ถึง คุณนามิยะ
หลายครั้งหลายคราวที่เหตุการณ์ในชีวิตทั้งดีและร้าย มาบรรจบกันแบบไม่ได้นัดหมายแต่กลับลงตัวอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะอ้างอิงหลักการหรือเหตุผลใด ๆ ก็หาคำตอบไม่เจอ มนุษย์นิยามสิ่งนี้ว่า ‘ความบังเอิญ’
จนกระทั่งได้มาอ่าน ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ ระหว่างบรรทัดของหนังสือเล่มนี้ กลับทำให้ผมฉุกคิดว่า หรือที่เรียกกันว่า บังเอิญ อาจไม่มีอยู่จริง
หนังสือซึ่งไม่มีประโยคไหนในเล่มบังเอิญเขียนขึ้นมาของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ บ้างก็ว่าเขาคือเจ้าพ่อหนังสือแนวสืบสวนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง หลายคนบอกว่าเขาเขียนหนังสือแนวลึกลับได้ดี แต่สำหรับผม ฮิงาชิโนะ เคโงะ ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งเปราะบางผ่านหนังสือเล่มนี้ได้แยบยลอย่างเหลือเชื่อ
เพราะทุกปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในร้านชำนามิยะและชีวิตเรา ต่างมีคำตอบเหมือนกัน
“ในเมื่อคุณมีกระดาษเปล่าในมือก็แสดงว่าคุณสามารถจะเขียนแผนที่อย่างไรก็ได้ จริงไหมครับ?”
คุณนามิยะจากยุคดิสโก้และหมอดูในยุคคริปโตฯ
แม้มนุษย์เปราะบางมาตั้งแต่โบร่ำโบราณกับความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ทว่าสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยธนบัตรหลากสี เหล่ามนุษย์ในโลกทุนนิยมกำลังถูกสั่นคลอนด้วยเรื่องเดียวกัน คือพิษเศรษฐกิจ
บริบทของตัวละครที่ส่งจดหมายมาหาคุณนามิยะ ต่างมีจุดร่วมคล้าย ๆ กันคือเป็นคนที่กำลังยืนอยู่บนทางแยกระหว่างความจริงและความฝัน เมื่อย้อนกลับยุค 80s เป็นเรื่องไม่ง่ายที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้จะเลือกเดินทางตามฝันท่ามกลางการสร้างตัวในยุค Post modern ของญี่ปุ่น ในขณะที่ทุกคนอยากเดินทางตามฝัน แต่ชีวิตกลับเจอกำแพงที่พ่นคำว่า ‘ความมั่นคง’ ตัวใหญ่บนนั้น
ไม่ว่าจะเป็นคุณกระต่ายหมายจันทร์ที่อยู่บนลู่วิ่งตรงไปสู่นักกีฬาทีมชาติโอลิมปิกในปี 1984 พอล แมคคาทนีย์ ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักดนตรีก้องโลกอย่างวง the beatles หรือกระทั่งอัตสึฮะ โชตะและโคเฮ เด็กหนุ่มชะตาตกอับต้องพากันมาเป็นขโมยขโจรอยู่บ่อยครั้ง
แม้หนังสือเล่มนี้จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดลึกลับ เล่าเรื่องของเส้นเวลาที่มาบรรจบกันได้อย่างแยบยล แต่นี่ไม่ใช่หนังสือแฟนตาซีที่คุณนามิยะสามารถบันดาลพรอย่างไรก็ได้ สิ่งที่เขาให้คือ ‘คำปรึกษา’ ที่หลายคนรอคอยคำตอบจากกล่องส่งนมหลังร้านในเช้ารุ่งขึ้นวันถัดไป
