“นานเท่าไหร่แล้วที่เห็นว่าเขาเอาต้นยูคามาปลูก ?”
“เกือบสองปีได้แล้วแหละ โตไวมาก ตอนนี้ก็สูงไปสามเมตรกว่าแล้ว นี่ยังดีว่าเขายังเว้นพื้นที่ไว้บ้าง”
พื้นที่ตรงหน้ากว่า 437 ไร่ถูกปรับสภาพ มีคันดินยกร่องไว้สำหรับการปลูกต้นยูคาลิปตัสในพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จากฝั่งอำเภอควนขนุน พัทลุง ครอบคลุมไปถึงจังหวัดสงขลา ผ่านพื้นที่หลากหลายทางธรรมชาติของแหล่งน้ำ ป่าเสม็ดขาว ไปจนถึงพื้นที่ทุ่งหญ้า แหล่งเลี้ยงควายน้ำของชาวบ้านในพื้นที่ แต่หากนั่งเรือลึกเข้าไปในพื้นที่รอยต่อระหว่างสองจังหวัด เนินปลักควายตั้งหันหน้าปะทะกับสวนยูคาลิปตัส มีสายตาที่สามเป็นกล้องวงจรปิดจากฝั่งสวน จับจ้องมายังฝั่งตรงข้าม นี่ไม่ใช่ความผิดปกติเดียวใน ‘ที่สาธารณประโยชน์ทะเลน้อย’ จากเนินดินธรรมชาติ แปลกตาไปเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นจากความไม่ชอบมาพากลของการใช้ประโยชน์พื้นที่และการรุกล้ำทะเลน้อย
‘สาธารณะ’ แบบใด ออกโฉนดให้ ‘นายทุน’
บทสนทนาระหว่างผู้มาเยือนกับพี่สมใจ เอ่งเซ่ง เจ้าของปลักควายที่อยู่ติดกับพื้นที่ปลูกต้นยูคาลิปตัส จากพื้นที่สาธารณะ กลับถูกระบุไว้ในเอกสาร น.ส.3 ว่าถือครองโดยนิติบุคคล มีภูมิลำเนาในจังหวัดสงขลา จากเอกสารระบุว่าได้มีการถือกรรมสิทธิในพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ ปัจจุบันส่วนหนึ่งของพื้นที่จำนวน 437 ไร่นี้ถูกโอนย้ายให้กับบริษัทเอกชนในจังหวัดสงขลาเป็นผู้มีสิทธิการใช้พื้นที่ และแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งให้บริษัทผู้ประกอบธุรกิจค้าไม้เพื่อการแปรรูป เช่าพื้นที่ปลูกต้นยูคาลิปตัส จากข้อมูลการประกอบอาชีพของผู้ถือครองเอกสารสิทธิ ระบุว่าเป็นหนึ่งในนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดสงขลา จึงมีความเกี่ยวโยงว่า ผู้ถือครองเป็นนายหน้าจัดหาและดำเนินการด้านเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทะเลน้อยให้กับบริษัทเอกชน แต่นั่น ก็เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตของพี่สมใจ รวมไปถึงชาวบ้านผู้ติดตามการตรวจสอบสิทธิในพื้นที่ เพราะขั้นตอนการยื่นเรื่องขอเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ กระทำได้ยากลำบากจากการประกาศพื้นที่เขตอุทยาน ทั้งยังต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งสิทธิในพื้นที่กับกรมที่ดินว่าไม่ได้มีการรุกล้ำพื้นที่ การมีประสบการณ์ในการจัดการสิทธิการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นหนึ่งในข้อเหตุผล ความเป็นไปได้ในการได้มาซึ่งเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ในพื้นที่
“ก็ให้ทางบริษัทเขาเช่าที่ปลูกยูคา ดีกว่าปล่อยให้รกร้าง รอบก่อนผมปลูกปาล์มไป ควายมากิน มาเหยียบ เราก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาราว ถือว่าเรามาทีหลัง”
