เปิดไพ่ "อภิปรายไม่ไว้วางใจ" 2564 ทดสอบ สนามอารมณ์ใน-นอกสภา - Decode
Reading Time: 4 minutes

ทดสอบ ๆ สนามอารมณ์ในและนอกสภา BJ X Decode
ชวนคุณเปิดไพ่ความรู้สึกระหว่างศึกซักฟอก #อภิปรายไม่ไว้วางใจ

De/code และ Backpack Journalist ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2564 หยิบประเด็นการชี้แจง และเลือกไพ่ให้นายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไปถามต่อ

จากสภาที่ “คิดถึง”ของ“ลุงตู่” สู่ใจกลางความรู้สึก “ยังไม่หมดหวัง”
“รัฐบาลปรสิต กัดกร่อนอนาคตประเทศ กลืนกินความฝันประชาชน”

หมัดแรกจากแถลงญัตติต่อสภาของ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านก่อนที่ สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน จะเริ่มอภิปรายในประเด็น บริหารราชการล้มเหลว แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ และทุจริตเชิงนโยบายภายใต้การปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ รมว.กลาโหม ต่อด้วยการเปิดโปงบ่อนพนันของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ซักฟอกการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ จนทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องลุกขึ้นมาตอบโต้ว่า “บาทเดียวผมก็ไม่ได้รับ” และที่ผ่านมามีการดำเนินคดีการพนันกว่า 35,000 – 50,000 คดีในเวลา 3 ปี ขณะเดียวกันยังเน้นย้ำการบริหารราชการแผ่นดินว่า “รัฐบาลผมให้งบประมาณทุกจังหวัดมากกว่าเดิม ผมเป็นผู้กำหนดนโยบาย กำหนดวิสัยทัศน์ บางโครงการเสนอขึ้นมา ไม่มีพื้นที่ในการทำ ก็ให้ผ่านไม่ได้”

ส่วนการจัดสรรงบประมาณ นายกฯ ยืนยันว่า “รัฐบาลผมให้งบฯ ทุกจังหวัดมากที่สุด” แถมตบท้ายด้วยความมั่นใจว่า “ยินดีที่มาสภาวันนี้…คิดถึง ไม่ได้หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น”
.
คำในญัตติเล่นใหญ่ แต่พอลงในเนื้อหา #อภิปรายไม่ไว้วางใจ มันไม่ใหญ่เท่าคำนั้น เป็นข้อสังเกตแรก ๆ ของ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ที่มอนิเตอร์เนื้อหา #อภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรก

“เอาแค่สะใจยังไม่พอ คนจะรู้สึกว่า…แค่นี้เองหรือ ผมเองก็รู้สึกว่า ยังไม่หมดหวังนะ

เพราะวันแรกกว่าจะรบผ่าน ได้อภิปรายก็ยากแล้ว แต่ก็หวังว่า จะไต่ระดับขึ้นไปอีก ซึ่งประเด็นที่ฝ่ายค้านตั้งญัตติอภิปรายว่า การบริหารราชการล้มเหลว ต้องชี้ให้ชัดว่า ล้มเหลวแบบไหน จะหยิบยกแค่คำพูดที่พล.อ. ประยุทธ์ หลุดอยู่บ่อย ๆ มันไม่พอ ต้องชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงของความเสียหาย”

ดร.สติธร ตั้งข้อสังเกตที่สำคัญว่า จะเห็นว่า นายกฯ มาตอบโต้มากกว่ามาตอบคำถาม การอภิปรายฯ ในวันแรกมาแบบชิว ๆ สู้ด้วยลูกเล่น ลีลามากกว่าข้อมูล ไม่ปะทะทางตรง มันจึงต้องตั้งหลักจากฝ่ายค้านก่อนว่า มาเบาไปหน่อย เพราะหากพิจารณาเนื้อหาที่สุทินฯ อภิปรายก็ค่อนข้างเบา ขาดน้ำหนัก จนมาถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายประเด็นก็ยังไม่มีอะไรใหม่หรือน่าตื่นเต้นมากพอ แม้จะมีการเปิดโปงเรื่องบ่อนการพนันฟังดูเหมือนแรง แต่ยังพูดได้ไม่เต็มที่เพราะถูกขัดจังหวะอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจุดอ่อนของฝ่ายค้านในการอภิปรายในวันแรกคือ เนื้อหาอภิปรายยังไม่เข้มข้น

วันแรกของยุทธการ สุทินฯ บินชี้เป้า เพื่อนฝ่ายค้านทิ้งระเบิด

ดร.สติธร มองว่า เป็นเพียงวาทศิลป์ อินโทรให้คนรู้สึกว่าต้องติดตาม แต่ยังเบาบางไปหน่อย มันต้องดุเดือดไม่ควรเสียเวลาไปกับการอินโทร เพราะคนที่รอฟังอภิปรายเขาก็คาดหวังพอสมควร สมมติว่าวันแรกมีแค่นี้ คนก็รู้สึกว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่ มันต้องทำให้คนรู้สึกว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากกว่านั้น ซึ่งในทางตรงกันข้ามนายกฯ กลับเตรียมตัวมาดี เดาการบ้านถูก มีทีมงานเตรียมคลิปไว้พร้อม ดังนั้นสิ่งที่นายกฯตอบโต้ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลเตรียมไว้หมดแล้ว ถ้านับเวลานี้ ถือว่ารัฐบาลยังดูดี เพราะฝ่ายค้านไม่แรงพอ

เรือดำน้ำ VS วัคซีน อะไรทำให้ประเทศมั่นคงกว่ากัน

#อภิปรายไม่ไว้วางใจ64 วันที่สองเพิ่มความร้อนแรงในสภาฯเพิ่มดีกรีเนื้อหาอภิปรายฯ จากการตอบโต้ประเด็นการจัดซื้อเรือดำน้ำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า งบประมาณที่นำมาซื้อเรือดำน้ำนั้นจะซื้อเท่าที่จำเป็น โดยถ้าเทียบผลประโยชน์ทางทะเลที่ได้รับ 24 ล้านล้านบาท เทียบกับราคาที่ลงทุนไปแค่ 0.093 จึงถือว่ามีความคุ้มค่าในการเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งทางทะเล การตัดสินใจของรัฐบาลเป็นไปด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราต้องเตรียมพร้อม ทั้งขวัญกำลังใจของคนและเครื่องมือ ชีวิตทุกคนมีความเสี่ยง ท่ามกลางกระสุนปืนใหญ่ กระสุนปืนเล็ก เห็นใจเขาบ้าง”

“ถามว่า อะไรทำให้ประเทศมั่นคงกว่ากันระหว่างการมีเรือดำน้ำ 3 ลำ กับการที่คนทั้งประเทศได้ฉีดวัคซีนแล้วเราสามารถเปิดประเทศได้” เป็นคำถามจากความรู้สึก “หดหู่…ที่ผู้นำของเราไม่มีวิสัยทัศน์” ของผศ.ประจักษ์ ก้องกีรติ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. ซึ่งอธิบายว่า ประเทศไทยไม่ได้ทำสงครามกับใคร เราจึงไม่มีความเสี่ยงในแง่ภัยคุกคามทางการทหาร ดังนั้นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีอ้างเหตุจำเป็นในการจัดซื้อเรือดำน้ำและยุทโธปกรณ์จึงไม่หนักแน่น และไม่มีความจำเป็นที่ต้องจัดซื้อ โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจยากลำบากและประชาชนยากลำบากขนาดนี้

“คิดดูง่าย ๆว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำใหม่ คาดว่า จะใช้งบกว่าสามหมื่นล้านบาท เราสามารถจัดซื้อวัคซีนให้คนทั้งประเทศได้ครบทุกคน คนละ 2 โดส แถมยังมีเงินเหลือด้วยซ้ำ ดังนั้นประเทศที่ฉลาดเน้นจะความมั่นคงของมนุษย์ ไม่ใช่ความมั่นคงทางการทหาร เพราะความมั่นคงทางการทหารมันเป็นคอนเซปต์ล้าสมัย และตกยุค”

