แผลส่วนตัว - Decode
Reading Time: 2 minutes

ระหว่างบรรทัด

อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร

แผลบนตัวเรา เอาไปฝากบนร่างกายคนอื่นให้รักษาแทนไม่ได้ มันจะมีเวลาในการเยียวยาด้วยตัวของเราเอง ช้า-เร็วแล้วแต่ร่างกายของคน-ของใคร

แผลในใจเราก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่…

เคยเป็นมั้ย...ช่วงเวลาที่ใจมันไม่ค่อยดี-บาดเจ็บ-ยํ่าแย่จากเรื่องบางเรื่อง-สาเหตุจากบางสาเหตุ บางคนก็อาจเลือกที่จะออกไปหาเพื่อนหรือใครซักคน พูดคุย ดื่ม ระบายคำในใจ-ความข้างใน ซึ่งโดยส่วนใหญ่สิ่งที่ตามมาก็จะเป็นคำปลอบประโลมต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งก็อาจทำให้เรื่องในใจที่เกิดขึ้นนั้น…ชะลอความรุนแรงและลดความชัดเจนลงได้…บ้าง

แต่มันก็จะค่อย ๆ กลับมาโอบกอดเราใหม่ ในระหว่างทางเดินทางกลับบ้าน ห้อง หรือหอ และโดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เราได้กลับมาอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง และอีกหลาย ๆ ครั้งต่อมาในช่วงเวลาแห่งความรู้สึกเหล่านั้นที่ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากการโอบกอด-รัดเราอยู่อย่างนั้น เพราะต่อให้ใช้คำปลอบประโลมจากร้อยพันคน-หมื่นพันคำจากที่ไหน ในที่สุดคำเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ระเหยหายไป คนเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ไกลออกจากตัวเราไป…เหมือนเดิม

จากจำนวนวันของอายุที่ได้เคลื่อน-เดิน-วิ่งผ่านข้ามมา มันก็ทำให้การค่อย ๆ ทำความเข้าใจต่าง ๆ ได้เกิดขึ้น และความตกใจจากการที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมใจก็ลดความรุนแรงลงได้บ้าง

ก็เลยทําให้ในหลาย ๆ ครั้ง ที่เราก็แค่เลือกยอมปล่อยให้ความไม่สบายใจเหล่านั้น…เกิดขึ้น (ไปเลย) โดยไม่ต้องถือ-แบก-ดื้อพยายามทำความเข้าใจอะไรกับมัน เหมือนฝนที่มันจะเปียกชโลมตัว เดี๋ยวมันก็จะแห้งไปได้เอง ซึ่งต่อให้มีร่มซักกี่พันอัน กางออกปกป้อง มันก็คงหยุดการตกลงมาของฝนจากบนท้องฟ้าไม่ได้อยู่แล้ว

เพราะบางที…การปล่อยให้มันได้เปียกตัวเราบ้าง มันก็อาจเหมือนการเปิดโอกาสให้ได้ทําความรู้จักกับแรงกระทบ-สะเทือน ความหนาวเย็นเปียกมอม เพื่อที่จะทำให้ความตกใจในหัวใจมันลดลง ในวันที่ถ้ามัน…จะเกิดขึ้นอีก…ได้บ้าง

ถ้าเราเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเกิดขึ้นไปแล้วเมื่อวานไม่ได้ ก็คงแค่เพียงเริ่มทำความเข้าใจกับผลที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ว่ามันจะร้ายหรือดี…แค่ไหน

และคงต้องยอมคลายกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ลงบ้าง เพราะยังไงมันก็จะยังไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่การอยู่ไปวันต่อวัน เหมือนการหามื้อ-กินมื้อ แต่เราว่ามันเหมือนกับการตื่น-รู้ตัวและอยู่ให้ได้ยังไงในแต่ละวัน ทำความเข้าใจ-ยินดีในทุก ๆ วันที่ยังเกิดขึ้นให้เราได้อยู่กันต่อไปต่างหาก

สิ่งนึงที่เราไม่ค่อยจะเข้าใจมาโดยตลอดอายุขัย คือทำไมคนเราชอบเอาความฝันกับความจริงมามัดรวมกัน? เพราะถ้าจะมีบางคนหลับในที่ทำงานและฝันอยากให้งานออกมาเสร็จแล้วดี มันจะดีและเกิดขึ้นได้จริง ๆ ในตอนที่เค้าลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อเจอกับชิ้นงานนั้นบนโต๊ะทำงานเหรอ? 

เราจึงรู้สึกว่าถ้าอยากฝันก็แค่นอนหลับต่อ หลับเพื่อฝันให้สาแก่ใจ แล้วพอตื่นขึ้นมาก็มาทำความจริงที่อยากให้เกิดขึ้น ลงมือทำให้มันเกิดขึ้นได้จริง ๆ ซักที

หรือในที่สุดแล้ว…มันก็คงคล้ายกับการรักษาแผลด้วยตัวเราเอง ที่จะเอาไปรบกวนฝากให้ใครช่วยนอนหลับและฝันแทนเราก็คงไม่น่าจะได้ หรือจะพยายามวางแผน-ลวงหลอกเพื่อขโมยความฝันจากใครคนอื่นมาเป็นของเรา…ก็คงไม่ได้เช่นกัน แผลของเรา ๆ ก็แค่ค่อย ๆ รักษาไปเอง ฝันของเราก็แค่หลับนอนและฝันด้วยตัวเอง ตื่นมาก็ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับบาดแผลนั้น ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ-รักษาและลงมือทำสิ่ง ๆ นั้นที่อยากให้มันเกิดขึ้นได้…ด้วยตัวของเราเอง