เมื่อมานั่งนึกดูดี ๆ ในช่วง 5 ปีให้หลัง โดยเฉพาะช่วงขึ้นปีใหม่ หน้าฟีดโซเชียลมีเดียของผมเต็มไปด้วยดวงรายปี การวิเคราะห์ขนาดยาว-สั้นเหล่านี้ เป็นเหตุให้เพื่อนของผมหลายคนตัดสินใจ เรียนต่อ ซื้อรถ หรือกระทั่งเลิกกับแฟนก็มี
บริบทของคุณนามิยะคล้ายกับคอนเทนต์ประเภทหนึ่ง จากที่เคยเป็นคอนเทนต์ทางเลือก กลายเป็นคอนเทนต์ที่จำเป็นต้องมีทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ นั่นคือคอนเทนต์ดูดวง
ในปี 2023 นี้เอง มนุษย์เราก็ยังไม่ได้มีความมั่นคงขนาดนั้น ยิ่งมีตัวเร่งอย่าง สงคราม โรคระบาด และสภาพแวดล้อมแปรปรวน การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้นทุกขณะทำให้หลายคนยากที่จะยอมรับและพึ่งพาความสามารถตัวเองทั้งหมด ผู้คนจำนวนมากปันใจให้กับคำปรึกษาที่อ้างอิงถึงราศี ดวงดาว และวันต่าง ๆ ในสัปดาห์
ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ในแอปที่ทุกคนต้องมีติดมือถืออย่าง LINE ก็มีฟังก์ชั่นเสริมอย่าง LINE ดูดวง เข้ามาเป็นฟังก์ชั่นที่มีผู้ใช้จำนวนมาก และปัจจุบันสามารถที่จะเลือกทำบุญไปยังวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศที่ตนศรัทธา เพียงแค่เลือกแพ็กเกจการทำบุญจากปลายนิ้ว เป็นอันได้บุญหรือแก้บนเรียบร้อย
เพจ Ad Addict เผยสาเหตุที่ศาสตร์การดูดวงถึงเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจอยู่เสมอทางการตลาด ซึ่งอันดับที่ 2 และ 3 เป็นเพราะเราต้องการเพิ่มความมั่นใจในทางเลือกของตัวเองและลดความกังวลในอนาคต และเนื้อหาที่ต้องมีคือคำทำนายถึง งานและเงิน กล่าวได้ว่าตราบใดที่คอนเทนต์นี้ยังเป็นที่นิยมต่อไป อาจเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันไม่สามารถมอบความมั่นคงในชีวิตคนส่วนมากได้
จะให้มั่นคงอย่างไรได้ ในเมื่อกระทั่งนายกรัฐมนตรียังออกมากล่าวว่า ‘งานเดียวไม่เพียงพอต่อไปสำหรับปัจจุบัน’ ในวันที่งานหลักก็สูบพลังชีวิตเราไปทั้งหมดแล้ว
ปาฏิหาริย์ของคุณนามิยะ ก็ทำงานแบบเดียวกัน ในความสับสน วุ่นวาย หาทางออกให้กับชีวิต ไม่ใช่ว่าเราไม่มีคำตอบ เพียงแต่หลาย ๆ ครั้ง เราแค่ต้องการได้ยินคำตอบที่เราอยากได้ยิน และบางครั้งเราอยากให้ใครสักคนพูดสิ่งที่เราคิดแต่ไม่กล้าพูดมันออกไป ปาฏิหาริย์ที่ว่าจึงกลายเป็นความมั่นใจ ที่ถูกพรากออกไปจากสังคมทุนนิยมในคราบของผู้ร้ายที่ชื่อว่า ‘ความเสี่ยง’
แม้จะมีคำพูดสวยหรูอย่าง High Risk, High Return แต่เอาเข้าจริงมนุษย์ธรรมดาสามัญชนต่างรู้ดีว่าความเสี่ยงที่สูงย่อมนำมาซึ่งความเจ็บปวดมหาศาล เพียงแค่ประคับประคองไม่ให้เป็นวันที่โชคร้ายก็ดีถมเถไป บางครั้งอาจไม่ได้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากมาย แค่สามารถปิดดีลลูกค้าได้ ถูกลอตเตอรี่ 2 ตัวท้าย ก็เป็นคำชี้แนะที่สร้างความหวังให้กับชีวิตมากพอแล้ว
