ไม่ต้องรอพบกันใหม่ชาติหน้า: เมื่อสัตว์เลี้ยงที่รักจากไป - Decode
Reading Time: < 1 minute

(Un) popular opinion

โตมร ศุขปรีชา

1

อินฟลูเอนเซอร์คนดังในโซเชียลมีเดียหนึ่งเป็นคนรักสุนัขมาก

เธอเลี้ยงสุนัขเอาไว้เกือบยี่สิบตัว ซึ่งก็แน่นอนว่าในบรรดาสุนัขทั้งหมดนั้น ย่อมต้องมีตัวที่ ‘รัก’ เป็นพิเศษเหนือกว่าตัวอื่นอยู่ด้วย

ปัญหาอันเป็นเรื่องธรรมดาโลกที่เกิดขึ้นก็คือ ไม่ว่าจะรักมากแค่ไหน ไม่ว่าจะมีเงินทองมากเพียงใด ไม่ว่าจะดูแลดีอย่างที่ใจปรารถนาเท่าไหร่ เมื่อสุนัขตัวนั้นชราลง สุดท้ายย่อมต้องมาถึงวันหมดอายุขัยจนได้

ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป ก็อาจต้องยอมรับสัจธรรมเรื่องนี้ แล้วปล่อยสุนัขให้คว้างลอยไปในปรโลก พร้อมความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าบางที – ชาติหน้าเราอาจได้พบกันอีก

แต่กับอินฟลูเอนเซอร์คนนี้ เธอไม่คิดอย่างนั้น เธออยากต่อสู้กับความร่วงโรยของสังขาร และอยากย้อนเวลากลับไปใหม่เพื่อให้สุนัขที่รักที่สุดยังคงย้อนกลับมาอยู่กับเธอ 

เธอจึงติดต่อนักวิทยาศาสตร์ทีมหนึ่งที่ต่างประเทศ – เพื่อจะทำโคลนนิ่งสุนัขแสนรักตัวนั้นให้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

2

ที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่มาก นิตยสาร Wired เคยมีบทความชื่อ Copycats (And Dogs) เล่าถึงเทรนด์ใหม่ที่ผู้คน (ที่มีอันจะกินพอสมควร) เริ่มหันมาทำโคลนนิ่งสุนัขหรือแมวที่ตัวเองรักและจากไปกันมากขึ้น

กระบวนการโคลนนิ่งสัตว์ที่ต่างกันนั้นอาจมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน เช่นการโคลนนิ่งแมวนั้นทำได้ง่ายกว่าโคลนนิ่งสุนัข จึงอาจมีราคาถูกกว่าการโคลนนิ่งสุนัขถึงเกือบครึ่งหนึ่ง แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือ ‘ราคาถูก’ นัก ข้อมูลจากนิตยสาร Wired บอกว่า กระบวนการโคลนนิ่งแมวนั้นกินเวลานานถึงเจ็ดเดือน และมีค่าใช้จ่ายสูงมากถึง 50,000 เหรียญ

การโคลนนิ่งแมวเชิงพาณิชย์นั้น เกิดขึ้นราว ๆ เก้าถึงสิบปีมาแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ มีการโคลนนิ่งแมว สุนัข และม้ามาหลายพันปี โดยแต่ละปีจะมีผู้แสดงเจตจำนงอยากโคลนสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองกันมากขึ้นเรื่อย ๆ รายชื่อที่ต้องรอ ‘เข้าคิว’ จึงยาวเหยียด 

ส่วนใหญ่แล้ว การโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากสัตว์เลี้ยงแสนรักตายจากไป หลายคนที่มีกำลังทรัพย์มากพอจึงพยายามหาวิธีจะทำให้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง และการโคลนนิ่งก็คือคำตอบ

ที่จริงแล้ว ถ้าจะโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยง ต้องมีการเตรียมการเอาไว้แต่เนิ่น ๆ โดยมากสัตว์ที่จะโคลน จึงมักเป็นสัตว์ที่อายุมาก ๆ หรือมีโรคเรื้อรังที่แพทย์ทำนายเอาไว้แล้วว่าจะรักษาไม่หาย เพราะหากสัตว์เลี้ยงจากไป เซลล์ของพวกมันจะใช้งานต่อได้อีกประมาณห้าวัน (หมายถึงการโคลนนิ่งน่ะนะครับ) ดังนั้นจึงต้องเก็บร่างกายของสัตว์เหล่านี้ไว้ในทันที โดยเก็บไว้ในตู้เย็นตามอุณหภูมิที่กำหนด แต่ต้องไม่แช่แข็ง เพราะการแช่แข็งจะทำให้เซลล์เสียหาย ไม่สามารถนำมาโคลนได้

ชิ้นส่วนที่เหมาะจะนำมาเป็นเซลล์ตั้งต้นในการโคลนที่สุด ก็คือใบหู เพราะเนื้อเยื่อบริเวณนั้นแข็งแรง แต่ที่ทำให้เจ้าของอาจใจหายก็คือ ต้องมีการ ‘เก็บ’ เนื้อเยื่อ ทำให้ต้องมีการตัดชิ้นส่วนของสัตว์เลี้ยงออกมา ร่างกายของสัตว์เลี้ยงที่ตายไปแล้วจึงไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็สามารถนำร่างส่วนที่เหลือไปประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อได้

กระบวนการโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยง หรือที่เรียกว่า Somatic Cell Nuclear Transfer (SCNT) คือการสร้างสัตว์ที่ ‘มีพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ’ กับสัตว์เลี้ยงต้นแบบ วิธีการก็คือ หลังจากได้เซลล์มาแล้ว ไม่ว่าจะเซลล์จากใบหูหรือผิวส่วนอื่น ก็จะต้องนำมาลองเพาะเลี้ยงดูก่อนว่าเซลล์นั้น ๆ ยังมีคงมีชีวิตและแบ่งตัวได้จริงไหม โดยเซลล์ที่ใช้จะเป็น ‘เซลล์ร่างกาย’ หรือ Somatic Cell ที่มีดีเอ็นเอครบถ้วนสมบูรณ์ 

ถัดจากนั้นก็ต้องมีการ ‘เตรียมไข่’ (Egg Cell Preparation) โดยการเก็บเซลล์ไข่ (Ovum) จากสัตว์ตัวเมียที่เป็นสายพันธุ์เดียวกัน แล้วนำเอานิวเคลียสออกจากไข่ (เรียกว่า Enucleation) เพื่อทำให้ไข่นั้น ๆ ไม่มีข้อมูลพันธุกรรมของตัวเอง ไข่ก็เลยเป็นเหมือนเซลล์เปล่า ๆ จากนั้นนำเอาดีเอ็นเอของสัตว์ต้นแบบมาใส่ในไข่ ทำให้เซลล์ไข่มีดีเอ็นเอเหมือนสัตว์ต้นแบบ และไม่มีดีเอ็นเอจากแม่พันธุ์อยู่เลย 

ขั้นตอนสำคัญถัดจากนี้ก็คือการต้องพยายาม ‘หลอก’ ให้เซลล์ไข่คิดว่ามันได้รับการปฏิสนธิแล้ว (อันนี้เป็นคำพูดอุปมานะครับ เพราะเซลล์ไข่มัน ‘คิด’ ไม่ได้หรอก) โดยใช้กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ หรือสารเคมี พอไข่คิดว่ามันปฏิสนธิแล้ว ก็จะเริ่มแบ่งเซลล์จนกลายเป็นตัวอ่อน (Embryo) พอได้ตัวอ่อนแล้ว ก็ย้ายตัวอ่อนเข้าไปไว้ในมดลูกของ ‘แม่อุปถัมภ์’ (Surrogate Mother) ซึ่งหากทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็จะเติบโตเหมือนการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ และให้กำเนิดสัตว์ที่มีพันธุกรรมเหมือนต้นแบบ 100%

แต่ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เพราะต้องอาศัยความแม่นยำในแต่ละขั้นตอนสูงมาก ต้นทุนจึงสูง ยิ่งถ้าเป็นสัตว์อย่างสุนัขหรือม้า ต้นทุนอาจขึ้นไปได้ถึงแสนเหรียญเลยทีเดียว

ปกติแล้ว ห้องปฏิบัติการจะต้อง ‘สร้างตัวอ่อน’ ขึ้นมาหลาย ๆ ตัว เพื่อรับประกันความผิดพลาด ดังนั้นสัตว์ที่โคลนจึงอาจมีได้มากกว่าหนึ่งตัว ซึ่งโดยปกติแล้ว ก็จะส่งมอบให้กับผู้ว่าจ้างทั้งหมด แต่ถ้าผู้ว่าจ้างต้องการเพียงตัวเดียวเท่านั้น ก็ต้องหาบ้านให้ตัวที่เหลืออยู่

บทความในนิตยสาร Wired บอกว่า สัตว์ตัวที่เหลือนั้น ส่วนใหญ่พนักงานบริษัทโคลนนิ่งก็จะรับไปเลี้ยง และเกือบทุกคนที่ทำงานที่นั่น จะมีสัตว์เลี้ยงเป็นสัตว์โคลนแทบทั้งสิ้น

3

ว่ากันว่า สัตว์ที่โคลนยากที่สุดก็คือสุนัข เพราะมันเป็นสัดแค่ปีละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น จึงไม่สามารถกระตุ้นให้สุนัขไข่ตกเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนแมว แถมตัวอ่อนของสุนัขยังแช่แข็งไม่ได้ด้วย และต้องคำนวณซับซ้อนเพื่อดูว่าจะต้องฝังตัวอ่อนกี่ตัวถึงจะได้ลูกสุนัขออกมาหนึ่งตัว เพราะคงไม่มีใครอยากได้สุนัขหน้าตาเหมือนตัวที่ตายไปทีเดียวสิบตัวรวดหรอกนะครับ แบบนั้นก็ดูจะมากเกินไปหน่อย

ที่น่าสนใจก็คือ เขาบอกว่าเทรนด์นี้มาแรงเพราะคนในปัจจุบันมีลูกน้อยลง ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะมีฐานะหรือเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีแต่ไม่มีลูก พวกเขาจึงผูกพันกับสัตว์เลี้ยงมาก และเมื่อไม่มีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่นการส่งเสียลูกเรียนมหาวิทยาลัยหรือจัดงานแต่งงาน เมื่อสัตว์เลี้ยงตายไป การ ‘โคลน’ สัตว์เพื่อให้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก

คำถามยอดฮิตก็คือ แล้วเจ้าแมวหมาที่โคลนมานั้น จะเหมือนตัวต้นแบบหรือเปล่า?

คำตอบก็คือ พันธุกรรมของมันจะเหมือนกันทุกประการ นั่นแปลว่าลักษณะภายนอก (Phenotype) น่าจะเหมือนกัน เช่นสีขน สีตา ฯลฯ และอาจรวมไปถึง ‘นิสัย’ และ ‘ระดับสติปัญญา’ บางส่วนด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับด้วยนะครับ ว่ามันคือ ‘สัตว์ตัวใหม่’ ไม่ใช่ตัวเดิม ที่เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป

เจ้าของสุนัขโคลนคนหนึ่งบอกว่า สมัยเลี้ยงสุนัขตัวต้นแบบ เธอไม่ได้เลี้ยงมันตั้งแต่เกิด ดังนั้นเมื่อมาเลี้ยงตัวโคลน เธอจึงรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปทำความรู้จักสุนัขตัวนี้ตั้งแต่มันยังเด็ก ๆ อยู่ แล้วก็ค่อย ๆ ฟูมฟักมันขึ้นมาใหม่ คล้ายกับโลกได้หมุนย้อนกลับไปเพื่อให้เธอได้ค่อย ๆ เดินทางไปกับเจ้าสุนัขตัวนี้อีกครั้งหนึ่ง

4

ปกติแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยบอกใครหรอกว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเป็นสัตว์โคลน เพราะกลัวถูกตัดสินหรือถูกวิจารณ์ หลายคนไม่บอกแม้กระทั่งสัตวแพทย์หรือครอบครัวของตัวเองด้วยซ้ำ บางคนก็บอกแค่ว่ารับตัวใหม่มาเลี้ยง โดยเลือกให้มีหน้าตาคล้ายตัวเดิมเท่านั้น

แต่ที่น่าสนใจก็คือ อินฟลูเอนเซอร์ไทยคนนั้น เธอเล่าให้ฟังอย่างเปิดเผยว่าเธอทำโคลนนิ่งสุนัขตัวที่เธอรักที่สุด และแม้ครั้งแรกจะไม่ประสบความสำเร็จจนทำให้เธอเสียน้ำตา แต่เธอก็สู้ จนล่าสุดเธอออกมาเปิดเผยว่าประสบความสำเร็จแล้วด้วยค่าใช้จ่ายหลายล้านบาท

สัตว์เลี้ยงโคลนนิ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต และต่อไปกระบวนการนี้ก็อาจจะราคาถูกลง ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย แต่สิ่งที่ต้องถกเถียงกันต่อไปก็คือประเด็นทางจริยธรรมว่าเป็นเรื่องที่ควรทำหรือไม่ แต่เรื่องที่ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็คือ การโคลนนิ่งไม่ใช่การ ‘ฟื้นคืนชีพ’ หรือการนำเอาสัตว์ตัวเก่ากลับมา ทว่ามันคือการ ‘เปิดโอกาส’ ให้เจ้าของให้สร้างความสัมพันธ์ใหม่กับสัตว์เลี้ยงอีกตัวหนึ่งที่มีพันธุกรรมและลักษณะภายนอกเหมือนกันกับสัตว์เลี้ยงตัวเก่า

คุณล่ะครับ คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?