Sex Education for Teens เพศศึกษาฉบับเรียนรู้ใหม่ สำหรับผู้ใหญ่และวัยรุ่น หนังสือเล่มนี้เป็นภาคต่อจากเล่มก่อนหน้านี้ที่เราเคยเขียนไป (Sex education for parents: คุยเรื่อง Sex กับลูก ไม่ใช่แค่เรื่องการมีเพศสัมพันธ์) จากเล่มก่อนหน้าที่พูดถึงการเลี้ยงดูเพศศึกษาลูกตั้งแต่เกิดจนถึงวัยก่อนวัยรุ่น มาถึงเล่มนี้พูดถึงการเลี้ยงดูลูกที่จะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งมีความแตกต่างจากช่วงวัยเด็ก ทั้งในแง่ของการเปลี่ยนแปลงร่างกายภายนอก และการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจภายใน ซึ่งประเด็นในหนังสือเล่มนี้ที่เราสนใจเป็นพิเศษคือการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลทางด้านจิตใจ แต่ถึงจะบอกว่าแตกต่างจากการเลี้ยงดูวัยเด็กอย่างไรการอบรมบางเรื่องก็ควรจะทำต่อเนื่องตั้งแต่เด็กจนโต และนอกจากนั้นที่สำคัญคือ…
ในช่วงที่ลูกเริ่มก้าวเข้าสู่วัยรุ่น พ่อแม่ก็เริ่มก้าวเข้าสู่วัยทองแล้ว
ซึ่งทั้งสองวัยนี้ เป็นช่วงที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงกันทั้งคู่
ด้วยความที่ทั้งพ่อแม่ลูกฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง การกระทบกระทั่งกันจึงอาจเกิดขึ้นได้ การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจ และยอมรับซึ่งกันและกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในหนังสือเล่มนี้จะเน้นถึงการเลี้ยงดูลูกที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นมากกว่า เมื่ออ่านไปทำให้เราได้พิจารณาตัวเองว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาตอนที่เราเป็นวัยรุ่นมีพฤติกรรมอย่างไร และพ่อแม่ปฏิบัติกับเราอย่างไร
จริงอยู่ว่าความรู้เรื่องเพศศึกษาในสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เราอาจจะยังไม่ได้อัปเดต หรือมีข้อมูลให้ศึกษาเท่าปัจจุบันนี้ แต่เมื่อเราได้รับข้อมูลใหม่แล้วก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมมากขึ้น
ประเด็นนี้ เมื่อได้มาพิจารณากับตัวเอง เมื่อตอนเด็กเราเคยโดนพ่อแม่พูดเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งในตอนนั้นเขาอาจจะพูดโดยไม่ทันได้คิดว่าการกระทำนั้นสามารถสร้างแผลในใจให้กับคนที่ได้ฟัง แต่เมื่อพอเราโตขึ้น และมีหลาน เราได้เรียนรู้แล้วว่าไม่ควรพูดลักษณะนั้นกับหลาน เพราะฉะนั้นในการคุยกับหลานเราก็จะมีความระมัดระวังมากขึ้น เพราะการพูดเปรียบเทียบกับคนอื่น อาจจะทำให้เกิดปมในใจของผู้ที่ได้รับฟังได้
และบางครั้งคำพูดของผู้ใหญ่ก็อาจทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมต่อต้านได้ ซึ่งโดยทั่วไปเราจะเข้าใจว่า
“วัยรุ่น คือวัยต่อต้าน”
แท้ที่จริงแล้ว ในบางพฤติกรรมอาจไม่ใช่พฤติกรรมต่อต้านก็ได้ เช่น การที่ลูกไม่ยอมทำอะไรที่ผู้ใหญ่อยากให้ทำ แต่อาจจะเกิดจากการที่ผู้ใหญ่คาดหวังให้เด็ก เป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ และเมื่อเขาโตขึ้น เขามีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ได้ทำตามที่เราสั่งแบบเดิมอีกแล้ว ผู้ใหญ่ก็เลยเข้าใจไปเองว่า เด็กกำลังต่อต้านเขาอยู่ การที่ผู้ใหญ่พยายามไปบังคับให้ลูกทำนู่นทำนี่ตามที่ใจต้องการ สิ่งนี้คือการพยายามเข้าไปควบคุม ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผู้ใหญ่ควรเคารพการตัดสินใจของลูก คนที่เป็นพ่อแม่ ควรจะดูปฏิกิริยาของลูกเมื่อเราพยายามบอกให้เขาทำนู่นนี่ ว่าเขาแสดงออกยังไง ถ้าการแสดงออกที่เขาโต้ตอบกลับมามันเกินขอบเขต เกินจากมารยาทในการใช้ชีวิตร่วมกันที่ควรจะเป็น ผู้ใหญ่ก็ควรเข้าไปบอกเรื่องกฎเกณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงผลที่อาจจะตามมา หากเด็กทำสิ่งเหล่านั้นออกไป
และบางครั้งการที่เด็กไม่ต่อต้าน ให้ผู้ใหญ่สังเกตพฤติกรรมของเด็กว่าที่ไม่ต่อต้านมีสาเหตุมาจากอะไร เป็นที่นิสัยหรือบุคลิกของเด็กหรือเปล่า หรืออาจมีการต่อต้าน แต่ว่าไม่ได้มากระทำกับพ่อแม่ แต่ไปแสดงออกทางอื่นที่ไม่ใช่กับพ่อแม่ หรือมีผู้ใหญ่คอยรับรู้ความตั้งใจหรือความรู้สึกของเด็ก เด็กเลยไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน หรืออาจจะอยู่ในสภาพที่ถูกกดดัน จนทำให้ต่อต้านไม่ได้ซึ่งถ้าเป็นสาเหตุนี้แล้วเด็กไม่แสดงพฤติกรรมอะไรออกมา อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าได้
พอมาสังเกตตัวเองว่าช่วงเวลานั้นเคยอยู่ในคำกล่าวที่ว่าเป็นวัยต่อต้านหรือไม่ ก็พบว่าเราเคยแสดงพฤติกรรมอะไรแบบนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าที่บ้านเราอาจจะพูดออกมาตรง ๆ แต่ถ้าเป็นกับคนนอกบ้านอาจจะใช้วิธีการดื้อเงียบ แสดงท่าทีว่าฟังนะ แต่บางทีก็ไม่ทำตามหรอก
ช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่น มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และจิตใจเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เรารู้สึกสับสน
เพราะภายนอกเราดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ภายในจิตใจเรายังเป็นเด็กอยู่ ทำให้เด็กเกิดความสับสน ซึ่งผู้ใหญ่ก็ไม่ควรไปตำหนิเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของลูก รวมไปถึงเปรียบเทียบกับคนอื่นด้วย เพราะช่วงวัยนี้เป็นช่วงวัยที่มีความอ่อนไหวง่ายมาก เพราะฉะนั้นการที่ผู้ใหญ่จะทำจะพูดอะไรต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะอาจนำไปสู่การสร้างปมในใจให้ลูกได้ การยอมรับในทางบวกว่าหน้าตาและรูปร่างนั้น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลน่าจะดีกว่า เพราะลองคิดว่าถ้าเป็นเราเอง เราก็คงไม่ชอบให้คนมาวิจารณ์รูปร่างหน้าตาเราเหมือนกัน
เมื่อตอนยังเด็กพ่อแม่กับลูกมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน อาจมีวิธีแสดงความรักจากการสัมผัสร่างกายลูก เช่น จับมือ ลูบตัว โอบกอดอย่างทะนุถนอม การรับฟัง คือฟังสิ่งที่ลูกพูด มองหน้าและรับฟังโดยไม่ขัด แต่เมื่อลูกโตขึ้นอาจจะต้องตัดการสัมผัสร่างกายออกไป เหลือแค่การรับฟังก็พอ
ซึ่งสำหรับเราเอง เมื่อโตขึ้นการรับฟังสิ่งที่เราพูดโดยไม่ตัดสินนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้ว่าพ่อกับแม่รักเรา แค่ฟังเฉย ๆ ไม่ต้องให้ความเห็นอะไรเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงตอนที่มีหลาน เวลาหลานพูดเราจะพยายามมองหน้า ตั้งใจฟัง เพื่อให้เขารู้ว่ามีคนกำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ แม้บางครั้งเราอาจจะอยากออกความเห็น แต่ก็ควรรอให้เด็กเป็นฝ่ายร้องขอก่อนจะดีกว่า
นอกจากการรับฟังแล้ว พ่อแม่ควรมีระยะห่างให้ลูก เพราะในช่วงนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในใจของลูก 2 อย่าง คือ สบายใจเมื่อมีคนล้อมรอบ แต่ก็รู้สึกต่อต้านเมื่อมีคนมาล้อมรอบ ความสบายใจอันแรกคือการที่มีคนมาล้อมรอบทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เป็นที่ยอมรับ ส่วนความรู้สึกต่อต้านเมื่อมีคนมาล้อมรอบ ในบางครั้งเด็กอาจจะรู้สึกอยากพึ่งพาตัวเอง พอมีคนมาช่วยเหลือก็อาจทำให้รู้สึกว่าเวลาครั้งต่อไปจะทำอะไรจะไม่ค่อยกล้าตัดสินใจ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องรู้จักจังหวะในการเข้าหาลูกดี ๆ ต้องคอยสังเกตว่าช่วงเวลาไหนที่ลูกต้องการ หรือช่วงเวลาไหนที่ลูกอยากพึ่งพาตัวเอง
แต่บางครั้งเราก็เข้าใจนะว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่อดไม่ได้หรอกที่จะอยากเข้าไปช่วยเหลือลูก นี่ดูจากพ่อแม่ตัวเอง แล้วก็จากพี่สาวที่มีลูก ที่อยากจะเข้าไปช่วยลูกทำนู่นทำนี่ แต่ผู้ใหญ่ควรอดใจ และเข้าไปช่วยเท่าที่จำเป็นโดยอาจกำหนดขอบเขตว่าแค่ไหนถึงจะพอ อย่างเช่นเรื่องการทำความสะอาดห้อง ผู้ใหญ่อาจจะกำหนดเลยว่าจะช่วยทำความสะอาดเฉพาะช่วงวันธรรมดา และเฉพาะเมื่อลูกมาร้องขอ หากเป็นวันหยุด หรือไม่ได้มีการร้องขอ เขาต้องจัดการเอาเอง พ่อแม่ควรปฏิบัติกับลูกเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนนึง ก็คือพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล และพ่อแม่ควรรับฟังความคิดเห็น และเคารพการตัดสินใจของลูกด้วย
นอกจากระยะห่างระหว่างพ่อแม่กับลูกแล้ว การที่สอนให้ลูกรู้จักระยะห่างกับคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ควรสอนด้วย เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากคนอื่น สิ่งแรกที่ควรจะสอนเด็กให้รู้คือเรื่องพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งประเด็นนี้เราเคยพูดไปแล้วในบทความที่แล้วว่า พื้นที่ส่วนตัว คือ ปาก หน้าอก อวัยวะเพศ ก้น 4 อวัยวะนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เราต้องระวัง ผู้ใหญ่ต้องไม่ไปมองหรือจับเล่น เพราะทั้ง 4 อย่างนี้เชื่อมโยงกับภายในร่างกาย และเกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์
ผู้อ่านอาจจะแย้งขึ้นมาในใจว่า แล้วที่เห็นคนในครอบครัวชอบไปโดน 4 ส่วนสำคัญกับเด็ก ๆ มาตั้งนาน ไม่เห็นเป็นอะไรเลย นั่นเป็นวิธีแสดงความรักไม่ใช่หรอ
เราอยากจะบอกว่า เมื่อก่อนไม่รู้ ไม่เป็นไร แต่ถ้าตอนนี้เรารู้แล้ว เราก็ไม่ควรทำอีก
ให้เราลองนึกย้อนไปว่า… ตอนเป็นเด็ก เราชอบให้มีคนมาถูกเนื้อต้องตัวแบบนั้นหรอ…
ถึงบางคนจะบอกว่าชอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชอบ เพราะฉะนั้นใน 4 ส่วนสำคัญนี้เราที่เป็นผู้ใหญ่ควรจะระมัดระวังไว้ดีกว่า
เพราะไม่เช่นนั้นเด็ก ๆ อาจจะจำไปว่าการถูกเนื้อต้องตัวแบบนั้น เป็นการแสดงความรัก และบางทีอาจนำไปสู่การถูกเนื้อต้องตัวคนอื่น จนกลายเป็นการทำอาชญากรรมที่ร้ายแรงก็ได้ ถ้าผู้ใหญ่ช่วยขีดเส้นแบ่งตั้งแต่แรกก็จะไม่มีปัญหาที่ตามมาในอนาคต
แต่ถ้าหากที่ผ่านมาผู้ใหญ่เคยเผลอทำไปแล้ว และรู้ตัวว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดี พ่อกับแม่ก็สามารถขอโทษลูกได้ และไม่ทำพฤติกรรมเหล่านั้นในครั้งต่อ ๆ ไป
คนทำอาจจะรู้สึกว่า มันเรื่องแค่นี้เอง..
แต่สำหรับคนที่โดนกระทำ เขาจำฝังใจไปอีกนาน บางคนอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้เลย
นอกจากการถูกเนื้อต้องตัวโดยตรงแล้ว การใช้คำพูดที่ดูเหมือนเป็นการล้อเล่น ก็ถือเป็นคุกคามทางเพศเหมือนกัน
การสอนให้ลูกรู้จักสิทธิในร่างกายของตัวเอง สอนให้รู้จักพูดคำว่าไม่ เมื่อเวลาที่คนอื่นมาทำอะไรกับเขา ก็อาจจะเป็นการช่วยป้องกันให้ลูกไม่ได้รับอันตรายจากคนอื่นได้
แม้การปฏิเสธ อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่หากเรายอมรับความแตกต่าง และฝึกอยู่เสมอ เมื่อลูกออกไปใช้ชีวิตจริงในสังคม ก็จะกล้าปฏิเสธได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องสอนอีกว่าถ้าตัดสินใจอะไรไป ต้องยอมรับผลกับการกระทำที่จะเกิดขึ้นด้วย ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี
และที่บอกว่าเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ลูกจะเริ่มมีระยะห่างกับพ่อแม่ อันนี้จากที่ดูหลานเราว่าไม่ต้องถึงช่วงเข้าวัยรุ่น แค่ 6 ขวบก็เริ่มอยากจะมีห้องส่วนตัวแล้ว อาจจะเพราะอยากมีพื้นที่ส่วนตัว ทำอะไรด้วยตัวเอง ซึ่งในฐานะน้าก็ว่าหลานจะเริ่ม ๆ ขีดเส้นกั้นเส้นแบ่งเขตบาง ๆ แล้ว และเชื่อว่าถ้ายิ่งโตขึ้นเขาก็จะเริ่มไม่ค่อยอยากเล่าอะไรให้คนในบ้านฟัง ซึ่งเส้นแบ่งนี้ จะเป็นเส้นแบ่งที่จะบอกว่าเมื่อไหร่ที่จะพูด YES เมื่อไหร่จะพูด NO คนในบ้านก็ต้องเคารพในความคิดเห็นของเด็กด้วย ถึงแม้ในบางครั้งอาจจะไม่ถูกใจเราก็ตาม
นอกจากเรื่องข้างต้นที่เราได้พูดถึงไป พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องเพศก็จะชัดเจนมากขึ้นทั้งเรื่องภายนอกที่เราสามารถสังเกตเห็นเองได้ เช่น เพศสรีระ การแสดงออกทางเพศ บทบาททางเพศ หรือจะเป็นเรื่องข้างในจิตใจ เช่น อัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศ ผู้ใหญ่ก็ควรจะศึกษาไว้ เพื่อทำความเข้าใจ เพราะเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก และมีความลื่นไหลตลอดทุกช่วงอายุ
การพูดคุยเรื่องเพศศึกษากับลูกที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นไม่ใช่เพียงแต่พูดถึงเรื่องการสืบพันธุ์เท่านั้น แต่ควรมีเรื่องเหล่านี้เข้าไปด้วย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่เราก็สมควรศึกษาเรื่องนี้ เพราะเรื่องเพศมีความรู้ใหม่ ๆ เข้ามาตลอดเวลาตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะคนที่มีลูก หรือหลานในบ้านยิ่งควรศึกษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และจะได้นำไปปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมให้เด็กใช้ชีวิตในสังคมในภายภาคหน้าอีกด้วย
หนังสือ: Sex Education for Teens เพศศึกษาฉบับเรียนรู้ใหม่ สำหรับผู้ใหญ่และวัยรุ่น
ผู้เขียน: มามิ ฟุคุจิ , ยูคิฮิโระ มุราเสะ
ผู้แปล: จุฬาลักษณ์ กรณ์สกุล
สำนักพิมพ์: Sandclock Books
PlayRead: คอลัมน์รีวิวหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี