เป็นเวลากว่า 20 ปีที่ประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้การแสวงหาความปรองดองทางการเมือง นับตั้งแต่ปี 2549 ภายใต้ยุคการเมืองหลากสี ยุคกปปส. มาจนถึงกลุ่มเยาวชนปลดแอกและม็อบราษฏร ทว่า การปรองดองดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นจริง ยังมีประชาชนถูกดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง มีเพียงคณะรัฐประหารเท่านั้นที่ได้รับการนิรโทษกรรม นับตั้งแต่ปี 2549
เมื่อการนิรโทษกรรมอาจเป็นทางออกสำคัญที่จะพาเราไปให้ถึงความปรองดอง การลดความขัดแย้งในสังคมที่ต้องเกิดจากการที่ทุกฝ่ายมองร่วมกันว่าต้นตอของปัญหาที่แท้จริงคืออะไร
ทว่า ความความปรองดองนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง ถ้าหากยังมีใครสักคนโดนคดีทางการเมือง
ตามหาความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่านผ่านการนิรโทษกรรมกับ พูนสุข พูนสุขเจริญ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและกฎหมาย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กับการขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน เมื่อก้าวแรกคือการนิรโทษกรรม ก้าวต่อไปยิ่งสำคัญคือการตามหาความปรองดองที่แท้จริงในสังคมไทย
คดีพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ลี้ภัยทางการเมืองนับร้อย
ท่ามกลางการหาความปรองดองของสังคมไทยทุกยุคสมัย ก็ยังมีคนโดนคดีทางการเมืองทุกยุคสมัยเช่นเดียวกัน
ในยุคการเมืองหลากสี(2548-2556) มีผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองไม่ต่ำกว่า 1,504 คน ในขณะที่หลังการรัฐประหารของ คสช.(2557-2562) มีผู้ถูกดำเนินคดีไม่ต่ำกว่า 1,036 คน และตัวเลขของผู้ถูกดำเนินคดีสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในยุคม็อบราษฏร(2563-2566) อย่างน้อย 2,422 คน
และในช่วงปี 2557-2562 ภายใต้ระบอบ คสช.มีประชาชนกว่า 2,400 คนที่ถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมือง ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง และความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ พวกเขาถูกพิจารณาคดีในศาลทหาร ซึ่งไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมและอัตราโทษในบางคดียังสูงกว่าศาลยุติธรรมกว่าเท่าตัว
“ในขณะที่ศาลตัดสินจำโทษคดีเหล่านี้ 3-15 ปี แต่ศาลทหารซึ่งมีประชาชนประมาณ 2,400 คนถูกส่งไปดำเนินคดีในระยะเวลา 5 ปี(2557-2562) สามารถตัดสินโทษจำคุก 8-10 ปี ตัวเลขของโทษที่ต่างกันมันทำให้เห็นว่าคณะรัฐประหารซึ่งมาจากทหารนั้นใช้อำนาจของฝั่งตัวเองได้อย่างเบ็ดเสร็จ และกดขี่ประชาชนขนาดไหน”
ในช่วงเวลาดังกล่าว คสช.ยังอาศัยกฎอัยการศึกและคำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อคุกคามและปิดกั้นการเคลื่อนไหวของประชาชน อย่างน้อย 1,500 คน ถูกเรียกรายงานตัว คุมตัวในค่ายทหารและถูกติดตามที่บ้าน มีการปิดกั้นสื่อและควบคุมการนำเสนอข้อมูลและการใช้กฎหมายข่มขู่ปิดปากประชาชนเหล่านี้ยังส่งผลให้มีผู้ที่ต้องลี้ภัยทางการเมืองไม่น้อยกว่า 100 คน
พูนสุขให้ข้อสังเกตว่า ช่วงการเลือกตั้ง 2562 ไม่ปรากฎการฟ้องร้องคดีมาตรา 112 เลย มีการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมทางการเมืองในมาตราอื่น ๆ แต่หลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ประจวบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการชุมนุมของเยาวชนปลดแอกและม็อบราษฎร การดำเนินคดีมาตรา 112 ก็กลับมาอีกครั้งและมีตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์
ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นับตั้งแต่เริ่มมีการเผยแพร่รายชื่อผู้ถูกดำเนินคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2563 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาตามมาตรา 112 แล้วอย่างน้อย 262 คน ใน 285 คดี
ในจำนวนคดีทั้งหมด แยกเป็นคดีที่มี “ประชาชน” เป็นผู้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษจำนวน 140 คดี, คดีที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร้องทุกข์กล่าวโทษจำนวน 11 คดี, คดีที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ 9 คดี, คดีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองไปร้องทุกข์กล่าวโทษ 1 คดี ส่วนที่เหลือเป็นคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้กล่าวหา ทำให้เห็นว่านอกจากมาตรา 112 จะสามารถฟ้องร้องโดยใครก็ได้ จำนวนคดีมากกว่าครึ่งยังถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐในการคุกคามประชาชน
ในยุค ‘ม็อบราษฎร’ นับตั้งแต่การชุมนุมในปี 2563 ปรากฏการณ์การใช้กฎหมายจัดการคนเห็นต่างยิ่งรุนแรงขึ้น และ ‘ศาล’ ได้กลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับประชาชน โดยคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นคดีที่ประชาชนถูกดำเนินคดีมากที่สุดคือ 1,469 คน ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการนำกฎหมายที่อ้างว่าใช้ควบคุมสถานการณ์โรคระบาดมาปิดปากผู้ชุมนุมทางการเมือง
โดยเฉพาะหลายคดีที่เกิดจากการแสดงออกทางการเมืองอย่าง คดีปฏิทินเป็ดหรือการทำโพลสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเด็นต่าง ๆ คดีเหล่านี้ถูกตัดสินเป็นคดีร้ายแรงเกินจากการกระทำจริง ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของคดีมาตรา 112 ซึ่งเป็นชนวนความขัดแย้งรุนแรงของสังคมไทยในยุคหลัง
“การสู้คดีมันเหนื่อย คนที่โดนคดีต้องเสียเงิน เสียเวลา บางคดีต้องเดินทางมาขึ้นศาลที่กรุงเทพฯ บางคดีคนที่อยู่กรุงเทพฯ ต้องไปขึ้นศาลที่ต่างจังหวัด รวมถึงสูญเสียอิสรภาพจากการกดขี่โดยผู้มีอำนาจ และหลายคดีที่ไม่ควรจะถูกฟ้อง ทั้งหมดมันคือการแสดงเจตนารมณ์ของประชาชน แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับคือการสูญเสียหน้าที่การเงินและการใช้ชีวิต”
แม้ปลายทางของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนคือการนำเสนอร่างผ่านรัฐสภาและมีผลให้บังคับใช้ อย่างไรก็ตาม พูนสุขมองว่าร่างนิรโทษกรรมฉบับนี้นำไปสู่การพูดคุยกันของสังคมถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและมองเห็นกลไกที่คณะรัฐประหารและผู้มีอำนาจใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการกระทำนิติสงครามกับประชาชน
“รากของปัญหานี้มันเกิดจากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 นั่นจึงทำให้เห็นว่าการนิรโทษกรรมแม้จะเป็นประชาชนจากหลากหลายกลุ่มก็ล้วนโดนคดีซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในร่างนี้เครือข่ายที่จัดทำจึงเสนอให้ครอบคลุมคดีทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 หรือวันที่คมช.ทำรัฐประหาร”
ฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการรีเซ็ตคดีความทางการเมืองต่าง ๆ การนิรโทษกรรมเป็นเพียงก้าวแรกเพื่อนำไปสู่การป้องกันรัฐประหาร และการค้นหาความจริงของความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบในทุกยุคสมัย และเมื่อความจริงปรากฎขึ้นสังคมไทยอาจสามารถสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นจริง
ทางตรงไป ไม่ใช่ ‘สุดซอย’
แม้ว่าการนิรโทษกรรมจะดูเป็นของแสลงสำหรับสังคมไทย นับตั้งแต่เกิดร่างนิรโทษกรรมสุดซอย/นิรโทษกรรมเหมาเข่งหรือ “ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน” ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2556 จนนำไปสู่ม็อบ กปปส.ที่นำโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ และกลายเป็นเหตุให้ คสช.เข้ายึดอำนาจ
กล่าวคือ การนิรโทษกรรมประชาชน 3 เหตุการณ์ใหญ่อย่าง 14 ตุลาฯ, 6 ตุลาฯ และ พฤษภาทมิฬ มาจนถึงนิรโทษกรรมสุดซอยที่จะนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มพันธมิตรและกลุ่ม นปช.คำนิยามของการสุดซอยที่คล้ายกันทั้ง 4 ฉบับ คือการลบล้างคดีอย่างเหมารวมโดยที่ความจริงอย่างมีข้อขัดแย้ง
ตามการนิรโทษกรรมซึ่งมีเหตุจากการชุมนุมทางการเมืองนี้กลับเอื้อผลประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นชนวนความขัดแย้ง เช่นในนิรโทษกรรมสุดซอยมีการให้นิรโทษกรรมต่อ ทักษิณ ชินวัตร-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-สุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและสังคมมองว่าเป็นคู่ตรงข้ามของชนวนความขัดแย้งทางการเมืองไทยนับทศวรรษ
ทว่า สิ่งสำคัญของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน โดย เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน และร่าง พ.ร.บ นิรโทษกรรมคดีทางการเมือง โดย พรรคก้าวไกล มีหัวใจสำคัญเหมือนกัน เพราะในการนิรโทษกรรมนี้จะนิรโทษกรรมประชาชนผู้ต้องคดี แต่ยกเว้นเจ้าหน้าที่รัฐและการล้มล้างการปกครอง ซึ่งจะไม่เหมือนกับนิรโทษกรรมสุดซอยเมื่ออดีต
พูนสุขกล่าวว่า ทั้งร่าง 2 ฉบับนี้เป็นการผลักดันคู่ขนานของภาคประชาสังคมและพรรคการเมืองที่เห็นว่าคดีทางการเมืองเป็นปัญหาใหญ่ของการเมืองไทย ที่ต่างฝ่ายต่างผลักดันให้เกิดการนิรโทษกรรมกับประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่อดีตได้รับความเป็นธรรม
โดยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับก้าวไกลและฉบับประชาชน มีคณะกรรมการฯเหมือนกัน ต่างกันที่ร่างนิรโทษกรรมประชาชนไม่มีการแยกฐานความผิด(ดูมูลเหตุจูงใจ) และมีผู้เสียหายและภาคประชาสังคมเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการนิรโทษกรรมด้วย
“ถ้าหากถามว่าสังคมยังมองนิรโทษกรรมเหมือนสมัยก่อนไหม เรามองว่าสังคมเดินมาไกลกว่าจุดนั้นมากแล้ว โดยเฉพาะร่างของเราที่ยังมีสัดส่วนของผู้เสียหายในแต่ละช่วงและภาคประชาสังคมเข้าไปร่วมในคณะกรรมาธิการ มันเป็นจุดร่วมกันของหลายฝ่ายมากกว่าที่เล็งเห็นว่าการนิรโทษกรรมจะเป็นการรีเซ็ตคดีความที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ในขณะเดียวกันมันจะไปสู่การค้นหาความจริงด้วย
มันไม่ใช่ก้าวแรกที่สังคมเดินทางมาถึง แต่เป็นก้าวแรกอีกครั้งในรอบ 20 ปี”
ซึ่งร่างนิรโทษกรรมประชาชน แบ่งเกณฑ์หลัก ๆ ในการนิรโทษกรรมอยู่ 2 แบบใน มาตรา 5 ซึ่งมีการฟ้องร้องเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน
แบบที่ 1 : ควรได้รับนิรโทษกรรมที่ไม่ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ
คดีความที่ขึ้นสู่การพิจารณาในศาลทหาร/หรือเกิดจากคำสั่ง คสช.ซึ่งมีอยู่ ประมาณ 2,400 คน คดีมาตรา 112 ราว 300 คน คดีที่เกี่ยวเนื่องกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1,400 คน
แบบที่ 2 : คดีที่ต้องพิจารณาของคณะกรรมการ (19 คน ประกอบด้วย ส.ส. และตัวแทนผู้เสียหาย หรือคนที่ถูกดำเนินคดีในช่วงเหตุการณ์ และองค์กรที่ทำงานด้านกระบวนการยุติธรรม)
คือ คดีที่เกี่ยวกับ พรบ.ชุมนุม ที่ต้องผ่านพิจารณาของคณะกรรมการ เพราะต้องพิจารณาว่า คดีนั้น ๆ เกิดขึ้นเพราะการแสดงออกทางการเมือง หรือ เกิดจากแรงจูงใจ/หวังผล ทางการเมือง
นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีจะสามารถร้องขอให้กรรมการพิจารณากรณีของตนเองได้เท่านั้น ในร่างยังได้เปิด “ให้บุคคลผู้กระทำการนั้น หรือสามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรส ผู้อุปการะและผู้อยู่ในอุปการะของบุคคลผู้กระทำการนั้น อาจยื่นคำร้องเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาการกระทำนั้นด้วยได้” เพื่อเปิดโอกาสให้กับคดีที่อาจตกหล่นไป
พูนสุขชวนมองไปข้างหน้าอีกก้าว หากการนิรโทษกรรมครั้งนี้สำเร็จ ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการแต่ละคดีว่าถูกใช้ความรุนแรงจากรัฐในนิติสงคราม ทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากร่างกายและมิติอื่น ๆ และความรุนแรงจากรัฐนี้เองจะถูกค้นหาความจริงให้ต้องดำเนินคดีจากความเสียหายที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต
ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2565 เจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุและไม่เป็นไปตามหลักการสากล เป็นจำนวนทั้งสิ้น 70 ครั้ง ในจำนวนนี้ 60 ครั้งเกิดขึ้นในการชุมนุมปี 2564 และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตกว่า 134 คน ผู้บาดเจ็บกว่า 3,400 ราย นี่เป็นตัวเลขที่ผู้กระทำยังคงลอยนวลและยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่ความรุนแรงได้เกิดขึ้นกับประชาชนและยังไม่มีการเยียวยา
“สังคมไทยยังเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดเพราะอำนาจยังไม่เป็นของประชาชนจริง ๆ ในการนิรโทษกรรมกับประชาชน 3 ครั้งที่ผ่านมา(14 ตุลาฯ-6 ตุลาฯ-พฤษภาทมิฬ) ก็เป็นการเจรจาผลประโยชน์กันของผู้มีอำนาจ นั่นทำให้ครั้งที่ผ่าน ๆ มา เรายังสืบหาความจริงกันได้ไม่ครบถ้วน”
นั่นทำให้สิ่งที่สังคมไทยต้องก้าวไปให้ถึงจริง ๆ คือการรื้อระบบโครงสร้างความยุติธรรม ทั้งหมดทั้งมวลของนิติสงครามนี้คือความบิดเบี้ยวของระบบตุลาการ พูนสุขกล่าวว่าระบบตุลาการของเราถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ การดำเนินใช้กฎหมายไปจนถึงบทลงโทษถูกทำให้ใครที่คิดเห็นต่างจากรัฐถูกลงโทษ และผลักดันการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อยกเลิกมรดกเผด็จการและคืนอำนาจอธิปไตยสู่ประชาชน
“แม้ว่ามาตรา 112 จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการเมืองไทยในตอนนี้ ทว่า การเรียกร้องเรื่องมาตรา 112 และการนิรโทษกรรมเป็นคนละส่วน แต่ปลายทางที่เราเรียกร้องจริง ๆ คือปัญหาของมาตรา 112 เรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องถูกแก้ไข ซึ่งจริง ๆ มันคือเรื่องเดียวกันของการรื้อโครงสร้างความยุติธรรมไทย ในวันนี้นอกจากการนิรโทษกรรมเรายังอีกหลายเครื่องมือ เช่น การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นต้น
แต่สำคัญที่สุดเรามองว่าการผลักดัน การเคลียร์ความผิด และการค้นหาความจริงความผิดมันเดินไปด้วยกันได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งสำเร็จก่อน ท้ายที่สุดทั้งหมดนี้จะนำไปสู่วันที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ไม่ใช่คณะรัฐประหารไหนก็ตาม” พูนสุข กล่าว
เหลือง-แดง-นกหวีด-สามกีบ การเคลื่อนไหวจะเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม
“ที่ผ่านมาเรามองว่าสังคมไทยยังไม่เคยเปลี่ยนผ่านทางความยุติธรรมเลยด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาเรานิรโทษกรรมแล้วลืม ๆ มันไป แม้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อค้นหาความจริง แต่ก็ยังไม่มีครั้งไหนค้นหาความจริงจนนำไปสู่ข้อยุติที่ไม่มีข้อขัดแย้ง มันเป็นการนิรโทษกรรมทุกฝ่ายแล้วก็ลืม ๆ มันไปแต่ไม่มีการเยียวยาผู้เสียหาย”
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ปัญหาทางการเมืองที่รุนแรงล้วนเกิดจากกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกใช้โดยผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะจากเผด็จการ คณะรัฐประหาร
การนิรโทษกรรมแก่ประชาชน จึงมีความหมายว่าประชาชนย่อมมีสิทธิแสดงออกทางการเมือง ซึ่งเป็นลักษณะที่พึงจะมีของสังคมที่เป็นประชาธิปไตย
พูนสุข ให้คำนิยามของความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่านของสังคมไทยว่า หลังจากนี้คือการคลี่คลายความขัดแย้งในสังคม ซึ่งเกิดจากการรัฐประหาร เผด็จการ และเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง การสร้างความยุติธรรมนี้เองคือการรื้อโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรมซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ประชาชน โดยครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาพยายามมาถึง แต่เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาเราถูกบังคับให้ถอยร่นไปเรื่อย ๆ
“นอกจากปัญหาของมาตรา 112 มีอีกหลายสิ่งที่มันเกิดขึ้นเพื่อให้เผด็จการปราบปรามประชาชน อย่าง กำไล EM ในปี 2558 ยังถูกใช้เพื่อควบคุมตัวนักโทษคดียาเสพติด แต่ในปี 2561 มีผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองโดนใส่กำไล EM หลังประกันตัวถึง 80 คน
หรืออย่างสิทธิการประกันตัวโดยเฉพาะทนายอานนท์หรืออีกหลาย ๆ คดี ศาลเองก็เห็นว่าเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบหนี แต่ศาลกลับไม่ให้สิทธิการประกันตัว เรื่องเหล่านี้ถูกทำให้กลายเป็นความปกติในความยุติธรรมที่ผิดปกติ”
พูนสุขย้ำว่า ในฐานะของคนที่ทำงานในด้านนี้ การต่อสู้ การผลักดัน ยังคงสร้างความอ่อนล้าและเหนื่อยกับการต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม เธอมองว่าเมื่อเทียบกับอดีต สังคมไทยย่อมก้าวไปข้างหน้ากว่าเก่า ในความหมดหวังยังคงมีหวังเล็ก ๆ ว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยเต็มใบยิ่งขึ้น
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากการผลักดันให้เกิดการนิรโทษกรรมสำเร็จ พูนสุขกล่าวว่า ประการแรกคือคนที่โดนคดีทางการเมืองจะพ้นผิด หลายคนจะได้รับความยุติธรรมกลับคืนมาและดำเนินชีวิตต่อไปได้
ประการที่สองคือสังคมจะตระหนักรู้กับการคุกคามทางการเมืองและความรุนแรงจากรัฐมากยิ่งขึ้น พูนสุขหวังจะเห็นการพูดคุยกันในสังคมถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอดีตเพื่อเรียนรู้และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เพราะนับตั้งแต่ปี 2549 เราจะเห็นว่าประชาชนทุกฝ่ายย่อมเป็นเหยื่อของเผด็จการได้ทั้งสิ้น การคืนอำนาจสู่ประชาชน จะทำให้เราก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองเดิมได้
แม้ว่าหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้สำเร็จ มีผู้ถูกคุมขังจากคดีเสรีภาพการแสดงออก รวม 35 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือน ส.ค.2566 จำนวน 6 ราย แบ่งเป็น มาตรา 112 จำนวน 13 ราย และคดีอื่น ๆ รวม 22 ราย แต่พูนสุขเชื่อว่าหากการนิรโทษกรรมประชาชนเกิดขึ้นจริง นั่นจะเป็นข้อดีต่อรัฐบาลชุดนี้ ที่นอกจากจะลดความตึงเครียดทางการเมือง ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลอีกด้วย
“การที่เราอยู่ในสภาพการเมืองที่ย่ำแย่ มันส่งให้มิติอื่น ๆ ในสังคมแย่ไปตามกัน อารมณ์ของสังคมมันเชื่อมโยงกันทุกด้าน และเราเชื่อว่านิรโทษกรรมนี่แหละจะเป็นก้าวแรกที่พาสังคมไทยเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านไปในทิศทางที่ดีขึ้น” พูนสุข กล่าว
ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนฉบับนี้ มีแผนที่จะยื่นเข้าสู่สภาในเดือนมกราคม 2567 เรายังคงต้องติดตามกันต่อไปถึง ‘การสร้างความปรองดอง’ ของความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ ว่าท้ายที่สุดบนยอดเจดีย์สูงริมรัฐสภาจะมุ่งเน้นลดความขัดแย้งอย่างแท้จริง หรือจะลืม ๆ มันไปเหมือนการนิรโทษกรรมหลายครั้งที่ผ่านมา
ทว่า การมีอยู่ของร่างนิรโทษกรรมทั้ง 2 ฉบับ ชี้ให้เราเห็นแล้วว่าประชาชนไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนอย่างเคย ดังเช่นการเปิดให้ลงชื่อของ iLaw เพื่อเสนอประชามติแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพียงแค่ไม่กี่วันรายชื่อหลักแสนของประชาชนก็พร้อมแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าภายในสภาจะเห็นชอบหรือไม่ นี่คือความจริงที่ประชาชนต้องการจะสื่อถึง และการนิรโทษกรรมประชาชนครั้งนี้ก็คือความจริงที่ความเจ็บปวด การสูญเสียของประชาชนต้องได้รับการเยียวยา ไปจนถึงค้นหาความจริงจากความรุนแรงจากรัฐและการปฏิรูประบบยุติธรรมไทย
การนิรโทษกรรมครั้งนี้จึงไม่ใช่ครั้งแรกที่สังคมไทยเดินมาถึง แต่เป็นก้าวแรกในรอบ 20 ปีที่เราถูกบังคับให้ถอยร่นตลอดมาและตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านไป ปรากฏการณ์ทางการเมืองเหล่านี้ได้ส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจ เผด็จการและองคาพยพ ว่าวันนี้สังคมไทยไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว