ประกายไฟลามทุ่ง
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
ปี 2019 ภาพยนตร์สารคดี นักบัญชีแห่งเอาช์วิทซ์ (Accountant of Auschwitz) ได้ถ่ายทอดประเด็นคำถามที่น่าสนใจว่า หากคุณเป็นปัจเจกชนธรรมดาในระบบที่โหดร้าย เป็นฟันเฟืองชิ้นเล็ก ๆ ฟันเฟืองเหล่านั้นต้องรับผิดชอบเพียงใดต่อการกระทำของระบบที่เลวร้าย
สารคดีจากเรื่องจริงว่าด้วยการตัดสินคดีของออสการ์ โกรนนิง วัย 90 กว่าปี เมื่อมีการตีความกฎหมายใหม่ในเยอรมนีว่าผู้ที่สนับสนุนและไม่ห้ามปรามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีช่วงสงครามโลกที่สอง ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดต้องถูกดำเนินคดีด้วย การตีความนี้ทำให้มีการรื้อฟื้นคดีของโกรนนิง ผู้ทำหน้าที่เป็นนักบัญชีในค่ายเอาช์วิทซ์ที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดเหี้ยมทั้งต่อชีวิตผู้คนและวิธีการที่โหดร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษยชาติซึ่งค่ายนี้ได้กักขังคน 1.3 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตกว่า 1.1 ล้านคน ตลอดระยะเวลา 5 ปี
สารคดีคลี่คลายให้เข้าใจในหลายประเด็น แท้จริงแล้วโกรนนิงไม่ได้ซ่อนตัวที่ไหน เขาเปิดเผยว่าเขาได้ทำงานในค่ายนั้น แต่อย่างที่เราทราบกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กระแสสนับสนุนเผด็จการนาซีเป็นไปในวงกว้าง มีผู้คนสนับสนุนระบอบนี้อย่างเปิดเผยนับแสนนับล้านคน
มันฟังดูแล้วคงเป็นเรื่องที่ใหญ่โต หากต้องดำเนินคดีกับคนนับแสนในช่วงเวลานั้น การตัดสินคดีนาซี – ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีแค่ระดับตัวหัว ๆ เท่านั้นที่ถูกตัดสินคดีอย่างเด็ดขาด เพราะด้านหนึ่งชนชั้นนำทางตุลาการของเยอรมนีหลังสงครามโลกก็มีสายสัมพันธ์กับนาซีทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่นนั้นเมื่อพิจารณาไปที่นักบัญชีธรรมดา ๆ อย่างโกรนนิงซึ่งอายุ 20 ต้น ๆ ตอนนั้น ก็ดูจะเข้าข่ายที่จะถูกตีความหรือแก้ต่างได้ว่า อยู่นอกวงการตัดสินใจต่อนโยบายที่โหดร้าย หรืออาจทำเพราะถูกบังคับ
ในการไต่สวนโกรนนิงในวัย 90 กว่า ถูกนำมาขึ้นศาลอีกครั้ง เขายืนยันและเล่าถึงความโหดร้ายในค่ายว่ามันเป็นจริง มีแม่ชาวยิวที่เอาลูกทารกใส่กระเป๋าเดินทางมา โดนเผด็จการนาซีจับได้ จึงเอาทารกฟาดประตูรถจนเงียบเสียงตายไป ศาลตัดสินว่าโกรนนิงผิดจริงและมีโทษจำคุก (เยอรมนียกเลิกโทษประหาร) แม้การตัดสินของศาลจะสามารถอุทธรณ์ได้แต่โกรนนิงก็เสียชีวิตก่อนการอุทธรณ์ด้วยโรคชรา ในปี 2018 แต่คำตัดสินศาลชั้นต้นที่สำคัญ และยกระดับประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนคือ
“ใช่…มีคนเยอรมันจำนวนมากที่เข้าร่วมกับเผด็จการนาซี แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สมัครเป็นยุวชนนาซี เมื่อคุณเข้าร่วมกับยุวนาซี ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็น SA (Sturmabteilung – กองกำลังกึ่งทหาร คล้ายลูกเสือชาวบ้านในช่วง 6 ตุลาคม 2519 แต่เข้มข้นมากกว่า) และเมื่อคุณเป็น SA ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ไปประจำที่เอาช์วิทซ์ ทั้งหมดคือการเลือกของปัจเจกชน และไม่มีรายงานฉบับใด ที่ยืนยันว่าการปฏิเสธไปประจำที่เอาช์วิทซ์จะมีการลงโทษอย่างรุนแรง หรือการขัดขวางผู้บังคับบัญชาที่ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จะมีโทษถึงชีวิต โดยสรุปแล้วมันคือการเลือกที่จะอยู่กับความโหดร้ายนั้น โดยแค่คุณไม่ตั้งคำถามเพื่อประโยชน์กับตัวเอง“
มันจึงไม่มีใครบังคับทั้งนั้น ท้ายสุดแล้วผู้มีส่วนร่วมกับระบอบที่เลวร้าย แล้วได้ยศศักดิ์เจริญไปกับระบอบนั้น ย่อมมีส่วนรู้เห็น รับผิดชอบเช่นกัน
โกรนนิง อาจอธิบายว่าตอนนั้นเขาอายุเพียง 22 ปี และเป็นตำแหน่งนักบัญชีธรรมดา ไม่ได้เป็นคนเหนี่ยวไกปืน หรือขันวาร์ลแก๊ส มีคนที่ตำแหน่งสูงกว่าเขามากมาย เขาอาจอธิบายได้ว่าหากเขาไม่ทำ ก็จะมีคนอื่นมาทำหน้าที่แทนเขาอยู่ดี และระบบอันเลวร้ายนี้ก็สามารถเดินต่อไปได้ เขาไม่สลักสำคัญอะไร แต่ดังที่ศาลชั้นต้นได้ตัดสินไป ปัจเจกชนเลือกได้เสมอว่าจะทำหรือไม่ทำสิ่งนี้ คำถามสำคัญคือ ณ เอาช์วิทซ์ มีอะไรให้ทำนอกจากการ “ฆ่าคน” และเขาเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
เช่นเดียวกันประเด็นที่น่าคิด เมื่อความชอบธรรมของอำนาจรัฐต่อประชาชนลดลงอย่างมาก การปราบปรามประชาชนแทบจะเกิดขึ้นรายเดือน แกนนำผู้ชุมนุมยังถูกดำเนินคดี จำนวนไม่น้อยถูกคุมขัง เมื่อเราเหลือบดูก็ยังพบว่างบประมาณภาษีของเราไม่เคยถูกคืนกลับมาในรูปแบบรัฐสวัสดิการที่ควรเป็น หากแต่เป็นกระสุนยางและแก๊สน้ำตา เราขาดแคลนพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ในวันที่โรคระบาดเกาะกินชีวิตของเราเป็นส่วนมาก แต่การใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม ในรอบเดือนที่ผ่านมาก็ยังเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า เหล่าตำรวจชั้นผู้น้อย คุมฝูงชน ที่มีภารกิจในการปราบปรามประชาชน พวกเขาจำเป็นต้องถูกวิจารณ์และรับผิดชอบเพียงใด
หากใช้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์แบบ ออสการ์ โกรนนิง พวกเขาเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ในระบบที่โหดร้าย พวกเขาอาจทำสิ่งเหล่านี้เป็นอาชีพ เป็นการหาเลี้ยงปากท้อง แต่ไม่ได้ทำให้ความรับผิดชอบ ในฐานะปัจเจกชนของพวกเขาลดน้อยลง พวกเขาเลือกที่จะได้รับเหรียญตรา ยศ ตำแหน่ง ขั้นเงินเดือน แลกกับการทำลายชีวิต และที่สำคัญคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน และตามที่ศาลเยอรมันได้ให้ความเห็นไว้
“ไม่มีใครบังคับให้คุณเป็นปีศาจร้าย คุณสมัครใจที่จะเป็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวของคุณเอง”
ทางเลือกสำคัญสำหรับตำรวจชั้นผู้น้อย คือการยืนยันข้อเท็จจริง เมื่อมีโอกาสให้สาธารณชนรับรู้ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น บันทึกถึงความชั่วร้ายของคำสั่ง เปิดเผยต่อสื่อมวลชน แม้คดีความทางกฎหมายอาจมีอายุความ หรือกลไกรัฐอาจซ่อนเร้นความผิดของท่านในการกระทำต่อประชาชน แต่ข้อเท็จจริงสำคัญที่จำเป็นต้องเน้นย้ำอยู่เสมอคือ “ประวัติศาสตร์ไม่มีอายุความ”