มิโล แมวน้อยกระโดดไม่เป็น - Decode
Reading Time: 3 minutes

จากทรรศนะของผม ผู้ซึ่งไม่เคยเลี้ยงแมว และคาดเดาจากนิสัยส่วนตัว ผมก็ไม่น่าจะใช่หนึ่งในหมู่คนที่รักแมวแน่ ๆ แต่ ‘มิโล แมวน้อยกระโดดไม่เป็น’ เป็นหนังสือเล่มแรกที่พาผมตะลึง พลิกอ่านรวดเดียวจนจบ และอมยิ้มกับเสน่ห์ของเจ้าสี่ขาแสนซน สัตว์ที่ซึ่งมนุษย์หลงใหลอย่างหัวปักหัวปำ

ในชีวิตประจำวัน ผมเจอคนรอบตัวไม่น้อยที่เอาจริงเอาจังกับการเลี้ยงแมว ที่ไม่ใช่เพียงแค่เศษเสี้ยวของกากอาหาร แต่เป็นการเลี้ยงที่แมวได้อยู่กินอย่างดี เกือบ 10% ของรายได้ประจำ ถูกแบ่งไปกับค่าใช้จ่ายทั้งหลายของแมว ทั้งอาหาร ของเล่น ทรายแมว และบ้านคอนโด อย่างตรงไปตรงมาที่สุดนะครับแม้ผมจะอ่านเล่มนี้จบ แต่ผมกลับไม่มีความอยากที่จะเลี้ยงแมวเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะผมคงเอาแต่ห่วงว่า 10% นั้น จะทำให้หม้อชาบู และปิ้งย่างในมื้อเย็นสุดสัปดาห์ของผมคำเล็กลง แต่ในแง่หนึ่งผมก็ขอคารวะขอบคุณผู้โปรดปรานและเมตตาในการเลี้ยงสัตว์ด้วยความสัจจริง

ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่นอกเหนือจากมนุษย์ แมวเป็นสัตว์ที่แสนพิเศษ หรือพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่แมวประเภทจรจัดทั่วไป แต่เป็นบรรดาแมวที่มีเจ้าของทั้งหลาย เพราะมันจะถูกประเคนทั้งอาหารที่แสนอร่อย และที่อยู่อาศัยที่แสนสบาย โดยพื้นฐานทางธรรมชาติของสัตว์ที่ถูกออกแบบให้เป็นผู้ล่าและผู้ถูกล่า แต่เมื่อแมวกลายเป็นสัตว์เลี้ยง แมวเหล่านั้นก็จะสูญเสียสัญชาติญาณเดิมของมันไป แมวเหล่านี้จะล่าและหาอาหารไม่เป็น

มิโล เป็นแมวดำ เกิดมาด้วยความผิดปกติเพราะคลอดในขณะที่แม่ของมันอยู่ในภาวะอ่อนแอ และกลายเป็นแมวกำพร้าเพราะแม่เสียชีวิตทันทีหลังจากคลอดมิโล แมวดำเป็นเหมือนปมด้อยของเจ้าสี่ขา “เพราะผู้คนเอาแต่พากันบอกว่า แมวสีดำคือแมวที่นำมาซึ่งลางร้าย” ซ้ำร้ายกว่านั้นมิโลยังมีความผิดปกติทางการเคลื่อนไหว ‘ซีรีเบลลาร์ ไฮโปเพลเซีย’ คือชื่อของอาการที่มิโลเป็น ในขณะที่นายแพทย์กำลังอธิบายมันก็ได้แต่ร้องถามว่ามันคือโรคอะไร  “มันเป็นสภาวะทางระบบประสาท อาการที่เป็นอยู่จะไม่แย่ลงและไม่ติดต่อ สาเหตุเกิดจากสมองน้อย ซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวมีพัฒนาการต่ำมาตั้งแต่เกิด” มิโลเถียง “ว่าผมมีพัฒนาการต่ำได้ยังไง ผมฉลาดจะตาย” แต่มิโลก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง คือมีผู้อุปการะ ‘หญิงสาว’ ผู้รับเลี้ยงมิโลในฐานะตัวแทนของนกกาดำที่เธอเพิ่งสูญเสียไป

ห้องสี่เหลี่ยมกลายเป็นที่อยู่อาศัยใหม่ของมิโล หญิงสาวเลี้ยงดูแลมิโลอย่างดี ทั้งซื้ออาหารชั้นยอด และของเล่นมากมาย เหมือนดั่งมิโลเป็นลูกของหญิงสาวแท้ ๆ เธออุ้มมิโลนอนคู่กันบนเตียง คลอเคลียกันทั้งคืน แต่แล้วก็มีเรื่องให้กลุ้มใจ เธอได้แต่พลางคิดว่ามิโลจะลงจากเตียงยังไง เพราะอาการของมิโล ทำให้มิโลเป็น ‘แมวที่กระโดดไม่เป็น’ คำถามที่วนอยู่ในใจของหญิงสาว “ถ้ามีแมวปกติมาทำให้มันรู้สภาพของตัวเอง แล้วมันเจ็บปวดล่ะ ถ้าเกิดมิโลพยายามเลียนแบบแมวตัวนั้นจนได้รับบาดเจ็บล่ะ” หญิงสาวตั้งคำถามโดยที่หาคำตอบให้เองไม่ได้ และได้แต่เลี้ยงมิโลอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมต่อไป

มิโลเป็นแมวที่ไม่มีโอกาสได้ออกไปข้างนอก วิ่งเล่นในทุ่งกว้าง หรือชมดอกไม้ในสวนสาธารณะของวันหยุดสัปดาห์ โอกาสเดียวของมิโลที่จะได้เจอสัตว์ตัวอื่น คือช่วงวันที่หญิงสาวออกไปทำงาน และปล่อยมิโลไว้ลำพัง

เสียงดังโครมครามที่หน้าต่างชวนพามิโลตกใจ แต่เมื่อชะเง้อหน้าออกไป กลับพบนกนางนวลตัวใหญ่มหึมา “ช่วยด้วย ช่วยด้วย” มิโลพาเอาร้องยกใหญ่ นกนางนวลเรียกมิโลว่า ‘แมวหรู’ เพราะปลากะพงจานโตที่ตั้งอยู่บนครัว นกนางนวลเวอร์จิลกระโดดงับปลากะพง ทั้ง ๆ ที่มิโลยังไม่ได้เอ่ยอนุญาต เวอร์จิลบอกว่าปลาอร่อยมาก และเล่าว่ามันเคยอาศัยอยู่ที่ชายทะเล ดินแดนอันสมบูรณ์ กินปลาเป็นอาหารหลัก แต่วันนี้ที่นกนางนวลต้องอพยพเข้ามาทำรังในเมือง “เพราะคนแห่กันกินซูชิ ทะเลเลยเสียสมดุล” เวอร์จิลยังเล่าอีกว่า พวกเราหลายตัวตายเนื่องจากหลงกินถุงพลาสติกเข้าไป เพราะนึกว่าเป็นปลา ฉายภาพให้เราเห็นว่าทะเลที่เป็นดั่งแหล่งอาหารของทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่อยู่ในสภาพที่อุดมสมบูรณ์เหมือนเก่า ข้อมูลจาก อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ระบุว่าสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลต่อการอพยพถิ่นฐานของนกนางนวลที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาล เนื่องจากสาเหตุหลัก ๆ คือแหล่งอาหารไม่อุดมสมบูรณ์

มิโลถามเวอร์จิลว่า “แล้วจริงหรือเปล่าที่นางนวลเป็นสัตว์ดุร้าย เล่นงานสัตว์เล็ก ๆไร้ทางสู้อย่างผม กินหนูตายและแพร่เชื้อโรค”


เวอร์จิลถามกลับว่า “เจ้าว่าท่าทางฉันดุร้ายรึ เจ้าโชคดี ได้อยู่บ้านสวย ๆ กินแต่อาหารดี ๆ และมีคนคอยดูแล ส่วนพวกเราสัตว์ป่าต้องหาอาหารเอง ไม่มีใครคอยดูแลเรา แม้แต่อยู่ในเมืองก็ใช่ว่าจะง่ายนะ ผู้คนเกลียดชังเราหาว่าเราสกปรกและใจร้าย ฉันเองก็อยากกินปลากะพงทุกวัน แต่บ่อยครั้งต้องคุ้ยขยะอาหารไปเลี้ยงครอบครัว”

ผู้เขียนยอกย้อนความพิเศษของแมวได้อย่างเจ็บแสบ ถ้าหากเราพิจารณาว่าทั้งคู่เป็นสัตว์เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ มิโลนั้นเป็นสัตว์เลี้ยง

เวอร์จิลวนเวียนมาหามิโลทุกวัน สอนมิโลกระโดด จนมิโลสามารถกระโดดได้ ก่อนที่จะถึงฤดูอพยพอีกครั้ง เวอร์จิลบอกว่า ต้องไปโมรอกโกแล้ว และนี่เป็นวิถีของนกนางนวล “ฟังนะมิโล นานมาแล้วที่แมวอยากพวกเจ้ากลายเป็นสัตว์เลี้ยง เลือกการใกล้ชิดกับมนุษย์เป็นหนทางอยู่รอด เจ้าลองคิดดูนะ จะเป็นยังไง ถ้าเจ้ายังเป็นแมวข้างถนน ส่วนนางนวลอย่างพวกเราเป็นสัตว์ป่า เกิดมาเพื่อบิน บางทีก็บินหนี ชีวิตแต่ละชีวิตต้องยอมรับว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร ถึงแม้ว่าวัน หนึ่ง เจ้าจะกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ก็เถอะ” เวอร์จิลก่อนบินจากไป หลังจากนั้นมิโลก็แสดงให้แม่ของมันเห็นว่า มันเก่งแค่ไหน “วูม วูม กระโดดขึ้นกระโดดลงโซฟาไม่ยอมหยุด”

เปียรีโน แมงป่องมีพิษ พบกับมิโลในวันหนึ่ง มันขู่มิโลว่ามันป็นมาเฟียในย่านนี้ กัดมิโลทีเดียวจอดตายสนิท ก่อนที่แม่ของมัน แมงป่องตัวใหญ่กว่า ขึ้นเสียงใส่ลูกว่าอย่าไปรบกวนคนอื่น โดยเฉพาะมิโลที่เป็นเจ้าของบ้าน เปียรีโนเล่าชีวิตของตัวเองให้มิโลฟัง ว่าพวกมันต้องหาอาหารอย่างไร หาที่อยู่อาศัยอย่างไร ท่ามกลางเมืองที่กลายเป็นอาคารโออ่าหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ท่อน้ำทิ้ง และกองขยะทิ้งของเสียที่กลายเป็นบ้านพักและแหล่งชุมนุมของแมงป่องในเมืองนี้

“โตขึ้นนายอยากเป็นอะไรนะ มิโล” เปียรีโนเอ่ยถาม มิโลกลับตอบว่า “นอกจากวิ่ง และกระโดด ฉันอยากจับสัตว์ได้บ้าง”

สัตว์สี่ขาอย่างมิโลที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Felis catus เป็นสัตว์สปีชีส์ในจำพวกเดียวกับเสือ ซึ่งเสือบางสายพันธ์ุเป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก แปลกกับคำตอบของมิโลแค่ไหนกัน มิโลกลับมีความฝันว่า มันแค่อยากวิ่งได้

ส่วนสุดท้ายของหนังสือ “เกาะแมว” หญิงสาวได้พามิโลออกไปเที่ยวเกาะ ไปพักผ่อนตากอากาศในวันหยุด บนเกาะแห่งนี้มีสัตว์มากมาย โดยเฉพาะแมว มิโลได้พบกับติโมเน แมวตาบอดที่ลี้ภัยจากสงครามซีเรีย แต่โชคดีที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้ด้วยความใจดีของมนุษย์ มิโลได้พบกับกุ้งล็อบสเตอร์ก้ามขาด เพราะพยายามหนีตายจากกระทะของเชฟ ที่กำลังปรุงอย่างเมามัน สำหรับอาหารอันโอชะของนักท่องเที่ยวบนเกาะนี้ มิโลได้เจอสุนัขพันธุ์ปั๊ก ที่ทำให้มิโลได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่แมวอย่างมิโลแค่นั้นที่กลายเป็นสัตว์เลี้ยงอันแสนน่ารักของมนุษย์ แต่ยังมีหมาอีกหลายสายพันธ์ุ และก็เช่นเดียวกันที่ยังมีหมาจรที่ไม่ได้ถูกใครรับเลี้ยงไว้ ต้องหากินและอาศัยอย่างโดดเดี่ยวลำพัง

มนุษย์มักทึกทักเอาเอง ว่าตัวเองอยู่ในส่วนบนสุดของห่วงโซ่อาหาร สามารถกำหนดชะตากรรมสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ได้ทุกประเภท เราจึงเห็นมหาเศรษฐีเลี้ยงสิงโต เห็นเกษตรกรเลี้ยงลิงเพื่อปีนป่ายมะพร้าว หรือสัตว์อื่น ๆ อีกนานับชนิด แต่เรากลับไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อย ว่าเราในฐานะผู้อยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร (ถ้าเกิดว่าใครคิดเช่นนี้) ได้ทำลายสัญชาติญาณเดิมของสัตว์แต่ละชนิดไปอย่างไร และเราทำลายห่วงโซ่อาหารของสัตว์ไปมากน้อยเพียงใด

เพราะคงไม่มีแมวทุกตัวในโลกโชคดีอย่างมิโล และคงมีสัตว์อีกไม่น้อยที่คล้ายกับเวอร์จิลที่กำลังเคลื่อนย้ายอพยพเพื่อหาแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์