นิติรัฐนิติธรรมที่ถูกพรากจากรัฐธรรมนูญ - Decode
Reading Time: 2 minutes

การบรรจุร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไว้ในนโยบายช่วงเลือกตั้งรัฐบาลปี 2566 เปรียบดั่งคำมั่นสัญญาของแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ว่าจะเป็นหนทางปรับแก้รัฐธรรมนูญ 2560 กำจัดมรดกจากยุคสมัยผู้นำรัฐประหาร แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความพยายามในการติด ‘กระดุมเม็ดแรก’ ของแกนนำรัฐบาลต่อการเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับภาคประชาชน ไม่เกิดขึ้นมาจนถึงในสมัยของแพทองธาร ชินวัตร ท้ายที่สุด ผู้ที่ลุกขึ้นมาเจรจาให้เกิดปรับแก้มาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) คือ สส. จากฟากฝั่งของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน แต่จุดตัดสินการเดินหน้าร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ กลับอยู่ที่สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 200 คน ที่ต้องลงมติเห็นชอบมากกว่า 67 เสียง ร่วมกับ สส. เพื่อไปให้ถึงตัวเลข 350 เสียง กึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา หากสภาฝั่งสส. เกิดการแตกแถว หรือวุฒิสภาเกาะกลุ่มไม่รับข้อเสนอ (มิหนำซ้ำ ยังเป็นวุฒิสภาที่เข้ามารับตำแหน่งจากการเลือกตั้งของผู้สมัครด้วยกันเอง) ปรับแก้มาตรารัฐธรรมนูญฉบับนี้ นี่อาจเป็นการปิดประตูสร้างผลงาน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญจากรัฐบาลในยุคปัจจุบัน

จากเหตุการณ์ไม่แสดงตนของสส.พรรคร่วมรัฐบาลในการพิจารณาปรับแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 ปิดโอกาสก้าวแรกในการตั้งต้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ชวนขบคิดในเครื่องหมายคำถามที่ว่า นิติรัฐนิติธรรมในเนื้อดินของความเป็นไทย กับกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ สิ่งใดกันแน่ที่ขัดขวางให้วิกฤติการเมือง ณ วันนี้ ไม่อาจก้าวข้ามไปถึงทางออกของรัฐธรรมนูญของประชาชน จากวงเสวนา “นิติรัฐ-นิติธรรม กับการสร้างประชาธิปไตยทางการเมืองและเศรษฐกิจ” ที่ชวนให้ประชาชนเปิดประตูตามหาความหวังใหม่ ภายใต้การตรวจสอบสถานะของหลักนิติรัฐนิติธรรมในสังคมไทย 

ไม่มีประชาธิปไตยใด ไร้นิติรัฐนิติธรรม

เมื่อกล่าวถึงความเข้าใจที่มีต่อนิติรัฐนิติธรรมในสังคมไทย รศ.ดร. มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้คำแปลเป็นภาษาไทยอย่างเข้าใจได้ง่ายว่า นิติรัฐนิติธรรมคือการปกครองโดยระบบกฎหมาย ถือเป็นหนึ่งในความโหยหา สารตั้งต้นที่ก่อให้เกิดกฎหมายราษฎร จากความต้องการของประชาชนที่มองหาหลักประกันทางกฎหมาย ให้เป็นเครื่องยืนยันว่าผู้ที่มีอำนาจรัฐ จะไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ นิติรัฐนิติธรรมจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนการร่างรัฐธรรมนูญ และยังคงเป็นหลักการพัฒนากระบวนการยุติธรรม ไม่ให้ผู้มีอำนาจรัฐและผู้มีอำนาจทางกฎหมาย ตีความกฎหมายตามที่ตนเองนึกคิด เป็นการปิดโอกาสไม่ให้เกิดการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของกลุ่มคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถือเป็นสารัตถะของนิติรัฐนิติธรรม

“ประชาธิปไตยในความหมายของไทย คือการตีความกฎหมายของผู้มีอำนาจ ขัดกับหลักนิติรัฐนิติธรรม ที่เกิดขึ้นมาเพื่อป้องกันการใช้อำนาจตามอำเภอใจ 

นั่นหมายความว่า หากพูดว่าไทยมีหลักนิติรัฐนิติธรรม แปลได้ว่าไทยไม่มีหลักนิติรัฐนิติธรรม เพราะนิติรัฐนิติธรรมในประชาธิปไตยไทย คือกฎหมายที่ถูกใช้ตามการตีความของผู้มีอำนาจรัฐ”

รศ.ดร. มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รศ.ดร. มุนินทร์ ยังกล่าวย้ำถึงระบบกฎหมายภายใต้ระบอบประชาธิปไตยโดยแท้จริง ที่เป็นเพียงระบบการปกครองเดียวตามหลักสากลที่มีความเสมอภาค ในขณะที่ระบอบการปกครองประชาธิปไตยของไทย กำหนดกฎหมายในการคุ้มครองประชาชนเพียงบางส่วน ที่กล่าวในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในความต้องการของประชาชน ยังครอบคลุมไปถึงกฎหมายมหาชน กฎหมายอาญา รวมไปถึงการประกาศบังคับใช้กฎหมาย โดยไร้ซึ่งการคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรม  

ฉะนั้นแล้ว หากกล่าวว่าประเทศไทยมีหลักนิติรัฐนิติธรรมในระบอบการปกครอง หลักนิติรัฐนิติธรรมในความหมายของไทย คือการปกครองตามอำเภอใจของผู้ที่มีอำนาจใช้กฎหมาย ซึ่งไม่อาจพัฒนาพร้อมไปกับหลักนิติรัฐนิติธรรมตามนิยามความหมายที่ควรจะเป็น การที่หลักนิติรัฐนิติธรรมจะมีประสิทธิภาพในทางกฎหมายได้นั้น จึงต้องมีสังคมประชาธิปไตยเป็นรากฐานตั้งต้นให้นิติรัฐนิติธรรมงอกงามร่วมไปกับสังคม

ศ.ดร. อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หยิบยกกรณีข้อเท็จจริงในสังคมไทย ที่ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอหน้า ขาดการเชื่อมโยงกับบทบาทสิทธิของประชาชนอย่างเท่าเทียม จากสถานการณ์ระบุโทษมาตรา 112 กับกลุ่มผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง กลุ่มผู้ลี้ภัยจากการประกาศต่อต้านกระบวนการรัฐประหาร เหตุการณ์ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ สะท้อนให้เห็นว่าช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ไทยมีกระบวนการสองมาตรฐานในกระบวนการนิติธรรม ใช้นิติสงครามระหว่างรัฐและประชาชน กระทั่งเกิดการบัญญัติความหมายของ ‘ตุลาการภิวัตน์’ ที่ผิดเพี้ยนกลายไปเป็น ‘ตุลาการวิบัติ’ จากอำนาจการบังคับใช้กฎหมาย ที่ยึดโยงกับชนชั้นนำของประเทศ 

“กระดูกสันหลังของชนชั้นนำ ถูกบรรจุไว้ในกฎหมายของสังคมไทย”

ศ.ดร. อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

การบังคับใช้กฎหมายของระบบยุติธรรมในสังคมไทยในทัศนะของ ศ.ดร. อนุสรณ์ จึงเป็นเรื่องระหว่างผู้มีอำนาจปกครองกับประชาชนนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จากการปฏิรูปองค์กรศาลและกระบวนการยุติธรรมในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงหลักสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรมนูญ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในครั้งนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อรองรับระบอบการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ แต่ต้องการให้กระบวนการตามหลักสากลเป็นเครื่องมือใช้ในการเป็นอำนาจต่อรองกับชาติตะวันตกที่เข้ามามีอำนาจทางการเมืองของประเทศ ณ ช่วงเวลานั้น นั่นแสดงถึงรากฐานการพยายามใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญของชนชั้นนำ ที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลักการปกครองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง 

เขย่ายอดพีระมิดนิติรัฐนิติธรรม ‘อำนาจตุลาการ’ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม

เมื่อประเทศไทยรับแนวคิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจากตะวันตก รศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีตัวอย่างของวลี “คุกมีไว้ขังคนจน” ที่ถูกหยิบยกมาสะท้อนสถานการณ์ทางการเมืองของฟากฝั่งประชาชนแม้ในช่วงเวลาที่ประเทศมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง เพราะท้ายที่สุด กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ยังไม่นำพาให้ผู้นำประเทศหลุดพ้นจากกลุ่มอำนาจเดิม ความจนในที่นี้ของประชาชน จึงหมายถึงการไร้ซึ่งอำนาจในการขัดขืน ขจัดกลุ่มอำนาจอธิปไตยที่เบ่งบานในสังคม

รศ.ดร. พวงทอง ชี้ให้เห็นถึง 3 ประเด็นหลักที่ทำให้ภาพของนิติรัฐนิติธรรมในสังคมผิดเพี้ยนไปจากความหมายที่ควรจะเป็น ประการแรกคือระบบนิติรัฐนิติธรรมที่มีไว้เพื่อเป็นกฎเกณฑ์ในการตัดสินว่าผู้ใดถูกผิด ผ่านการควบคุมของกลุ่มผู้มีอำนาจทางสังคม ประการต่อมา คือการที่รัฐนำกฎหมายความมั่นคงของรัฐมาใช้กับประชาชน ให้ประชาชนกลับกลายเป็นผู้กระทำผิด โดยให้เหตุผลการใช้กฎหมายเพื่อเป็นการปกครองความมั่นคงของรัฐ แต่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กลับกลายเป็นการลิดรอนสิทธิผู้มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมือง เช่นในกรณีวิสามัญกลุ่มประชาชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การขับเคลื่อนทางอุดมการณ์ของเยาวชน การสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในปี พ.ศ. 2553 ที่เกิดการสูญเสียของผู้เข้าร่วมการชุมนุมและสื่อมวลชนทั้งสิ้น 94 ราย โดยมีรายงานจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม (ศปช.) ว่าจำนวน 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิต มาจากสาเหตุการถูกอาวุธปืนในส่วนท่อนบนและบริเวณศีรษะของร่างกาย โดยไม่มีการตรวจสอบก่อนการสลายการชุมนุม ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีการติดอาวุธหรือไม่ ก่อนที่ผลการชันสูตรจะยืนยันได้ว่าไม่พบคราบเขม่าที่มือของกลุ่มผู้เสียชีวิตจากการชุมนุม

ประการสุดท้ายคือการชี้ชัดว่า การปฏิรูปทางการเมืองเพื่อความมั่นคงของรัฐ ที่รัฐตามความหมายข้างต้น หมายถึงรัฐความมั่นคง ที่ความมั่นคงของรัฐสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด และอนุญาตให้ผู้มีอำนาจของรัฐ ใช้อำนาจของตนเองในนามกฎหมายความมั่นคงจัดการกับกลุ่มทางการเมือง สิ่งเหล่านี้ เป็นผลลัพธ์ของระบบรัฐสภาที่อ่อนแอลง นับรวมไปถึงการตรวจสอบพรรคการเมืองในปัจจุบันที่ไม่ได้เป็นกระบวนการตรวจสอบเพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่มุ่งไปที่การขจัดกับกลุ่มทางการเมืองที่ไม่พึงประสงค์ ดั่งเช่นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในกรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ กระทั่งมาถึงการยุบพรรคก้าวไกลในปี 2567 และกำหนดโทษล้นเกินเสมอเพื่อไม่ให้กลุ่มทางการเมืองเหล่านี้เติบโตในสังคม

“ ระบบรัฐสภาอ่อนแอ ประชาชนเสื่อมศรัทธา อำนาจตุลาการล้นเกิน ไร้ซึ่งการปรับตัว ขาดการยึดโยงกับประชาชน สิ่งเหล่านี้ คือผลลัพธ์ของการปฏิรูปการเมืองที่อ้างหลักการปกครองโดยประชาธิปไตย”

รศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากบันทึกข้อความเปิดผนึกของผู้พิพากษาต่อประธานศาลฎีกา เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกหลักสูตรพิเศษของผู้บริหารศาลยุติธรรมระดับสูง เป็นปรากฏการณ์ขับเคลื่อนภายในอำนาจตุลาการ ที่ชี้ชัดให้เห็นว่าระบบยุติธรรมมีพลังในการปฏิรูปจากการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากบุคคลภายในระบบอำนาจ แสดงถึงความไม่ชอบธรรมระหว่างอำนาจของปัจเจกชนและอำนาจของสถาบัน ที่อำนาจของสถาบันมีความล้นเกิน กลับกันที่อำนาจปัจเจกชนไม่อาจต่อรองได้ กรณีที่ผู้พิพากษายื่นต่อประธานศาลฎีกา เป็นสิ่งที่ปัจเจกชนไม่อาจตั้งคำถามต่ออำนาจตุลาการของประเทศ ไม่กล้าวิพากษ์ต่อระบบกฎหมายที่ไม่อาจต่อรองได้ การเปลี่ยนแปลงของระบบองค์กรจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในของบุคคลผู้อยู่ในระบบอำนาจ และสุดท้ายหากผู้คนในระบบก้มหน้ายินยอมต่อปัญหาที่มีอยู่ เมื่อถึงช่วงเวลาที่ระบบอำนาจทางกฎหมายพังทลาย ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชน

สมคิด พุทธศรี ประธานกรรมการบริหาร The 101.World กล่าวในเชิงเศรษฐกิจ ในฐานะบทบาทเชิงการเมืองเปรียบเทียบกับประเทศรอบข้าง การอยู่ตรงกลางทางประชาธิปไตยของประเทศไทยในสายตาของนานาประเทศ เป็นสิ่งที่ส่งผลดีและเป็นข้อจำกัดของเศรษฐกิจประเทศ ในกรณีของไทยที่หลักนิติรัฐนิติธรรมแปรผันตรงกับสภาวะทางเศรษฐกิจ ที่ว่าด้วยอัตราการเติบโตของฐานเศรษฐกิจ (Gross Domestic Product: GDP) จากการศึกษาผ่านงานวิจัยที่มีชื่อว่า ‘ความยุติ – ธรรม ใต้ภูเขาน้ำแข็ง เศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยการสร้างนิติรัฐนิติธรรมในสังคมไทย’

แม้หลักนิติรัฐนิติธรรมอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนสถานการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศ โดยเทียบเคียงได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระบอบสังคมนิยม แต่เศรษฐกิจดี ประชาชนมีกินมีใช้อย่างเท่าเทียม คือคำมั่นสัญญาสำคัญที่รัฐบาลต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกับนโยบายการลบล้างรัฐธรรมนูญที่เป็นผลงานของคณะรัฐประหาร หน้าที่ของประชาชนคือต้องติดตาม ทำความเข้าใจในทุกองคาพยพที่มีบทบาทในการสร้างสังคมที่มีประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมกับประชาชน โดยประชาชนต้องมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยที่ชนชั้นนำของประเทศไม่สามารถควบคุม คาดการณ์ได้ เช่นการเลือกตั้งที่มาจากเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อเป็นช่องทางความเป็นไปได้ในการสั่นสะเทือนอำนาจที่ไม่เป็นธรรมของรัฐไทย 

ท้ายที่สุดแล้ว อำนาจประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวไม่พอต่อการสร้างระบอบการปกครองที่เป็นธรรม แต่ต้องมีอำนาจในการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจตุลาการ ที่เปรียบเสมือนยอดพีระมิดของหลักนิติรัฐนิติธรรม อำนาจตุลาการจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ตรวจสอบและตอบคำถามแก่ประชาชนได้ การเปิดเผยคำพิพากษาที่แสดงให้เห็นถึงเหตุผลที่มีความหนักแน่นเพียงพอ มีความรับผิดชอบต่อคำตัดสิน โดยที่ประชาชนสามารถตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ศาลได้ เช่นคำตัดสินของศาลอาญาต่อกรณีของ ศ.กิตติคุณ พิรงรอง รามสูต ฐานความผิดตามมาตรา 157 ในคดีบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ฟ้องร้องต่อ ศ.กิตติคุณ พิรงรอง ที่พิสูจน์ให้สังคมไทยเห็นว่า เมื่อระบบที่ส่งเสริมนิติรัฐนิติธรรมมีความอ่อนแอลง ไม่สามารถให้ความยุติธรรมกับประชาชน ก็ไม่เอื้ออำนวยให้หลักนิติรัฐนิติธรรมเติบโตได้ในสภาวะนี้

กระจายอำนาจท้องถิ่น ความหวังใหม่เรียกคืนอำนาจประชาชน

ศ.ดร. อนุสรณ์ คาดการณ์ความหวังของการปรับแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 เปรียบเสมือนสนามรบที่ประชาชนได้รับความเสียเปรียบในทุกความเป็นไปได้ (เห็นได้อย่างชัดเจนจากการประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมปรับแก้รัฐธรรมนูญ จากสมาชิกพรรคภูมิใจไทย หนึ่งในพรรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล) สิ่งที่เพียงพอจะทำได้ในปัจจุบัน คือการมองหาพื้นที่ของประชาชนที่มีความเป็นอิสระทางขับเคลื่อนอุดมการณ์สิทธิ เสรีภาพของประชาชน โดยเป็นภาพที่ประชาชนเคยก่อให้เกิดขึ้นในช่วงเวลากว่าสามทศวรรษที่ผ่านมาผ่านความหวังของสนามการต่อสู้ขนาดเล็ก แม้บริบทของชนชั้นนำกับประชาชนจะมีความแตกต่างกับช่วงเวลาในอดีตที่มีความเป็นกลุ่มเดียวกัน ผ่านสิ่งที่สังเกตได้จากรัฐธรรมนูญ 2540 ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่มีการร่างเสรีภาพให้ประชาชนกว่า 40 มาตรา และลดลงเหลือเพียง 25 มาตราในรัฐธรรมนูญ 2560  แต่การมองหาอำนาจอธิปัตย์ที่มีความแยกย่อย จากสถานการณ์กระจายตัวของทุนนิยม การใช้ช่องว่างของอำนาจการปกครองตนเองของท้องถิ่น ผ่านการเลือกตั้งที่มาจากสิทธิของประชาชน นับเป็นความหวังใหม่ของการสร้างความเข้มแข็งการปกครองในระดับเล็ก ที่ก่อร่างสร้างอำนาจ ในการขัดขืนต่อองคาพยพที่ฝังรากในสังคมไทย

ประชาชน’ คือคำตอบสุดท้ายของในการตรวจสอบอำนาจนิติรัฐ

หัวใจสำคัญของประชาธิปไตย คือสิทธิของประชาชนในการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยสามารถลุกขึ้นมาส่งเสียงเรียกร้องต่อสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ตั้งคำถามถึงลักษณะวิชาชีพกฎหมายที่หล่อหลอมให้คนต้องอยู่ในระบบ ความกลัวในอำนาจตุลาการ อำนาจและการควบคุมในกระบวนการตุลาการของผู้ที่อยู่ภายในระบบ ต้องอาศัยความรู้ของประชาชนในการต่อสู้ การวางรากฐานของกลุ่มทางสังคมไม่ว่าจากกลุ่มวิชาการ เยาวชน สื่อมวลชน การสร้างผลงานทางการศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจ เพื่อก่อให้เกิดการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจากภายในระบบ เพราะธรรมชาติของระบบราชการจากสายตาของรศ.ดร. พวงทองนั้น มีความแข็งทื่อ และไม่ปรับตัวเองไปตามคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่เมื่อประชาชนทลายอำนาจของระบบผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ ผู้มีอำนาจภายในระบบก็มีความกล้าหาญ และมีพลังมากพอในการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงความไม่ชอบธรรมในสังคม

ความไม่สิ้นหวังยังคงดำเนินต่อไปในรอยต่อของความหวังที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมต่อกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งต้องไม่ปล่อยผ่านความไม่ชอบธรรมของการใช้อำนาจให้กลับกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย และยังคงต้องเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนที่มีประชาชนเป็นสารตั้งต้น ให้การเปลี่ยนแปลงที่มีจุดเริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อย มีพลังอำนาจพาประเทศไปถึงการบรรจุนิติรัฐนิติธรรมไว้ในรัฐธรรมนูญ