ผศ.ประจักษ์ ประเมินแนวโน้มว่า ในประเทศต่างๆทั่วโลกต่างลดงบประมาณในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เนื่องจากปีที่แล้วองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็นได้ขอให้ทั่วโลกลดงบประมาณด้านการทหาร ใครมีความขัดแย้งกันอยู่ก็ให้ทำสัญญายุติความขัดแย้งไว้ชั่วคราว กระทั่งประเทศที่มีสงครามระหว่างกันก็ยุติความขัดแย้งไว้ชั่วคราวตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อนำเงินมาฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

“ผมมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ไม่นาน แต่ก็มีความสนิทสนมกับผู้นำแรงงานจำนวนมาก”- สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน –

งานนี้ยุ้ยญาติเยอะกลายเป็นตำนาน เพราะรัฐมนตรีสุชาติแย่งตำแหน่ง
เปิดฉากด้วยสายสัมพันธ์อันแนบแน่นนอกสภาระหว่างรัฐมนตรีและผู้นำแรงงานก่อนเริ่มชี้แจงถึงประเด็นประกันสังคมที่ถูก ส.ส.วรรณวิภา ไม้สน จากพรรคก้าวไกล ปักใจอภิปรายว่า ทำไม๊ ทำไม ใช้เงินประกันสังคมมาเยียวยาแรงงานภายใต้เงื่อนไขใหม่เอี่ยมในสถานการณ์โควิด19 ตกงานเพราะโควิดคือเหตุสุดวิสัยประกันสังคมจ่ายให้

ตรง ๆ นะ “รัฐมนตรีสุชาติ ยังไม่ยอมรับความจริง”

พี่ไหม ธนพร วิจันทร์ ตัวแทนเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ตอบก่อนที่เราจะถามถึงความรู้สึก เราช่วยพี่ไหมในฐานะแรงงานวิเคราะห์ข้อมูลตามถ้อยคำชี้แจงของ รมว.กระทรวงแรงงาน

เอาเรื่องคนตกงานก่อน พี่ว่าวันนี้ยังมีคน(เกือบ)ตกงาน ที่ไม่ตกงานแต่รายได้ลดลงเกินครึ่ง ลดวันทำงาน นายจ้างไม่เลิกจ้าง ซึ่งมันดีนะ แต่นายจ้างก็เจ็บ ลูกจ้างก็เจ็บไม่เลิกจ้างแต่ปิดกิจการชั่วคราว แรงงานกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในตัวเลขที่รัฐมนตรีพูด พวกนี้ไม่ถูกเลิกจ้าง ไม่รู้อยู่ในสถานะไหน โอกาสฟื้นทั้งนายจ้างและแรงงานกลุ่มนี้น่าจะยาก

คำชี้แจงวันนี้มันบอกว่ารัฐมองข้าม ในส่วนแรงงานในโรงงาน การจ้างงานแยกย่อยมากขึ้น จ้างเป็นจ็อบๆ ตอนนี้กฏหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้ในสถานการณ์วิกฤต

ที่นี่พอพูดถึง เรื่องเอาเงินประกันสังคมมาเยียวยา พี่ไม่เห็นด้วยเลยเพราะเราคิดว่าเงินที่รัฐไปกู้มาเราต้องร่วมเป็นหนี้ ต้องร่วมจ่ายหนี้อยู่แล้ว รัฐก็กู้มาจะช่วยก็ช่วยสิ ทำไมต้องเอาเงินของคนงาน ทุกคนกระทบเหมือนกัน ทำไมสิทธิเราถูกตัด

การเอาเงินประกันสังคมมาใช้ นายจ้างก็ไม่ได้รับผิดชอบ
จริงๆพี่เข้าใจนะว่าธุรกิจของนายจ้างมันต้องกระทบเหมือนกัน แต่ก็มีนายจ้างจำนวนหนึ่งที่มีทุนสำรองอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้รับผิดอะไร รัฐก็ไม่ได้ตรวจสอบอย่างจริงจังด้วย เราเข้าใจและเห็นใจนายจ้างนะ แต่พูดเรื่องนี้เพื่อตั้งคำถามกับการทำงานของรัฐ

วันนี้ที่รัฐมนตรีบอกว่า ยุคของเขาทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนหลักล้านตำแหน่งพี่ถามหน่อย ?
มันเป็นการจ้างงานแบบไหน จ้างระยะสั้น 3 เดือน 6 เดือน แล้วตกงานกันหรือ ?
ถึงตอนนี้กระทรวงแรงงานยังไม่มีแผนสร้างความมั่นคงให้แรงงานเลย

(มั่นใจ) “ผมบริหารเรื่องแรงงานข้ามชาติได้มีประสิทธิภาพกว่ารัฐบาลในอดีต”

ไม่สั้นไม่ยาวสำหรับการชี้แจงประเด็นการปล่อยปละละเลยการดูแลแรงงานข้ามชาติในสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน “สุชาติ ชมกลิ่น”

แม้จะตอบไม่ตรงกับที่ “วรรณวิภา ไม้สน” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจซักถามไป แต่การพูดถึงวิธีการแก้ปัญหาในฐานะเจ้ากระทรวงของสุชาติก็เต็มไปด้วยความมั่นใจว่ามาตราการที่ทำนั้น “มีประสิทธิภาพมากกว่า” ปีก่อนๆ ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมายจำนวน 6.5 แสนคน เปรียบเทียบตัวเลขปี 2557 และก่อนหน้านี้ / การจัดการควบคุมพื้นที่ “ฝีนใกล้แตก” ของพื้นที่ จ.สมุทรสาคร รวมถึงการเจรจากับหน่วยงานลดราคาค่าใช้จ่ายตรวจโรคจาก 3,200 บาทมาเป็น 2,300 บาท

แต่ทั้งหมดรัฐมนตรีฯไม่ได้ตอบว่าแรงงานลักลอบเข้ามาอย่างไร และเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่ยอมรับว่าการลักลอบเกิดขึ้น

(ยังไม่พอใจ)
ทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีไม่พอ และไม่ได้ดีกว่ารัฐบาลอื่นๆ “อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)” ขอเลือกคำว่า “ยังไม่พอใจ” ให้กับการชี้แจงของรัฐมนตรีครั้งนี้ แม้เข้าใจว่าการเข้ามารับตำแหน่งไม่นานนี้เป็น “เผือกร้อน” อยู่เนือยๆ แต่มันก็มากพอที่จะวางแผน และตั้งหลัก-ปูทางเพื่อดูแลแรงงานข้ามชาติ

“ยังไม่ดีกว่า การจัดการแรงงานข้ามชาติตอนนี้ความหวังฝากไว้กับอนาคต ใช้การขยายเวลา 6 เดือน มติครม. 7 อัน 6 อัน เป็นการขยายเวลา ทิศทางการจัดการยังไม่ไปถึงภาพระยะยาว”

อดิศรวิเคราะห์ว่า การจัดการแรงงานข้ามชาติที่ทำได้ดีกว่าตอนนี้คือช่วงปี 2554 ช่วงวิกฤตน้ำท่วม เงื่อนไขก็มีเช่นกัน แต่ระบบการขึ้นทะเบียน และดูแลแรงงานดีกว่า และถ้าจะพูดกันตามจริงตั้งแต่ปี 2547 ประเทศไทยและรัฐบาลที่ผ่านมา พัฒนาระบบมาตลอด จนถึงปี 2560-61 มีรูปแบบชัดเจนขึ้น ซึ่งเข้าใจดีกว่าสถานการณ์วันนี้มีเงื่อนไขที่แตกต่างออกไป แต่การชี้แจงนั้นทำให้เห็นว่ายังไม่ได้มองภาพใหญ่ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดการเข้าเมืองผิดกฎหมาย

ประเด็นของการจัดการแรงงานข้ามชาติภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ตึงเครียด ที่จ.สุมทรสาคร ด่านชายแดนที่ยังไม่เปิด และการเมืองภายใต้ของเมียนมา ต่างๆ ล้วนกระทบและกระชับพื้นที่ให้การจัดการแรงงานทำได้ยากขึ้น ที่ผ่านมาขาดการจัดการอย่างเป็นระบบ วันนี้โจทย์การแก้ปัญหาจึงเยอะ และไม่เห็นว่ารัฐมนตรีจะสามารถทำงานได้แค่กระทรวงเดียว แต่ในเวลานี้อาจต้องมีตัวช่วยเข้ามาจัดการมากชึ้น เช่น กระทรวงการต่างประเทศในฐานะนักเจรจา

“ทุกวันนี้เป็นการจัดการเฉพาะหน้ามากกว่า เหมือนขอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน ยังไม่เห็นแผนการว่าจะทำอย่างไรต่อ 1 ปีจากนี้ทำอย่างไร ต้องเข้าใจกลุ่มแรงงานว่ามีกี่กลุ่ม กี่แบบ กลายเป็นการแก้ปัญหาแบบตกกระไดพลอยโจน”

สำหรับการอภิปรายการปล่อยปละละเลยการจัดการแรงงานข้ามชาติครั้งนี้ ส.ส.วรรณวิภา พูดถึงการดูแลควบคุมแรงงานช้ามชาติที่ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้แรงงาน และระบบการขึ้นทะเบียนแรงงานที่เอื้อให้เกิดขบวนการลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย เช่น การผลักภาระค่าใช้จ่ายให้นายจ้างจัดการ การมีขั้นตอนซับซ้อน ที่สุดท้ายปลายทางคือการนำโรคระบาดเข้ามาระลอกใหม่ 

ตกงาน เคลมได้ , เอากองทุนประกันสังคมมาจ่ายเยียวยา เคลมให้ , แรงงานข้ามชาติในวงจรนายหน้าเคลมได้ , เรื่องแรงงานบอกรัฐมนตรีสุชาติ “เคลมได้”

“ผมเองพอรับตำแหน่ง ก็ได้เล็งเห็นปัญหา ได้รับข้อมูลทุกด้าน ว่าคนตกงานหลายล้านคน ผมจัดงาน Job Expo ล้านคนล้านตำแหน่ง ใช้เงินจัดงานไม่กี่ล้านบาท
เป็นสิ่งที่ดูเหมือนยาก แต่ผมทำได้”

“งานนี้มีการจ้างงาน ภายใน 1 ไตรมาส 3.29 แสนตำแหน่ง , หน่วยงานรัฐจ้างงาน 6 แสนกว่าตำแหน่ง และใช้เม็ดเงิน 9 แสนกว่าล้าน จ้างเท่าไรจ่ายเท่านั้น นี่คือความจริง”

รัฐมนตรีสุชาติ ชวนดูตารางต่อ ยืนยันจากสภาว่า คนตกงานลดลงมากหลังงาน Job Expo ระบุว่าช่วงเดือน ม.ค.- ก.ย. 2563 มีคนออกจากงานเดือนละเป็นแสนๆ แต่ผมจัดงานเดือนกันยายน หลังจากนั้นเดือนตุลาคม คนออกจากงานแค่หลักหมื่น

ออกจากระบบประกันสังคม 1 ล้าน 8 หมื่นจริง , คนตกงานแค่ 4 แสนคน
เหมือนกับฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเขาอยู่กันคนละโลก พูดคนละคลื่นความถี่ ฝ่ายรัฐมักไม่ได้ตอบคำถามที่ฝ่ายค้านถาม ฝ่ายรัฐมักตอบแบบไม่ได้ตอบ

บทสนทนาระหว่าง Decode กับ ดร.เกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร ผอ.สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม (JELI) หลังจบคำชี้แจงจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

“ผมคิดว่า เกือบทุกประเด็นรัฐมนตรีสุชาติ ตอบเหมือนไม่ตอบคำถาม นี่อาจเป็นยุทธวิธีของฝ่ายรัฐบาลเพราะทำแบบเดียวกันหมด”

ผมว่ารัฐมนตรีสุชาติทำให้เราสับสนในข้อมูลโดยการจับแพะมาชนแกะ ข้อมูลที่โชว์มีปัญหาอยู่หลายเรื่อง

1.ข้อมูลที่โชว์มันคือคนตัวเลขคนที่ออกจากตำแหน่งงาน และกลับเข้าสู่ตลาดงาน แต่ไม่เกี่ยวกับคนที่ออกจาก มาตรา 33 , 39 , 40 ผมคิดว่า ตารางเดียวไม่สามารถตอบได้ทั้งหมด
2.มันไม่สามารถรู้ได้ว่า คนเข้าและออกจากตัวเลขที่เคลม มันเป็นผลมาจากงาน Job Expo หรือไม่ เพราะมันเป็นตัวเลขกว้างๆ

เขาใช้ความยุ่งเยิงของตัวเลขให้เป็นประโยชน์และให้เราคล้อยตาม หลายเรื่องที่เขาพูดเขาพยายามพูดถึงผลเกินจริง แต่เรา(คนนอกสภา)ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะขนาดคนในสภาเขาถามสิ่งหนึ่ง รัฐมนตรีก็ยังไปตอบอีกสิ่งหนึ่ง

หรือแม้กระทั่งเรื่องเงินประกันสังคมและเงินเยียวยา เขาก็ไม่ได้ตอบแต่ใช้วิธีการอ้างว่า เห็นไหมว่ามีผู้นำแรงงานที่ชื่นชมและขอบคุณโครงการนี้ ทั้งๆที่เอาเข้าจริงมันมีช่องโหว่เยอะหลายเรื่อง เอาจริงๆก็คือ ผู้นำขององค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหภาพ สหพนธ์ สมาพันธ์ หรือ การรวมกลุ่มแรงงานในหลายลักษณะ ผู้นำเป็นตัวแทนของใช้แรงงาน หรือ คนหาเช้ากินค่ำเป็นสัดส่วนเท่าไร ?

เพราะในความจริงเรารู้กันดีว่าคนที่เข้าถึงระบบเหล่านี้มีไม่ถึง 5 % ของคนทำงานในภาคเอกชน ซึ่งมีคนอีกเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ราวๆ 55% ที่ไม่ได้อยู่ในภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางอย่าง เช่น กลุ่มไม่มีนายจ้าง เป็นนายตัวเอง รับจ้าง หรือเป็นเกษตรกร ดังนั้นจะเอาคนกลุ่มผู้นำมาเป็นตัวแทนแรงงานทั้งหมดไม่ได้ จะนำมาเป็นตราประทับว่ามาตรการของเขามันดีทั้งหมดไม่ได้ ต้องฟังเสียงอื่นๆด้วย
.

“เคือง” (ขออนุญาตเปิดไพ่ให้รมว.สาธารณสุขเอง)

ชวนเปิดไพ่ความรู้สึก “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุขหลังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจประเด็นการจัดหาวัคซีนโควิด19

นายอนุทินขึ้นต้นอภิปรายด้วยการยกสุภาษิต “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” และปิดท้ายด้วยการกล่าววลี “วาจาสามหาว” หลังฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศ ส.ส.พรรคก้าวไกลที่ระบุรัฐบาลเอื้อแอสตร้าเซนเนก้าเลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ผลิตวัคซีน

นายอนุทินยืนยันว่าตนไม่ได้ล่าช้า เอ้อระเหยลอยชายในการจัดหาวัคซีนเพราะ ตั้งแต่มีคำว่าโควิดเข้ามา ในสมอง คำต่อไปที่คิดคือ “วัคซีน” และยืนยันว่าวัคซีนล็อตแรกจะมาถึงเมืองไทยในเดือนกุมภาพันธ์นี้

“ทำไมไม่ชื่นชมระบบสาธารณสุขของไทย”
นายอนุทินตัดพ้อ และยังยืนยันอีกว่าวัคซีนที่เราจะใช้เหมาะสมที่สุด เข้าถึงง่ายสุด เพราะผลิตอยู่ในบ้านเรา การมีโรงงานผลิตวัคซีนในประเทศทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นความน่าภาคภูมิใจ

หลังฟังนายอนุทินชี้แจง Decode ชวนศานนท์ หวังสร้างบุญ ผู้ประกอบการทางสังคม เปิดไพ่ความรู้สึกบ้าง
“ไม่รู้สึกดี” “ไม่รู้สึกเชื่อมั่น”

ศานนท์บอกว่านายอนุทินไม่ได้ตอบคำถามของการอภิปราย
และในมุมมองของเขาวัคซีนไม่ใช่แค่เรื่องวัคซีนแต่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งรัฐบาลต้องทำให้เห็นความจริงใจในการเร่งฉีดวัคซีน ไม่ใช่ไปติดตรงคอขวดอยู่กับบริษัทหนึ่ง ตอนนี้ น้ำหนักเหมือนกับไปพยายามสร้างกำไรให้กับบริษัทหนึ่งมากกว่าขยายวัคซีนให้เร็วที่สุด คือทุกที่ตอนนี้ได้วัคซีน แต่เราไม่ได้

เมื่อชวนศานนท์มองการอภิปรายฯ 2 วันที่ผ่านมา ?
การประท้วงในสภาฯ : ประท้วงเยอะมาก มันคือเกม เขาจงใจมองเรื่องภาษามากว่าเนื้อหาสาระของการอภิปราย มีคำบางคำที่เขาตรวจจับอยู่
การอภิปรายในสภาฯ : เราเห็นว่ามันหมดหวัง แต่เหมือนกับว่าเราต้องตั้งคำถามต่อ ถ้าปล่อยไปหมดหวังแน่ เหมือนเข้าไปในห้องมืดแล้วมีคนจุดไฟ อย่างน้อยก็มีความหวัง เราจะออกไปจะให้มันดับไปหรือช่วยกันจุดต่อ
สำหรับกลไกแบบนี้ ผมไม่มองว่านี่คือทางออก มันโบราณ ไม่ได้เป็น Tools ในการแก้ปัญหามาก เราต้องกดดันทางอื่น

“รัฐมนตรีบาทเดียว ซื้อไข่เจียวยังไม่ได้”

คำพูดอภิปรายของ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ต่อประเด็นไม่ไว้วางใจที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” ไม่สามารถผลักดันการเพิ่มงบประมาณอาหารกลางวันได้ตามที่เคยพูดไว้ จากราคา 20 บาทต่อมื้อ เป็น 36 บาทต่อมื้อ แต่เพิ่มได้เพียง 1 บาทเท่านั้น นอกจากการทำไม่ได้ตามคำพูดที่รับปากไว้แล้ว ปดิพัทธ์ยังอภิปรายความถึงล้มเหลวในการแก้ปัญหาเชิงนโยบายการศึกษาในช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้ การบริหารจัดการโรงเรียนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิ์การแสดงออกทางการเมืองของนักเรียนในพื้นที่ต่าง ๆ ได้

Backpack Journalist x Decode ชวนทดสอบสนามอารมณ์ในและนอกสภา BJ X Decode ชวนคุณเปิดไพ่ความรู้สึกระหว่างศึกซักฟอก #อภิปรายไม่ไว้วางใจ64

เราเลือกไพ่ “อดกลั้น” ให้รัฐมนตรีศึกษาฯที่ชี้ทุกประเด็นอย่างอดกลั้น มีแอคชั่นน่าจดจำคือการโปรยเหรีญบาท 3 เหรียญพูดถึงงบอาหารกลางวันที่เพิ่มขึ้น พร้อมบอกว่าการเข้ามารับตำแหน่งในสภาพที่ระบบการศึกษาไทยเป็นปัญหาเรื้อรังมาก่อนแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็พยายามคลุกคลี และแก้ปัญหาที่มันมีอยู่ ไม่อยากให้ดูถูกและหมดหวังในการศึกษาไทยวันนี้ และในฐานะที่เป็นหนึ่งกระทรวงที่นักเรียนมัธยมเดินทางพบและชุมนุมเรียกร้องบ่อยคนหนึ่ง ณัฏฐพลยืนยันรับฟังปัญหาของนักเรียน และสามารถเชื่อมโยงปัญหาของนักเรียนได้มากเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ และอธิบายให้เห็นถึงความพยายามในการทำให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วม เช่น ประเด็นทรงผม

“น้อง ๆ ที่ดูอยู่วันนี้ ผมรับทราบปัญหา ไม่เคยหลบ ไม่เคยหนีปัญหาของน้อง ๆ ผมต้อนรับ และรับฟัง”

ฟังมาทั้งหมด ธญานี เจริญกูล หนึ่งในแกนนำนักเรียนเลว ขอเลือกหยิบไพ่ “โกรธ และสิ้นหวัง”
“รับฟังจริง ๆ แต่ก็คือฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไม่ได่นำไปแก้ไขแต่อย่างใด…ตั้งแต่ ส.ค.63 ก็ยังไม่เห็นปัญหาข้อใดถูกแก้อย่างเป็นรูปธรรมสักเรื่องเดียว”

ธนานีบอกว่า ในสไลด์ที่รัฐมนตรีศึกษาฯ เปิดมีตัวเองอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเป็นวันที่ 19 สิงหาคม 2563 เป็นการคุยกันหลังจบการชุมนุม ซึ่งได้รับแจ้งว่า “รับฟังปัญหา และก็ถ่ายรูปลงเฟซบุ๊ก” ทั้งที่ความจริงตั้งแต่วันนั้นไม่ว่าจะปัญหาอะไรที่กลุ่มนักเรียนเลว หรือนักเรียนกลุ่มไหนพูดขึ้นมาก็ไม่เคยมีการแก้ปัญหาเลย

“มีแต่การขายผ้าเอาหน้ารอด แก้ปัญหาระยะสั้นไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง…ที่พูดมา เหมือนนิทานหลอกเด็ก สร้างภาพให้ตัวเองดูดี ไม่มีความจริง และยังปล่อย Fake News ของนักเรียนเลวด้วยประเด็นที่ว่าประชุมที่เชิญนักเรียนเลวเข้าประชุม นักเรียนเลวจะ LIVE จะทำให้ไม่ได้คุย แต่จริง ๆ คือเราขอให้สื่อทำข่าวด้วย ให้เป็นห้องประชุมเปิด สิ่งที่กระทรวงฯ ทำ ไม่ได้ทำตามที่เราขอและมาพูดบิดเบือนในสภา”

แกนนำนักเรียนเลวยังบอกด้วยว่า ในประเด็นเพิ่มงบประมาณอาหารกลางวันควรถูกขึ้นได้แล้วเพราะมันไม่เคยถูกขึ้นราคามานานับสิบปีขณะที่นักเรียนขาดแคลนขึ้นเรื่อย ๆ เพิ่มตั้ง 1 บาท คิดว่าไม่เพียงพอ ส่วนประเด็นการปิดโรงเรียน เรียนออนไลน์เพราะโควิด ในฐานะที่อยู่โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษระดับประเทศ ใกล้กระทรวงฯ ครูและบุคลากรยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสอนออนไลน์อยู่เลย แล้วนับประสาอะไรกับโรงเรียนต่างจังหวัด

“รัฐมนตรีไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยสนใจความเป็นไปของระบบการศึกษาในประเทศเลย มองแต่เพียงภาพสวยหรูของตัวเอง ไม่ได้สนใจความเดือดร้อนของครู นักเรียน บุคลากรเลย เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่ เราสิ้นหวัง และโกรธ แต่โกรธมากกว่า การเคลื่อนไหวกับสิ่งที่เขาพูดมันไม่ตรงกัน มันเป็นการดูถูกนักเรียน และประชาชน เขาคิดว่าเราโง่มากว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะเป็นความจริง”