เราต่างรอคอยความหวัง เหมือนกับผมที่ยังนั่งรออ่านดวงรายวันจากเพจแม่หมอเจ้าหนึ่งตอนเที่ยงคืนของทุกวัน ไม่ต่างกับใครสักคนที่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเช็คกล่องส่งนมหลังร้านชำนามิยะนั่นแหละ
ไม่คาดหวัง จึงมีหวัง
หนังสือเล่มนี้ทำงานกับผมอย่างสมบูรณ์แบบอย่างในฐานะผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง 3 ฤดู(ฤดูร้อนมาก ฤดูฝุ่น ฤดูน้ำท่วม) ระหว่างบรรทัดผมนั่งตกตะกอนกับชีวิตตัวเองว่าเราควรจะมีความคาดหวังอยู่หรือไม่ ในเมื่อปลายทางคงเป็นความผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สถานที่ในหนังสือเล่มนี้เกี่ยวโยงกัน 2 แห่ง นั่นคือสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามารุมัตสึเอ็นกับร้านชำนามิยะ ทั้งคู่อยู่ไกลจากความฝันในมหานคร ที่แตกต่างกันคือสถานรับเลี้ยงเด็กดูเหมือนจะแวดล้อมไปด้วยความผิดหวัง แต่ร้านชำนามิยะกำลังมอบความหวังผ่านคำปรึกษาให้กับตัวละครที่วนเวียนเข้ามาที่ร้านอยู่เนือง ๆ
แม้ธงของผู้ขอรับบริการคำปรึกษาจากคุณนามิยะจะต้องการสมหวังแบบ Happy Ending ในเรื่องราวของตัวเอง แต่ความเป็นจริงซึ่งเจ็บปวด คือทุกคนไม่อาจได้อย่างหวังไปเสียทั้งหมด
หนังสือเล่มนี้กำลังนำความเป็นจริงของชีวิตมาทำให้มันย่อยง่ายและมองผ่านตัวละครต่าง ๆ และเมื่ออ่านทุกย่อหน้า เราพบว่าบางเหตุการณ์ของหลายตัวละครคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับเราสักหนแห่งในอดีต
เราต่างคาดหวังเสมอว่าจะเป็นอย่างเซริ หญิงสาวที่ได้รับคำแนะนำจากคุณนามิยะตัวปลอม ให้เก็งอสังหาริมทรัพย์ไว้ได้ทันท่วงที จนเธอสามารถที่จะมีเงินมาสนับสนุนสถานรับเลี้ยงเด็กที่เธอโตมาได้ หรือกระทั่งได้เด็กหนุ่มที่หวังจะดังได้อย่างวง the beatles จากกีต้าร์ตัวโปรดแค่ตัวเดียว
แต่ความเป็นจริงเราอาจไม่มีฉากน่าจดจำเท่าพวกเขาเหล่านี้ เรายังเป็นผู้ที่รอคอยวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือนเสมอ พร้อมแชร์โพสต์ยื่นซองลาออกพร้อมเหตุผลมีอันจะกินเพราะถูกรางวัลที่ 1 หรือกระทั่งในวัย 30 ตามคตินิยมที่สังคมพร่ำบอกว่าต้องมีรถ มีบ้าน ต้องแต่งงาน ความเป็นจริงเราอาจกำลังนั่งแก้งานให้ลูกค้าตอนตี 2 ก็เป็นได้
ความเป็นจริง เราอาจกำลังหลงทางและไม่มีใครอย่างคุณนามิยะมาคอยชี้ทางบอกเสียด้วยซ้ำ
หนังสือเล่มนี้กำลังบอกเราแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเราสมหวังหรือผิดหวัง ทว่า ความเป็นไปได้นับล้านอาจเกิดขึ้นกับเราไม่ต่างจาก 2-3 สถานการณ์ที่เป็นไปได้ เมื่อได้รับคำปรึกษาจากคุณนามิยะตัวจริงและคุณนามิยะตัวปลอมแล้วเราเลือกตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
ใครจะไปรู้ คุณอ่านหนังสือดึกดื่นเพื่อคาดหวังเกรด A แต่อาจไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป ไม่ใช่เพราะคุณทำข้อสอบไม่ได้ แต่เพราะคุณอาจตื่นไม่ทันเข้าห้องสอบต่างหาก
เช่นเดียวกับชีวิต ความเปราะบางที่สั่นไหวอยู่ตลอดเวลาของความเป็นมนุษย์ นี่อาจเป็นความหมายของใกล้เคียงกับการเป็นมนุษย์ เท่าที่เคยมีการตีความไว้
ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง อาจเป็นประโยคที่ดูจะชวนฝันไปเสียหน่อย ในเมื่อความผิดหวังล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อยู่แล้ว
กระดาษเปล่าไม่ได้ไร้คำตอบเสมอไป
สารภาพว่าตอนแรกที่ผมได้อ่านมาจนถึงครึ่งเล่ม แอบมีคิดในใจอย่างที่อัตสึฮะ โชตะและโคเฮกล่าว ว่าแท้จริงแล้วเป้าหมายของการให้คำปรึกษาของคุณนามิยะคืออะไรกันแน่ หรือแค่คนแก่อยากสั่งสอนคนอื่นเท่านั้น
พูดก็พูด จะมีใครที่ไหนบนโลกสามารถให้คำปรึกษาให้กับใครก็ตามที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ ในเมื่อนิยายที่ชื่อว่าชีวิต ที่การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด จะมีใครที่ไหนหาญกล้าบอกว่าสามารถขอรับคำปรึกษาจากตนได้ทุกเรื่อง
คุณนามิยะ กล่าวกับทาคายูกิ ลูกชายของตน ในขณะที่การคิดหาคำตอบจากคำปรึกษามากมายเหล่านั้นไม่ได้ใช้แค่แรงจากสมอง แต่เพราะอาการป่วยจากมะเร็งตับอ่อนของเขา ทำให้ทุกค่ำคืนผ่านไปอย่างยากลำบาก
“แกรู้ไหม ทุกค่ำคืนที่ฉันเขียนคำปรึกษา ร่างกายฉันเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ บางครั้งฉันล้มอยู่ที่บันได พอได้สติฉันก็กลับมาเขียนต่อ ทำอย่างนั้นซ้ำ ๆ เพื่อให้รุ่งเช้าฉันได้วางจดหมายตอบกลับไว้ในกล่องส่งนมหลังร้าน” คุณนามิยะเล่าพลางจับท้องที่เจ็บไปด้วย
“แล้วคุณพ่อจะทำอย่างนั้นทำไมหล่ะครับ” ทาคายูกิถาม
“ฉันเคยคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ฉันอาจเป็นคนแก่ที่ต้องเป็นภาระให้ลูกหลาน จนกระทั่งได้เปิดรับคำปรึกษา ฉันคิดมาเสมอว่าคำปรึกษาที่ฉันให้ไปจะมีประโยชน์กับใครบ้างรึเปล่า จนกระทั่งวันนั้นที่ฉันเจอจดหมายตอบกลับมาหาฉัน ฉันก็พึ่งรู้ว่าชีวิตที่ยาวนานของฉันมีอยู่เพื่ออะไร”
แม้หลายชีวิตในเรื่องต่างพบกับความผิดหวัง ทว่า ทุกตัวละครกลับได้เจอสิ่งสำคัญกว่านั้น คือพวกเขาได้รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตายวันนี้หรือวันพรุ่ง กระทั่งจนตาย หลายคนก็ยังตอบไม่ได้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร บางทีเราอาจจะแค่ต้องการคำปรึกษาของคุณนามิยะ เพื่อที่จะมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นมาตลอด นั่นคือตัวเราเอง
หนังสือเล่มนี้ผิวเผินก็คงเป็นนิยายพล็อตข้ามเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นใช้กันจนเกรอะ และได้รับการโหวตว่าเป็นพล็อตที่คนญี่ปุ่นบ่นว่าจำเจที่สุดเป็นอันดับ 3 ถึงอย่างนั้นความแตกต่างที่หนังสือเล่มนี้มอบให้ คือความแยบยลและเชื่อมโยงอย่างคาดเดาไม่ได้
คุณอาจจะคิดว่าหญิงสาวคนนี้ช่างโง่เหลือเกินที่ไม่เลือกความฝันของตนแต่กลับใช้เวลากับรักที่ใกล้หมดลมหายใจ
คุณอาจจะคิดว่าทำไมเขาคนนั้นถึงเป็นลูกอกตัญญูไม่ยอมสืบทอดธุรกิจครอบครัว ปล่อยให้พ่อแม่ที่แก่ตัวต้องทำงานหนัก แต่เลือกไปทำตามความฝันในเมืองหลวง
หรืออาจจะคิดว่า เพราะเราไม่มีค่าพอให้สมหวังอะไรในชีวิตหรือเปล่านะ ถึงได้ผิดหวังอยู่เสมอ
ชีวิตคงเป็นแบบนั้นแหละ เหมือนกับหนังสือเล่มนี้
ใครจะไปรู้ การหย่อนกระดาษของโชตะตอนต้นเรื่องจะกลายเป็นบทสรุปที่แยบยลและลึกซึ้งเท่าที่ตัวอักษรในกระดาษ 300 กว่าหน้าพึงจะทำได้
น่าเหลือเชื่อ กระดาษที่ปรากฎแผ่นแรกจะกลายมาเป็นกระดาษแผ่นสุดท้ายที่คุณนามิยะได้เขียน
ไม่ต่างจากภาพประกอบบทความนี้ ที่ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ ‘บังเอิญ’ บานในช่วงเวลาที่ตรงกับคิวที่ผมจะต้องรีวิวหนังสือลงคอลัมน์ PlayREAD และคง ‘บังเอิญ’ ที่ผมตั้งใจจะเขียนถึงหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
“ผมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานว่าทำไมคุณถึงส่งกระดาษเปล่าแบบนี้มาให้ผม หรือเพราะคุณต้องการจะทดสอบเชาวน์ชายแก่
อย่างไรก็ดีผมมานั่งคิดดู ปัญหาของคุณอาจจะไร้ซึ่งหนทางเหมือนกับกระดาษเปล่าแผ่นนี้ แต่ลองคิดดูดี ๆ เพราะเป็นกระดาษเปล่า คุณจึงสามารถเขียนแผนที่ไปไหนก็ได้ จริงไหมครับ คุณอยากจะเดินเหินไปไหนก็ย่อมได้ หรือจะลบเมื่อไหร่ก็ได้เช่นกัน
นั่นคือความหมายที่แท้จริงของการเป็นกระดาษเปล่าต่างหากหล่ะครับ”
“ขอบคุณที่ส่งโจทย์แสนสนุกมาให้ชายแก่คนนี้ หวังว่าหลังจากนี้คุณจะวาดแผนที่ของตัวเองได้สักวันนะครับ”
หวังว่ากระดาษเปล่าของทุกคน จะได้ถูกเติมเต็มเข้าสักวันเช่นกัน
จาก ปาฎิหาริย์ในกล่องส่งนม
หนังสือ: ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ
นักเขียน: ฮิงาชิโนะ เคโงะ
แปล: กนกวรรณ เกตุชัยมาศ
สำนักพิมพ์: น้ำพุ
PlayRead: คอลัมน์รีวิวหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี