ประกายไฟลามทุ่ง
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
การเปลี่ยนแปลงสูตรคำนวณเงินบำนาญผู้ประกันตนเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ทีมประกันสังคมก้าวหน้าต้องการผลักดัน เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายของสำนักงานประกันสังคมที่ไม่สอดคล้องกับชีวิตการทำงานของผู้คน ที่ผ่านมา ผมได้รับข้อความจากผู้ประกันตนจำนวนมาก ล้วนแล้วมีแต่ความเจ็บปวด มันยิ่งกว่าโดนปล้น เป็นความเจ็บช้ำของผู้คนที่ผมได้สัมผัสมาด้วยตัวเอง
เรื่องเล่าชีวิตจริงของผู้ประกันตน
ลุงสมชาย (นามสมมติ) อายุ 58 ปี ทำงานในบริษัทเอกชนมากว่า 20 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ด้วยเงินเดือน 15,000 บาท เขาตั้งใจทำงานจนเกษียณ วางแผนใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขด้วยเงินบำนาญที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 5,000 บาท แต่แล้วเศรษฐกิจถดถอยทำให้บริษัทต้องปรับลดพนักงาน ลุงสมชายถูกเลิกจ้างตอนอายุ 55 ปี ก่อนเกษียณเพียง 5 ปี “ผมตกใจมาก เพราะหางานใหม่ในวัยนี้แทบเป็นไปไม่ได้ แต่ก็พยายามส่งเงินสมทบต่อในมาตรา 39 เพราะอีกไม่นานก็จะได้รับบำนาญแล้ว” ลุงสมชายเล่า แต่เมื่อถึงวันเกษียณ ลุงสมชายกลับพบว่าเงินบำนาญที่จะได้รับเหลือเพียง 1,680 บาทต่อเดือนเท่านั้น ไม่พอสำหรับค่าอาหารและยารักษาโรค
“ผมรู้สึกเหมือนถูกทรยศ ส่งเงินสมทบมาตลอดชีวิตการทำงาน แต่พอโชคร้ายตกงานช่วงท้าย กลับได้เงินบำนาญแค่เศษเสี้ยว มันเป็นระบบที่ลงโทษคนโชคร้าย”
เรื่องของป้าวิไล (นามสมมติ) ก็ไม่ต่างกัน หลังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่บัญชีมา 23 ปี เธอเจ็บป่วยด้วยโรครูมาตอยด์จนไม่สามารถทำงานประจำได้ แต่ยังพอรับงานอิสระทำที่บ้าน จึงสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ช่วง 7 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ
“ตอนแรกคิดว่าอย่างน้อยยังดีที่เรายังส่งเงินประกันสังคมต่อได้ แต่พอรู้ว่าเงินบำนาญจะลดลงกว่า 70% แค่เพราะเราไม่ได้อยู่ในระบบมาตรา 33 ช่วงท้าย มันทำใจไม่ได้จริง ๆ”
ส่วนพี่นงค์ (นามสมมติ) อายุ 45 ปี เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะเดินเข้าสู่กับดักเดียวกัน หลังทำงานในบริษัทเดียวมา 20 ปี เธอตัดสินใจลาออกมาเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ของตัวเอง และสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39
“ตอนแรกคิดว่าเราทำถูกแล้วที่ยังรักษาสถานะผู้ประกันตนไว้ แต่พอได้ยินเรื่องสูตรคำนวณบำนาญ ก็แทบช็อก ทั้งที่ส่งเงินมาตลอด 20 ปีด้วยฐานเงินเดือน 15,000 บาท แต่พอเปลี่ยนเป็นมาตรา 39 บำนาญก็จะคำนวณจากฐาน 4,800 บาทช่วงสุดท้ายเท่านั้น” เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากอีกหลายหมื่นชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากความไม่เป็นธรรมของระบบ และนี่คือเหตุผลที่เราต้องปฏิรูปสูตรบำนาญให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิตคนทำงาน
ทำไมต้องเปลี่ยนสูตรบำนาญ?
ปัญหาหลักคือ สูตรคำนวณบำนาญเดิมที่เรียกว่า Final Average Earnings (FAE) ใช้ฐานเงินเดือน 60 เดือนสุดท้ายในการคำนวณ แต่ในความเป็นจริง คนไทยส่วนใหญ่มักสูญเสียงาน หรือมีรายได้ลดลงในช่วงท้ายของอาชีพ โดยเฉพาะผู้ที่เปลี่ยนสถานะจากผู้ประกันตนมาตรา 33 มาเป็นมาตรา 39 ทำให้ฐานเงินเดือนที่ใช้คำนวณลดลงอย่างมาก
ลองคิดดู เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ส่งเงินสมทบด้วยฐานเงินเดือน 15,000 บาท แต่พอถูกให้ออกจากงานในช่วงก่อนเกษียณ 5 ปี เปลี่ยนมาเป็นมาตรา 39 ฐานเงินเดือนลดเหลือ 4,800 บาท จากเดิมที่ควรได้รับเงินบำนาญ 5,000 บาทต่อเดือน กลายเป็นเหลือแค่ 1,500 บาท ทั้ง ๆ ที่ส่งเงินสมทบมาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตการทำงาน
แล้วแบบนี้จะใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างไร? ค่าอาหาร ค่ายา ค่าใช้จ่ายจิปาถะ เดือนละ 1,500 บาทมันไม่พอหรอกครับ คนเราเรียกร้องแค่ความเป็นธรรม ขอให้ได้รับตามสิ่งที่ควรได้รับจากการส่งเงินสมทบมาตลอดชีวิต
อดีตพนักงานบัญชีที่ตกงานตอนอายุ 53 ปี เธอเล่าให้ผมฟังว่า “หนูไม่เคยขาดส่งเงินสมทบเลยนะพี่ ทำงานมา 28 ปี แล้วมาตกม้าตายตอนใกล้เกษียณ บำนาญที่ควรได้หายไปกว่าครึ่ง ทั้งที่เราส่งเงินสมทบมากกว่าคนที่ทำงานแค่ 15-20 ปีอีก มันเหมือนชีวิตทั้งชีวิตที่ทำงานมาไม่มีความหมาย”
สูตรบำนาญใหม่ CARE ทำงานอย่างไร?
สูตรใหม่ที่เรียกว่า Career Average Revalued Earnings (CARE) ยังคงอยู่บนพื้นฐานของการคำนวณที่ 20% ของฐานเงินเดือน แต่จะพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของเงินเดือนตลอดอายุการทำงาน ไม่ใช่แค่ 60 เดือนสุดท้าย และมีการปรับค่าเงินในอดีตให้สอดคล้องกับปัจจุบันด้วย กล่าวคือ สมมติว่าเงินเดือน 7,000 บาทในปี 2542 ไม่ได้นำไปคำนวณเลยแต่ต้องปรับเงิน 7,000 บาทในปี 2542 ให้มีค่าในปี 2568 (ปีที่เกษียณ) ก็จะมีค่า ประมาณ 15,000 บาท
หลักการนี้อยู่บนพื้นฐานที่ว่า “ส่งมากได้มาก ส่งต่อเนื่องก็ได้เยอะ ส่งน้อยก็ได้น้อย” เป็นความเป็นธรรมที่สะท้อนชีวิตการทำงานจริงของผู้คน
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผมได้จำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างสูตรเก่า และสูตรใหม่:
กรณีศึกษาเปรียบเทียบ: ใครได้ประโยชน์? ใครเสียประโยชน์?
กรณีที่ 1: ทำงานมาตรา 33 ตลอด 25 ปี
ผู้ประกันตนในกรณีนี้ทำงานและส่งเงินสมทบในมาตรา 33 ตลอด 25 ปี ด้วยเงินเดือนคงที่ 15,000 บาท
- บำนาญตามสูตรเก่า (FAE): 5,250 บาท/เดือน
- บำนาญตามสูตรใหม่ (CARE): 5,250 บาท/เดือน
- ไม่มีความแตกต่าง (0%)
กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้าคุณทำงานมั่นคงตลอดชีวิต เงินบำนาญก็ไม่ต่างกัน
กรณีที่ 2: จากมาตรา 33 เปลี่ยนเป็นมาตรา 39 ในช่วง 5 ปีสุดท้าย
ผู้ประกันตนทำงานในมาตรา 33 เป็นเวลา 20 ปี ด้วยเงินเดือน 15,000 บาท แต่ช่วง 5 ปีสุดท้ายถูกให้ออกจากงาน เปลี่ยนเป็นส่งเงินสมทบในมาตรา 39 ที่ 4,800 บาท
- บำนาญตามสูตรเก่า (FAE): 1,680 บาท/เดือน
- บำนาญตามสูตรใหม่ (CARE): 4,754 บาท/เดือน
- เพิ่มขึ้น 3,074 บาท (183%)
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดว่าทำไมเราต้องปรับสูตรบำนาญ คนกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์มากที่สุด
กรณีที่ 3: เงินเดือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- เงินเดือนเริ่มต้น เป็น 7,000 บาทในปี 2542
- สูตรเก่า FAE: 5,250.00 บาท/เดือน
- สูตร CARE: 5,112.50 บาท/เดือน
- ความแตกต่าง: -137.50 บาท (-2.62%)
กลุ่มนี้อาจได้รับเงินบำนาญน้อยลงเล็กน้อย แต่ในช่วง 5 ปีแรกของการเปลี่ยนผ่าน จะได้รับการชดเชยให้ได้ตามสูตรเดิม

กรณีที่ 4: เงินเดือนลดลงในช่วงกลางอาชีพและฟื้นตัวในช่วงท้าย
ผู้ประกันตนเริ่มงานด้วยเงินเดือน 10,000 บาท แต่ประสบปัญหาในช่วงกลางของอาชีพ เงินเดือนลดลงเหลือ 7,000 บาท แล้วค่อย ๆ ฟื้นตัวจนถึง 15,000 บาทในช่วงท้าย
- บำนาญตามสูตรเก่า (FAE): 5,250 บาท/เดือน
- บำนาญตามสูตรใหม่ (CARE): 4,946 บาท/เดือน
- ลดลง 304 บาท (-5.8%)
เช่นเดียวกับกรณีที่ 3 จะได้รับการชดเชยในช่วงเปลี่ยนผ่านถึงปี 2573 กลุ่มนี้ความแตกต่างระหว่างสูตรเก่าและสูตรใหม่จะลดลงน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไปเพราะมีการปรับค่าเงินเข้ากับค่าครองชีพในปัจจุบัน
กรณีที่ 5: รูปแบบการทำงานที่ซับซ้อน
ผู้ประกันตนที่มีรูปแบบการทำงานหลากหลาย สลับไปมาระหว่างมาตรา 33 และมาตรา 39
- บำนาญตามสูตรเก่า (FAE): 2,688 บาท/เดือน
- บำนาญตามสูตรใหม่ (CARE): 4,057 บาท/เดือน
- เพิ่มขึ้น 1,369 บาท (51%)
กลุ่มนี้ได้ประโยชน์มากเช่นกัน เพราะสูตรใหม่ดูภาพรวมของการทำงานทั้งหมด
การคำนวณเบื้องต้นเป็นการประมาณการแต่ฉายภาพให้เราเห็นภาพรวมเบื้องต้นได้
ผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคม
ข้อห่วงใยสำคัญคือเรื่องงบประมาณ แต่จากการคำนวณของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย พบว่าการปรับสูตรบำนาญใหม่จะใช้งบประมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น:
- ปีแรก: ประมาณ 1,491 ล้านบาท
- รวม 10 ปี: ประมาณ 60,000 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับเงินกองทุนบำนาญที่มีอยู่ 2.2 ล้านล้านบาท นี่เหมือนคนที่มีเงิน 2.2 ล้านบาท แล้วใช้เงินปีละ 5,000 บาทเพื่อสร้างความเป็นธรรม เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่กระทบต่อความมั่นคงของกองทุนเลย
เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่บอร์ดประกันสังคมมีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 แล้ว เรามีกำหนดการดังนี้:
- มีนาคม-เมษายน 2568: เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน พร้อมเปิดให้ทดลองใช้เว็บแอปคำนวณเงินบำนาญ
- พฤษภาคม 2568: นำเสนอผลการรับฟังความคิดเห็นต่อบอร์ดประกันสังคม และดำเนินการออกกฎกระทรวง
- มิถุนายน 2568: กฎหมายมีผลบังคับใช้

บทส่งท้าย
การปรับสูตรบำนาญไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องของความเป็นธรรมและคุณภาพชีวิตของผู้คน มีคนเป็นทุกข์อย่างสาหัสกับระบบเดิม บางคนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า ไม่สามารถอ่านข่าวประกันสังคมได้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองโง่กับการส่งเงินสมทบในมาตรา 39
ผมยังจำภาพที่พี่ชายท่านหนึ่งร้องไห้ใต้โถงตึก ตอนได้ยินข่าวว่าบอร์ดประกันสังคมจะพิจารณาปรับสูตรบำนาญ เขาพูดเสียงสั่นเครือว่า “ขอบคุณที่เห็นค่าชีวิตเรา ผมส่งมา 28 ปี แล้วพอตกงานตอนอายุ 55 พยายามหางานไม่ได้ สมัครไปก็ถูกปฏิเสธเพราะอายุเยอะ แต่ก็ยังรักษาสถานะผู้ประกันตนไว้ แต่เงินบำนาญจะเหลือแค่หนึ่งในสาม มันเหมือนชีวิตไม่เหลืออะไรเลย”
นี่คือเสียงสะท้อนของคนตัวเล็กตัวน้อยที่ระบบมองไม่เห็น ทั้งที่พวกเขาเหล่านี้คือฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ ทำงานหนัก จ่ายภาษี ส่งเงินสมทบ แต่พอถึงเวลาที่ต้องการความช่วยเหลือ กลับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ผมมองว่า เราไม่ได้ทำความดีหรืออุทิศตนให้ใคร แต่เรามองว่าในวันหนึ่ง คนรอบตัวเราอาจจะต้องไปอยู่ในสภาวะนั้น หรือตัวผมเองเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราจะต้องออกจากงานและเงินเดือนลดลงเท่าไร วันนี้เรามีโอกาสป้องกัน นี่คือสิ่งที่เราทำในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดเรื่องคนอื่นได้
เราไม่อาจปล่อยให้พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือแม้แต่ลูกหลานของเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับพี่นงค์ ป้าวิไล หรือลุงสมชาย ที่ชีวิตพลิกผันเพียงเพราะระบบที่ไม่เป็นธรรม
วันนี้เราพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อุดมคติกับโลกจริงไปด้วยกันได้ ประชาธิปไตยเป็นทางออกของการยกระดับคุณภาพชีวิต และยกระดับปากท้องของคนธรรมดา เสียงของคนธรรมดาได้รับความสำคัญ และนี่คือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจริงมันถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมมือกันสร้างระบบหลักประกันทางสังคมที่แข็งแกร่ง เป็นธรรม และครอบคลุมทุกชีวิต ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง