ่งของยุคสมัย หรือใครจะปฏิเสธ

สามเสาหลักของวิชาเลือก

บทบันทึก

ห้องหกสิบได้เสนอวิชาเลือกที่ไม่ได้บังคับเลือก เลือกแล้วเลิกเมื่อใดก็ย่อมได้ กว่าจะรู้ตัว มันก็เป็นวิชาเลือกที่กลายเป็นวิชาหลัก สำหรับเด็กหน้าห้องที่นอกคอกอย่างเรา เวลาในห้องเรียนจึงลดน้อยถอยลงเป็น “Law of Diminishing till no-Return” ยิ่งเมื่อได้เข้ากลุ่มกับเพื่อนเด็กต่างโรงเรียน มันช่างออกรสชาติ คล้ายกับตลาดนัดคนเหงาที่หงอยและแปลกแยก มารวมตัวกัน และได้มาชิมอาหารพื้นถิ่นฟิวชั่น แบบไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ รากเหง้าและการกลายพันธุ์ของแต่ละคน 

ในสายตาครู เราคงเป็นเด็กกวนอวัยวะเบื้องล่างพอควร มองเผิน ๆ มันก็เด็กจ๋อง ๆ คนหนึ่ง ที่จ้องหน้าครูเขม็งราวกับตั้งใจเรียน แต่กลับหลับผล็อยไปในเวลาไม่กี่นาที กับเนื้อหาอันน่าตื่นเต้นเกินบรรยาย ในทรรศนะของผู้สอน เด็กคนนี้มันไปอดหลับอดนอนมาจากไหนนะ จะว่าไปแล้วมาดแบบนี้ ไม่มีทางเที่ยวกลางคืนได้แน่นอน ว่าแล้วชอล์กครึ่งท่อนก็ลอยละลิ่ว จากมือที่กำยำของแม่พิมพ์ของชาติ กระทบหน้าผากที่มีสมองอัดแน่นอยู่เพียงเท่านี้ ก็เรียกความสนใจให้เพื่อนในห้องอย่างฉับพลัน

ช่างน่าเสียดาย ที่เรามีความทรงจำเป็นชิ้นเป็นอัน เกี่ยวกับวิชาหลักในห้องเรียนอยู่น้อยมาก สิ่งที่จารึกฝังแน่น กลับกลายเป็นฝันร้ายที่วนเวียน ว่าต้องเข้าห้องสอบด้วยสมองโล่งโปร่งเกินปกติ เพราะไม่รู้ว่าวิชานี้เขาเรียนอะไรกัน

แม้ว่าจะเลือกโดยสมัครใจ ใช่ว่าวิชาเลือกดังกล่าวจะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่ในความยากนั้นมีหลักไมล์ของสิ่งที่ค้นพบทีละนิด เชื้อเชิญให้เข้าไปเรียนรู้ต่อ ยิ่งเมื่อได้ประยุกต์มันเข้ากับชีวิตจริง สิ่งที่พบเห็นจากการศึกษาชนบท การได้สัมผัสกับความทุกข์ยากของผู้คน ก็ทำให้ทัศนะต่อโลกและต่อการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ยิ่งเมื่อเวลาล่วงเลยไป วิชาเลือกนี้ ก็ยังให้คำอธิบายความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยได้อยู่ดี

เราอยากเรียกมันว่าสามเสาหลักของความรู้ใหม่ ความจริงเขาไม่ได้สอนเป็นหมวดหมู่และเป็นขั้นตอน แต่มันคล้ายกับครูพักลักจำสิ่งที่เพื่อนรุ่นพี่ ถกกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ภาษาแปลก ๆ ช่วยให้จำได้ขึ้นใจ วัตถุนิยมวิภาษ วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ และชีวทัศน์เยาวชน สองเสาแรกว่าด้วยทัศนะการมองโลก เสาที่สามว่าด้วยการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตตนเองสู่คุณธรรมใหม่ เช่น ความเรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตนศึกษาจากผู้อื่น ความสัมพันธ์แบบถนอมรักกับมิตรร่วมอุดมการณ์และคนรอบข้าง (ที่ไม่ใช่แม่พิมพ์ต้นทางของชอล์กแท่งนั้น)

วัฒนธรรมการวิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง เป็นชั่วโมงประทับใจยากจะลืม นอกจากการที่จะต้องสู้กับอีโก้ของตนเองเพื่อรับคำวิจารณ์จากเพื่อนอย่างสงบแล้ว ก็ต้องใช้ทักษะการทูตอย่างยิ่งยวด ในการวิพากษ์ผู้อื่นแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ในหลายโอกาส ต่างคนต่างชิงวิจารณ์ตนเองก่อน เพื่อไม่ให้เสียหน้ามากนัก

อย่างน้อย การไม่แตกฉานทางทฤษฎีในช่วงตั้งไข่ ได้ก่อประโยชน์อนันต์เมื่อหลักการเหล่านี้ ถูกอธิบายด้วยการเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย ซึ่งช่วยปูพื้นฐานวิธีคิดวิเคราะห์แบบ Metaphor ที่ผนวกหลักธรรม(ชาติ) หรือทฤษฎีต่าง ๆ ด้วยคำอธิบายที่เป็นรูปธรรม เช่น หลักคิดที่ว่า “สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง” โดยมี “เอกภาพของด้านตรงข้าม” ขัดแย้งต่อสู้กันและกันต่อเนื่องสะสมทางปริมาณ เมื่อความขัดแย้งถึงจุดสูงสุดทางปริมาณ ก็เปลี่ยนคุณภาพเป็นสิ่งใหม่ ดังเช่นการต้มน้ำให้เดือด อีกตัวอย่างได้แก่ การวิเคราะห์ “ภาวะวิสัยและอัตวิสัย” ซึ่งหากปัจจัยภายนอกและภายในไม่สอดคล้อง ไม่สุกงอม ก้อนหินก็มิอาจฟักตัวเป็นลูกไก่ได้

หลักทฤษฎีที่ว่ามา น่าจะมีเป้าหมายที่ต้องการอธิบายกงล้อประวัติศาสตร์ ที่เคลื่อนไปด้วยแรงขับของความต่างทางชนชั้น จนกระทั่งเปลี่ยนผ่านสู่สังคมอุดมคติ แล้วใครกันล่ะ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนกงล้อนี้? ภารกิจอันยิ่งใหญ่จึงตกอยู่บนบ่าของเยาวชนรุ่นแปดนาฬิกาอย่างพวกเรา ให้ต้องปรับเปลี่ยนเปลี่ยนชีวทัศน์ใหม่ ให้สอดคล้องต้องกัน

เราจำได้ว่า รู้สึกหงุดหงิดตัวเองอย่างมาก ที่ไม่สามารถนำหลักคิดเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ ได้แบบที่เพื่อนบางคนใช้มันอธิบายสถานการณ์รอบตัวเป็นฉาก ๆ ณ จุดนั้น ใครจะรู้บ้างว่า การจะได้แตกฉานกับวิชาเหล่านี้ ก็ต้องแลกมาด้วยความแปรผันของชีวิตแบบ 360 องศา

Chapter 4 สามประสานย้ายภูเขา

บทบรรยาย

เมื่อชนชั้นกรรมาชีพได้รวมตัวกันเข้า ผนึกกำลังกับมวลหมู่ชาวนา และนักศึกษาที่ใช้ปากกาเป็นอาวุธ กลายเป็นพลังสามประสาน เพื่อเปลี่ยนสังคมโดยการข้ามเส้นแบ่งทางชนชั้น กระโจนสู่สายธารที่เชี่ยวกรากของโลกจริง ถ้าการโดดเรียนเป็นปฐมบทของการก่อกบฏ พวกเขาได้เดินหน้าไกลอีกขั้นออกสู่ชนบท ไปเรียนรู้ชีวิตจริงของผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศ ไปหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน กินนอนอยู่กับกระดูกสันหลังของชาติ ผู้ซึ่งลายเส้นเอ็นกระดูกปูดโปนคล้ายวงปีของต้นไม้ ที่เพิ่มขึ้นตามดีกรีความเคี่ยวกรำของชีวิต

ชาวห้องหกสิบเป็นอิเวนต์ ออร์กาไนเซอร์แบบครบวงจรกันตั้งแต่เด็ก นอกจากการเข้าไปหาผู้ใหญ่ เพื่อขอสปอนเซอร์จัดทำสมุดเรียน สมุดบันทึกขายเพื่อหาทุนแล้ว ยังต้องออกสำรวจสถานที่ เพื่อเลือกทำเลเหมาะสมที่สุดสำหรับตั้งค่ายศึกษาชนบท เข้าไปทำงานมวลชนกับชาวบ้าน เพื่อสร้างความคุ้นเคยและชี้แจงวัตถุประสงค์ จัดโปรแกรมของแต่ละวัน แบ่งหน้าที่กันในด้านโลจิสติกส์ที่พักและการเดินทาง สำหรับเนื้อหาการสอนและเรียนรู้นั้นเป็นแบบอิมโพรไวส์ คือด้นเอาจากประสบการณ์ และการแก้ปัญหาแต่ละวันที่พบเจอ แค่นี้ก็สรุปบทเรียนกันไม่หวาดไม่ไหว

เป็นไปได้ว่า เพื่อนรุ่นพี่กลุ่มที่เรียกว่าเป็นแก่นแกน คือผู้คุมสคริปต์ คอยตะล่อมประเด็นที่พวกเราได้พบเจอ และประทับใจทั้งสุขและทุกข์ ให้สอดรับกับภารกิจสามประสานเพื่อเปลี่ยนผ่านสังคมอยุติธรรม ต้องยอมรับว่า เป็นสคริปต์ที่เนียนมาก ทุกคนเป็นนักแสดงที่ไม่ต้องแสดง ทุกบททุกตอน ถอดออกมาจากใจใส ๆ ใจที่พองโตกับภารกิจเพื่อสังคมใหม่ที่ใฝ่ฝัน

เด็กนักเรียนบางกลุ่มในโรงเรียนต่าง ๆ ที่มีกิจกรรมนอกโรงเรียน ไม่เพียงออกศึกษาชนบท บางกลุ่มเดินเข้าสู่โรงงาน ไปเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนา ที่ผืนดินหลุดจำนอง ต้องผันตัวมาเป็นกรรมกรในเมือง นิทานชีวิตในสมัยนั้น คล้ายสูตรสำเร็จที่สอดคล้อง กับทฤษฎีการพัฒนาสังคม จากยุคศักดินาสู่ทุนนิยม ผู้ที่จะผลักดันกงล้อประวัติศาสตร์สู่สังคมอุดมคติ จึงต้องกลืนกินตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวทัศน์ของตนเองให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงความทุกข์ยากของกรรมกรชาวนา จนกล้าเสียสละเพื่อให้บรรลุภารกิจในอนาคตอันใกล้

พวกเขาอาจไร้เดียงสาน่าขัน ที่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ในเร็ววัน แต่ในความไร้เดียงสานี้ มีหัวใจกล้าหาญที่สั่นสะเทือนถึงดวงดาว หัวใจแบบนี้แหละที่พวกเขาย้อนกลับมาคิดถึงมัน ในวัยวันที่ผ่านเลย มันคือไฟของวัยเยาว์ที่หล่อเลี้ยงศรัทธาต่อสิ่งดีงามสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่

ผ้าถุง ผืนนั้น 

บทบันทึก

“คุณหมอคะ แผลเรื้อรังที่หน้าแข้งนี้ ลงไปแช่น้ำได้มั้ยคะ”
“แล้วหนูจะไปแช่น้ำทำไมล่ะ?”
“คือว่า หนูจะไปดำนา ศึกษาชนบทค่ะ”

คุณหมอทำหน้าเหมือนกลั้นยิ้ม ไม่ขัดศรัทธา แนะนำว่าไม่ควรแช่นาน ล้างให้สะอาดแล้วเช็ดแห้ง เราสองคนคุ้นเคยกันดีมาหลายปีแล้ว กับโรคภูมิแพ้ผิวหนังเรื้อรัง ก่อนกลับคุณหมอหันมาอีกครั้ง เหมือนอยากจะย้ำด้วยความห่วงใย แต่ก็เปลี่ยนใจ

ผ้าถุงสีน้ำตาลลายทางตรงหน้า เป็นสิ่งท้าทายแรกของการเตรียมไปใช้ชีวิตในชนบท พันอย่างไรไม่ให้มันหล่นมากองอยู่ที่เท้า คงต้องมีเข็มกลัดประกันความเสี่ยงสักหน่อย การเดินทางครั้งนี้ช่างน่าตื่นเต้น จากเส้นทางปกติระหว่างบ้านกับโรงเรียน คราวนี้มาไกลถึงสุพรรณ เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ พวกพี่ ๆ ล่วงหน้ามาเตรียมงานกันก่อน นับเป็นการรับน้องใหม่ที่แหวกแนวยิ่งกว่าเด็กแนวยุคไหน ๆ

ก้าวแรกที่เท้าได้ชำแรกลงไปในดินโคลนเหลวเละ ความรู้สึกแขยงสกปรกเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ต้องกดข่มมันเอาไว้ เมื่อต้องชักเท้าขึ้นเพื่อเดินหน้า ดินหนืดชืดเย็นก็ยังตามมาพันแข้งขานัวเนียจนจมหล่มลึก แรงดูดแรงต้านทำเอาดินกระเด็นใส่หน้า ราวกับว่าอยากให้กลิ่นโคลนสาบควายนี้ติดจมูกไปนิรันดร์

แม้จะมุ่งมั่นเต็มร้อยตามประสานายทุนน้อยที่อยากพิสูจน์ตัวเอง แต่ขาและแขนช่างไม่เป็นใจ ต้นกล้าในอ้อมแขนหล่นเรี่ยไปตามทาง บางส่วนที่คิดว่าได้กดรากกล้าหยั่งลงในดินเป็นอันดีแล้ว ชั่วอึดใจก็ลอยเท้งเต้งขึ้นมา แบบฟ้องผลงานปรากฏว่า กระดูกสันหลังตัวจริงต้องมาดำซ่อมให้จนเรียบร้อย

เป็นอันว่าสอบไม่ผ่านวิชากระดูกสันหลังของชาติ สิ่งที่พ่อสอนจนเป็นความเคยชินให้กินข้าวเกลี้ยงจาน ก็ได้รู้ซึ้งถึงเหตุผลด้วยตัวเอง เสียงเพลง เปิบข้าว ลอยมาได้จังหวะ แต่เรากลับรู้สึกซาบซึ้งกับอีกเพลงมากกว่า “แสงดาวแห่งศรัทธา” คำสวย ทำนองเพราะ ความหมายดี เพลงเพื่อชีวิตหวาน ๆ แต่ทรงพลังเพลงนี้ ติดอันดับเพลงในดวงใจนับแต่นั้นมา

ค่ำมานั่งล้อมกองไฟด้วยกัน สำหรับคนเมืองแล้วดูโรแมนติก แต่ชาวบ้านก่อไฟไล่ยุงและความหนาว เด็กเมืองกลุ่มนี้ตัดสินใจนอนรอบกองไฟ หลับไปไม่รู้ตัว ก่อนสะดุ้งเพราะเสียงเปรี๊ยะ ๆ สะเก็ดไฟกระเด็นถูกผ้าถุงผืนเก่ง ได้รอยไหม้แหว่งเป็นเวิ้ง

จุดมุ่งหมายในการศึกษาชนบทบรรลุเกินเป้า แม้จะสอบตกวิชาฉันจะเป็นชาวนา แต่ความรู้ที่เกิดจากการสร้างทำด้วยมือของตัวเองนั้น เปื้อนปนความรู้สึกสำนึกในบุญคุณของคนที่สร้างทำตัวจริง หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทุกวัน หน้ากร้านเกรียมด้วยหนี้สินรุงรัง นิยายเพื่อชีวิตที่เคยนึกภาพจากตัวหนังสือ ก็ได้กระโดดโลดแล่นเป็นภาพจริง ความคิดขณะนั้น หนึ่งบวกหนึ่งควรเท่ากับสอง ใครลงแรงลงมือทำควรได้ผลตอบแทนตามสมควร ให้ยังชีพอยู่ได้ตามอัตภาพ สังคมนี้มีบางอย่างพิกลพิการไป

ผ้าถุงผืนนั้น กลายเป็นอาภรณ์ประจำกายของอีกหลาย ๆ ค่ายศึกษาชนบท ยิ่งศึกษาก็ยิ่งติดหล่มจมลึกถอนตัวไม่ขึ้น ผ้าถุงจึงกลายเป็นตัวชี้วัดความอึด ในการพยายามดัดแปลงตนเอง ให้เข้าใกล้ชีวิตเรียบง่ายที่ชีวิตจริงล้วนไม่ง่าย ตราบเท่าที่ยังนุ่งผ้าถุงไม่เป็น เราจึงได้ตระหนักว่า ความรู้ในสมองไม่อาจช่วยให้มีชีวิตรอด ถ้าต้องสร้างต้องทำการผลิตด้วยตัวเอง

ผ้าถุงผืนนี้ ได้ซึมซับความรักของแม่ เมื่อน้ำมนต์หยดแรกแทรกผ่านเนื้อผ้า ลงไปพร้อมคำอวยพรยาว ๆ น้ำมนต์กับน้ำตา ราดรดจากหัวถึงเท้า ผสมปนเปจนเปียกชุ่มทั่วผืน ก่อนจากลาพ่อแม่ไปศึกษาชนบท แบบไม่มีกำหนดกลับบ้านในปีถัดไป

อ่านภาคต่อบันทึกของ พันธ์สิริ วินิจจะกูล:
บันทึกจาก นร.เตรียมอุดมฯ การมาถึงของวันทุ่งสังหาร 6 ตุลา
https://decode.plus/20210920/