ส่วนหนึ่งจากคำสัมภาษณ์ของเจ้าของที่ดิน ในวันที่ชาวบ้านมีการเข้าไปตรวจสอบการรุกล้ำพื้นที่ ร่วมกับสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 4 ภาคใต้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในช่วงเดือนสิงหาคม 2566 โดยในระยะแรก บริษัทที่เช่าพื้นที่ได้นำรถแบคโฮเข้ามาปรับสภาพพื้นที่ให้เป็นเนินดินคันร่อง ชาวบ้านจึงร้องเรียนกับเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย เพราะกลัวว่าจะเป็นการรุกล้ำพื้นที่ในเขตห้ามล่าฯ ของกรมอุทยาน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า เจ้าของที่ดินมีการดำเนินการขอเอกสารสิทธิใช้ประโยชน์จากกรมที่ดิน กรมอุทยานจึงทำได้เพียงส่งมอบเอกสารต่อไปให้ยังสำนักงานกรมที่ดิน อำเภอควนขนุน ทำการตรวจสอบกระบวนการได้มาซึ่งเอกสารสิทธิในพื้นที่ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้มีการรุกล้ำพื้นที่ตามประกาศของการดูแลเขตอุทยาน
‘คน’ พื้นที่ไม่มี ‘สิทธิ’
บทสนทนาเริ่มต้นด้วยการคลี่คลายความสงสัยว่า ทำไมจึงมีบุคคลมีสิทธิถือครองการใช้พื้นที่ ในเมื่อมีการประกาศเขตพื้นที่ให้เป็นการดูแลของเขตอุทยาน?
ชาวบ้านอยู่ในพื้นที่มาร่วม 200 ปี มีประกาศเป็นพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่าในปี 2518 แต่การเข้ามาดูแลพื้นที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เริ่มต้นในปี 2535 ในระหว่างนั้น ชาวบ้านมีเอกสาร ส.ค.1 ที่เป็นหลักฐานว่าชาวบ้านได้มีการครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินมาก่อนประกาศเป็นเขตหวงห้าม ผู้ออกเอกสาร ส.ค.1 คือหัวหน้าฝ่ายปกครองท้องที่ ได้แก่ผู้นำชุมชน นายอำเภอ นายกเทศบาล นายก อบต. เป็นผู้รับรองการใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับประชาชน (เอกสารส.ค.1 มีการออกครั้งสุดท้ายในวันที่ 1 ธันวาคม 2497 ก่อนจะมีการประกาศกฎการใช้ที่ดิน) นั่นเท่ากับว่า เอกสารการใช้ที่ดินนี้ ไม่ได้ผ่านการรับรอง และตรวจสอบพื้นที่โดยกรมที่ดิน แต่ภายหลังได้มีการปรับแก้ข้อกำหนดให้ประชาชนนำเอกสารไปยื่นรับรองการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ (น.ส.) หรือโฉนดที่ดินจากกรมที่ดินในกรณีที่มีการสร้างระวางแผนที่
เมื่อมีการประกาศใช้กฎการใช้ที่ดินในปี พ.ศ. 2497 สิทธิการใช้ประโยชน์ในพื้นที่จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมที่ดิน ออกเอกสารการใช้ประโยชน์พื้นที่ชื่อว่า “น.ส.” โดยจะต้องมีการพิสูจน์การเข้าครอบครองพื้นที่ และหากมีโครงการระวางแผนที่ ผู้ถือครองสามารถยื่นขอเปลี่ยนจากเอกสารการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ เป็นโฉนดที่ดินเมื่อกรมที่ดินได้ระวางแผนที่ และรังวัดขอบเขตพื้นที่ทั้งหมด ก่อนที่ในปี 2543
พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน ที่ว่าด้วยการขออนุญาตจัดสรรที่ดินจะถูกบัญญัติขึ้น เป็นเหตุผลให้การโอนย้ายสิทธิการถือครองที่ดิน แบ่งพื้นที่เพื่อเช่าที่ดินกระทำได้โดยง่ายดายมากขึ้นกว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ด้วยการประกาศเขตพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 ทำให้พื้นที่ทั้งหมดในเขตทะเลน้อยไม่ได้รับการรังวัดที่ดินตามกฎของกรมที่ดิน และถือเป็นสิทธิการดูแลภายใต้กรมอุทยานฯ การมีเอกสาร น.ส. ในพื้นที่เขตอนุรักษ์ จึงมีความเป็นไปได้อย่างยากลำบาก จึงเป็นสาเหตุให้ชาวบ้านยังคงถือสิทธิใช้ประโยชน์ในพื้นที่ด้วยเอกสาร ส.ค.1 ซึ่งเป็นชื่อของบรรพบุรุษ ทำการเกษตรและเลี้ยงควายน้ำมามากว่า 2 รุ่นอายุคน แต่เมื่อกลุ่มเอกชนภายนอกเข้ามาแสดงสิทธิในพื้นที่ เอกสารที่ใช้ในการยืนยันกลับเป็น น.ส.3 ที่ต้องระวางแผนที่ รังวัดแปลงที่ดินมาก่อนหน้าแล้ว การได้มาซึ่งเอกสารสิทธิที่สร้างความสงสัยจนกระทั่งได้ชื่อเล่นว่า ส.ค. บิน ทำให้กรมอุทยานฯ จำเป็นต้องส่งต่อให้ทางกรมที่ดินพิสูจน์ย้อนกลับไปถึงกระบวนการได้มาของเอกสาร และมีการรุกล้ำเข้ามายังพื้นที่ของเขตอุทยานหรือไม่
ความพิเศษของรูปแบบการใช้ที่ทะเลน้อย คือมุมมองการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของประชาชน การเข้ามาครอบครองของเอกชน และการจัดการธรรมาภิบาลในพื้นที่ของหน่วยงานรัฐ ที่ในหลากหลายเหตุการณ์ องค์กรปกครองท้องถิ่นเข้าไปมีบทบาทในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะของสังคม ‘ผู้เล่น’ ในเรื่องราวนี้ จึงไม่ใช่เพียง ‘ชาวบ้าน’ และ ‘เอกชน’ ต่างพิสูจน์สิทธิการครอบครองพื้นที่ หากแต่ยังมีภาครัฐ เข้ามาจับจอง ใช้ประโยชน์ในพื้นที่จากทางตรง ในการดำเนินการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์พื้นที่ตามอำนาจหน้าที่ขององค์การปกครองท้องถิ่น และทางอ้อม ในการเข้าไปครอบครองในพื้นที่ในรูปแบบการขอเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ในนามบริษัท
ย้อนรอยคดีฉาว ตัดวงจรอุบาทว์ของป่ายูคาลิปตัส
จากความทรงจำของพี่สมใจที่จดจำได้ว่าเริ่มที่การเข้ามาครอบครอง ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของบุคคลภายนอกนับตั้งแต่ช่วงปี 2543 แต่ช่วงเวลาที่มีการตรวจสอบกระบวนการได้มาซึ่งเอกสารของกรมที่ดิน เริ่มต้นในปี 2548 กรมอุทยานฯ ได้ตรวจพบการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมายและนำไปสู่การเพิกถอน ประกอบไปด้วย
- ได้เพิกถอน นส. 3 ก ที่ออกโดยมิชอบ จำนวน 15 ฉบับ เนื้อที่ 712-3-00ไร่ ตามคำสั่งกรมที่ดินที่ 1089 /2547 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2547
- ดำเนินคดี สค.1 ปลอม จำนวน 33 ฉบับ เนื้อที่ 1,523-1-00 ไร่ ท้องที่ ต.ทะเลน้อย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ตามคำสั่งกรมที่ดินที่ 3005/2547 ลงวันที่ 1 พ.ย. 2557 ซึ่งเป็นการออกโดยการใช้ ส.ค.1 ไม่ถูกต้องสอดคล้องกับพื้นที่จริง (สค.1 บิน) และไม่ดำเนินการตามกฎกระทรวงที่ 43 (พ.ศ. 2537) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
ต่อมาในปี 2553 กรมอุทยานฯ ได้ขอความร่วมมือกรมที่ดินเพิกถอนฯ เอกสารเพิ่มเติม 136 ฉบับ เนื้อที่รวมกว่า 4,500 ไร่ จนกระทั่งถึง 2560 ยังคงไม่มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินในส่วนนี้ ทั้งยังมีเอกสารการใช้ประโยชน์ที่ดินอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบ จำนวน 3,000 ฉบับ เนื้อที่ 70,000 ไร่
ปี 2555 นายชาย สุวรรณชาติ หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยพัทลุง ณ ขณะนั้น เข้าตรวจสอบพื้นที่ริมทะเลน้อย อ.ควนขนุน หลังจากชาวบ้านแจ้งว่าทางเทศบาลตำบลทะเลน้อยถมที่ดินต่อเนื่องเป็นพื้นที่ยาวกว่า 2 ไร่ โดยไม่ขออนุญาตจากกรมอุทยานฯ พร้อมนำป้ายมาปักแสดงความเป็นเจ้าของ เมื่อเข้าตรวจสอบ เทศบาลคงยังฝ่าฝืน จึงแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.ทะเลน้อย กับนายคณนาถ หมื่นหนู นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทะเลน้อย ในการรุกล้ำพื้นที่อนุรักษ์
กระทั่งต่อเนื่องมายังปี 2559 ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์การใช้ประโยชน์ รุกล้ำพื้นที่เขตอุทยานฯ ทั้งจากภาคเอกชน ผู้นำทางการเมืองที่ครอบครองที่ดินในฐานะบริษัทจดทะเบียน หน่วยงานรัฐที่ใช้อำนาจตามบทบัญญัติท้องถิ่นในการเข้าใช้พื้นที่สาธารณะ เช่นจากกรณีตาม บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การบริหารจัดการที่ดินทะเลน้อยสาธารณประโยชน์ที่ทับซ้อนกับ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ที่เทศบาลตำบลทะเลน้อยและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ได้มีการกล่าวอ้างว่าต่างฝ่ายต่างปลูกสร้างอาคารไม่เหมาะสม รุกล้ำเข้ามายังพื้นที่ “ทะเลน้อยสาธารณประโยชน์” ที่ทำข้อตกลงใช้ประโยชน์ร่วมกัน รวมไปถึงข้อพิพาทกรณีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางราชการประมูลราคาที่ดินที่ไม่สามารถโอนย้ายกรรมสิทธิ์ได้ เพื่อก่อสร้างตลาดน้ำทะเลน้อยตามโครงการของเทศบาล
การขุดลอกคลอง ถมคันดินในพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งหมดนี้ ต้องอาศัยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) พิจารณาตามกฎหมายถึงความชอบธรรมในการใช้ประโยชน์พื้นที่
ความกังวลถึงแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นในการรุกล้ำพื้นที่ ทำให้เกิดข้อเสนอจากนายนริศ ขำนุรักษ์ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ให้มีการประกาศใช้ ม.44 ตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ประสานไปยังงานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.กอ.รมน.) เพื่อขอกำลังทหารลงพื้นที่เขตห้ามล่าฯ กระตุ้นให้เกิดกระบวนการตรวจสอบที่รวดเร็วกว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้สุดท้ายจะยังไม่ได้มีการประกาศใช้ ม.44 แต่นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการบุกรุกเข้าไปถือครองเอกสารสิทธิในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย เพื่อเป็นแนวทางในการปรับใช้กับกรณีการรุกล้ำในพื้นที่อื่น
ปัญหาการรุกล้ำที่ดิน ที่ส่งผลให้ชาวบ้านขาดพื้นที่ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ในฐานะรัฐบาล ในช่วงเดือนตุลาคม 2566 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น ดำเนินการมอบที่ดินส.ป.ก.4-01 ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ป่าพยอม จากนโยบายสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เดินหน้าจัดสรรที่ดินเพื่อการเกษตรสำหรับผู้ขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูก โดยเป็นการถือครองเพื่อทำประโยชน์ด้านการเกษตร ประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ หากถือครองสิทธิมากกว่า 5 ปี จะสามารถนำเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ไปยืนยันกับกรมที่ดินเพื่อเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดิน สร้างมูลค่าทางพื้นที่ให้กับเกษตรกรผู้ถือครอง
การเติบโตขึ้นมาของป่ายูคาลิปตัส จึงไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียง 2 ปีให้หลัง สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านต้องออกมาเรียกร้อง ไม่ใช่เพียงเพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งที่ชาวบ้านใช้ในการเลี้ยงควายน้ำจะหายไป แต่เพราะกว่า 20 ปีที่ชาวบ้านเห็นการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่บ้านและแหล่งทำมาหากิน สร้างความกังวลหากบุคคลภายนอกยังสามารถออกเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ ที่ ‘บิน’ มาจากภายนอก จะเป็นการเบียดขับให้ตนต้องออกจากพื้นที่ และคำว่าเขต ‘อนุรักษ์’ อาจถูกสงวนไว้เพียงกลุ่มคนหนึ่งเพียงเท่านั้น
บทบาทท้องถิ่นอุดช่องโหว่ ‘หาประโยชน์ในทางมิชอบ’
ท้องถิ่นที่เข้ามามีบทบาทในเรื่องการรุกล้ำที่ดินทะเลน้อย คงไม่พ้นชื่อของ เทศบาลตำบล และองค์การบริการส่วนจังหวัด อำนาจหน้าที่การปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 สามารถสรุปได้ตามมาตรา 54 และมาตรา 57 ว่าเทศบาลตำบลถือเป็นการปกครองส่วนพื้นที่ ที่มีผู้บริหารมีอำนาจการตัดสินใจปกครองในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของตน เนื่องจากได้ยกระดับจากองค์การบริหารส่วนตำบล มาเป็นเขตเทศบาล ส่วนองค์การบริการส่วนจังหวัด มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารระดับท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 จัดทำและประสานการทำแผนพัฒนาจังหวัด ตามระเบียบคณะรัฐมนตรี และสามารถจัดทำข้อบัญญัติภายในระดับท้องถิ่นโดยไม่ขัดต่อกฎหมายได้
แม้องค์การบริหารส่วนจังหวัด จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีการรุกล้ำพื้นที่สาธารณประโยชน์ แต่ด้วยบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแล รักษาพื้นที่สาธารณประโยชน์ภายในท้องถิ่น การจัดทำข้อบัญญัติการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ จึงเป็นหนึ่งในแนวทางการแก้ไขปัญหาผ่านการใช้กฎหมายระดับท้องถิ่น เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากจะถามหา ‘คนกลาง’ ในการทำงานจัดการด้านการรุกล้ำพื้นที่ ในมุมมองของ ดร.เชิดศักดิ์ เกื้อรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย กล่าวว่า หน่วยงานแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่การทำงานที่ชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ทะเลน้อย กลับเป็นหน้าที่ซ้อนทับกันระหว่างกรมที่ดินกับกรมอุทยานฯ ที่เมื่อมีกรณีการรุกล้ำพื้นที่ สองหน่วยงานจำเป็นต้องประสานเขตความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อพิสูจน์ที่มาของเอกสารสิทธิ แต่ก็กลับล่าช้า เป็นช่องว่างให้เกิดการใช้ประโยชน์ในทางมิชอบเพิ่มเติมในอนาคต
ดร. เชิดศักดิ์ เกื้อรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย
แม้พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยจะได้รับการคุ้มครองด้วยอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ (Ramsar) แต่สิ่งนี้อาจไม่เพียงพอในการเข้าไปขจัดปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ การที่ อบจ.เล็งเห็นความสำคัญในการจัดตั้งข้อบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่ทะเลน้อย โดยไม่ขัดต่อหลักกฎหมายของกรมอุทยานและกรมที่ดิน อาจเป็นหนึ่งในแนวทางส่งเสริมการแก้ไขปัญหากับการรุกล้ำจากพื้นที่ภายนอก ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงลึกของการประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์ ว่ายังคงมีวิถีชีวิตผู้คนดำเนินมาก่อนหน้า และยังมีความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ร่วมไปกับบทบาทการเมืองท้องถิ่น ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล พัฒนาพื้นที่สาธารณะ ทำงานรับผิดชอบกับหน่วยงานภาคส่วนอื่นในการก่อให้เกิดสิทธิในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่อย่างเป็นธรรม
ใครได้ ใครเสีย ในธรรมาภิบาลการเมืองท้องถิ่นที่เว้นว่าง
“ปัญหาข้อพิพาทการใช้ประโยชน์ที่ดิน การรุกล้ำพื้นที่ เป็นปัญหาที่ในทุกเขตพื้นที่อุทยานต้องเจอ เพราะหลายครั้ง เราประกาศเขตอุทยาน หลังการเข้าไปใช้พื้นที่ของคนที่อยู่มาก่อนหน้าอุทยาน ท้ายที่สุดแล้ว ผลเสียที่เกิดขึ้นมากที่สุด คือการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในพื้นที่”
ในสายตาที่มองเห็น และการใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่มามากกว่าหลายสิบปี ทำให้ชาวบ้านรับรู้ได้ว่าธรรมชาติในพื้นที่ทะเลน้อย ‘ไม่เหมือนเดิม’ ส่วนหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตของดร.เชิดศักดิ์ถึงสาเหตุการเปลี่ยนแปลง มาจากกระบวนการจัดการน้ำเสียในพื้นที่ การขุดลอกคลอง ปรับเปลี่ยนทิศทางน้ำ ที่ส่งผลต่อคุณภาพ ปริมาณสัตว์น้ำที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากคำบอกเล่าของชาวประมงที่คลุกคลีกับพันธุ์ปลา เกี่ยวเนื่องไปกับสายพันธุ์นกในพื้นที่ เพราะเมื่อไม่มีปลาที่เป็นอาหารของกลุ่มนกน้ำ ความชุกชุมของนกในพื้นที่ก็ลดลงตามไปด้วย
ภาพนกน้ำที่เป็นเครื่องยืนยันความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทะเลน้อย
นอกจากปริมาณสิ่งมีชีวิตในพื้นที่จะลดลง พืชท้องถิ่นก็ถูกรุกราน ทดแทนด้วยวัชพืชที่เข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะจอกหูหนูยักษ์ ที่ทำให้ปริมาณหญ้าที่เป็นอาหารของควายน้ำลดลง ดร.เชิดศักดิ์ กล่าวว่านี้คือเอเลียนสปีชีส์ (Alien Species) ที่เข้ามาแล้วเติบโต ขยายพันธุ์ได้ดีกว่าพืชท้องถิ่น อีกทั้งยังกำจัดได้ยาก เป็นสาเหตุให้พืชท้องถิ่นที่คอยรักษาระบบนิเวศในพื้นที่มีจำนวนลดน้อยลงไปด้วย
ภาพจอกหูหนูยักษ์ที่เข้ามาแทรกแซงการเจริญเติบโตของหญ้าท้องถิ่น
“แต่ก่อนไม่เคยมีนะ จอกหูหนูยักษ์ ตอนนี้ก็ต้องมานั่งคิดกันว่าจะกำจัด เอาไปแปรรูปอย่างไรได้บ้าง เพราะจริง ๆ รถตักวัชพืชของ อบจ. ก็มี แต่มีแค่คันเดียว อยู่กับเราทั้งปีก็ยังเก็บได้ไม่หมดเลย”
แม้จะยังไม่มีการสำรวจถึงสาเหตุที่แท้จริง ว่าปัจจัยใดบ้างที่ทะเลน้อยไม่เหมือนเดิม นอกเหนือไปจากประจักษ์พยานผู้อยู่ในพื้นที่ แต่ปัญหาเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางพื้นที่ ที่ผู้นำท้องถิ่น อาจเป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ ที่จะเข้ามาพัฒนาพื้นที่ทะเลน้อย รวมถึงเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ เป็นผู้นำกระตุ้นการทำงานและทำให้การเปลี่ยนแปลงในระดับท้องถิ่น เป็นขั้นแรกของการพัฒนาสังคม เพราะในกรณีข้อพิพาทด้านที่ดินนี้ มีหน่วยงานท้องถิ่น เข้าไปมีบทบาทเป็นทั้งคู่กรณี และผู้ที่จะเข้าไปพัฒนา แก้ไขปัญหาให้กับผู้ได้รับผลกระทบ
ฟื้นระบบนิเวศทะเลน้อย เผือกร้อนในมือผู้นำท้องถิ่นคนใหม่
ดูเป็นเรื่องราวที่ยากสำหรับชาวบ้านทะเลน้อย กับสิ่งที่จะทำให้รู้สึกว่าการเมืองท้องถิ่นเป็นสิ่งที่พึ่งพาได้สำหรับประชาชน จากประสบการณ์ที่ได้รับฟังจากชาวบ้าน การถูกเมินเฉยจากการขอความร่วมมือหน่วยงานท้องถิ่นให้สร้างเนินปลักสำหรับเป็นที่พักของควายน้ำมาตลอดสิบปี เพราะพื้นที่ถูกรุกรานอย่างต่อเนื่องจากการปลูกปาล์มน้ำมัน ยูคาลิปตัส แต่ก็ไม่เคยได้รับความร่วมมือ เป็นผลให้ควายที่ชาวบ้านเลี้ยงจำนวนหนึ่งไม่มีจุดพักคอย ก่อนจะล้มตายเพราะไม่สามารถอพยพในช่วงฤดูน้ำหลากได้ทันเวลา มิหนำซ้ำ หน่วยงานท้องถิ่นยังนำงบประมาณไปใช้กับการขุดลอกคลองในพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยใช้คำว่าปรับภูมิทัศน์เพื่อความสวยงาม แต่กลับทำให้ระบบนิเวศในพื้นที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบพืชและสัตว์น้ำภายในพื้นที่
“หลายครั้งที่เขา(ภาครัฐ)มาและเขาก็ไป แต่ปัญหามันไม่ได้หายไปไหน”
แม้ประสบการณ์การบริหารงานของผู้นำท้องถิ่น อาจดูไม่เชิญชวนให้ประชาชนเห็นว่า การได้ใช้สิทธิเลือกผู้นำของตนเอง มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเมืองที่ตนอยู่อย่างไรบ้าง แต่สำหรับชาวพัทลุง ที่ส่วนหนึ่งในนั้นคือชาวบ้านใน ต.ทะเลน้อย มีการออกมาใช้เสียงมากถึง 78 เปอร์เซ็นต์ เป็นอันดับหนึ่งของประเทศในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 2563 สวนทางกับปัญหาที่มีความละเอียดอ่อนในพื้นที่ ทั้งปัญหาความยากจนติดอันดับ 1 ใน 4 ของประเทศ การเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศ ปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ที่จำเป็นต้องเจรจา ทำงานร่วมกับกรมที่ดินและกรมอุทยานฯ การเข้ามารับตำแหน่งสำหรับผู้สมัคร จึงต้องนับรวมเอาความมุ่งหวังของประชาชน ที่จะพัฒนา บัญญัติการแก้ไขปัญหาภายในพื้นที่เป็นหนึ่งในวาระการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่น
“อะไรคือสิ่งที่กังวลต่อหลังจากนี้”
“ต่อไปคงไม่ได้มีแค่ยูคา ชาวบ้านคุยกันว่าทุเรียนน้ำกำลังมีราคา ในอนาคตก็คงเอามาปลูกด้วย ไม่รู้ว่าจะกระทบมากไหม”
ไล่เรียงจากต้นปาล์ม ต้นยูคาลิปตัส กับภาพในอนาคตจากการคาดการณ์ของชาวบ้านในพื้นที่ทะเลน้อย ว่าพืชที่มีการปลูกรุกล้ำในพืชที่ทะเลน้อยในวันข้างหน้า อาจรวมไปถึงทุเรียนน้ำ ที่กลุ่มผู้ดำเนินธุรกิจจะเข้ามาใช้ประโยชน์ เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ พืชทั้งสาม เป็นผลมาจากความต้องการทางเศรษฐกิจที่มีราคาสูงตามแต่ละช่วงเวลา และผู้ประกอบการย่อมหาแหล่งเพาะปลูกที่เหมาะสม เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ณ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน หรือ มูลนิธิพื้นที่ชุ่มน้ำ ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า หากมีพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เข้ามาภายในพื้นที่ จะส่งผลทำให้ระบบนิเวศของทะเลน้อยเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด จึงเป็นโจทย์ให้ทางมูลนิธิศึกษาผลกระทบหากมีการนำพืชทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เข้ามาเพาะปลูกในพื้นที่
ภาพระบบนิเวศทั้งสามในพื้นที่ชุ่มน้ำ ป่าเสม็ดขาว ทุ่งหญ้า แหล่งเลี้ยงควายน้ำในพื้นที่
ความหลากหลาย อุดมสมบูรณ์ของพันธุ์พืชและสัตว์ป่าในพื้นที่ทะเลน้อย ได้รับการยอมรับว่าเป็นมรดกทางการเกษตร จากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) นอกจากชาวประมง ควายน้ำ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ ยังมีพื้นที่การปลูกสาคูต้นที่ได้รับความเสียหายจากการปรับสภาพพื้นที่โดยโครงการของหน่วยงานปกครองท้องถิ่น เกษตรกรขาดรายได้จากการซื้อขายผลผลิตสาคูต้น รวมไปถึงแหล่งน้ำ ที่สาคูต้นเป็นพืชท้องถิ่นสำคัญในการรักษาคุณภาพน้ำจากแหล่งต้นน้ำ หากพื้นที่ทะเลน้อยยังเปลี่ยนแปลงไปด้วยสาเหตุการใช้พื้นที่ ที่หน่วยงานของรัฐไม่สามารถยับยั้งได้ การถูกถอดถอนจากสถานะมรดกทางการเกษตร อาจยังไม่สำคัญเท่ากับมรดกทางภูมิปัญญา วิถีชีวิตของผู้คน สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติในพื้นที่ ที่จะเลือนหายไปพร้อมกับการรุกล้ำพื้นที่ และยากต่อการฟื้นระบบนิเวศเดิมให้กลับมาอีกครั้ง
ไม่มีใครยืนยันได้ว่าภายหลังการเลือกตั้งครั้งนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงของปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ของทะเลน้อยไปในทิศทางใด ปัญหาที่มีอยู่เดิม และความกังวลของประชาชนในพื้นที่ ต่อปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นมาในอนาคต ในฐานะผู้นำท้องถิ่นจะต้องตั้งรับอย่างไรบ้าง เพราะในหลากหลายปัญหา ต้องใช้การปรับเปลี่ยนกฎหมายเข้าไปเป็นการยับยั้งปัญหาที่ต้นเหตุ และยังคงมีหลากหลายปัญหา ที่ไม่สามารถรอคอยการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายได้ รัฐท้องถิ่น จึงต้องเข้ามาเป็นกุญแจสำคัญ ที่ทำให้ประชาชนสามารถเชื่อมั่นได้ว่า จะเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหา การพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ตามบทบาทที่ได้รับมาจากการเลือกตั้งของประชาชน