ยุคสมัยที่กำลังจะมาถึง...โลกของคนที่เกิดหลัง 2553 สดุดีชีวิตและความยุติธรรม อำลา 'ปัจเจกนิยม' - Decode
Reading Time: < 1 minute

ประกายไฟลามทุ่ง

รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

ไม่นานมานี้ผมเห็นไทม์ไลน์ในเฟซบุ๊ก เตือนถึงน้อง ๆนักเรียน ม.2-ม.3 ที่เคยผูกโบว์ขาว ในช่วงปี 2563-2564 ตอนนี้ก็เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เช่นเดียวกันกับนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 1 ที่เคยร่วมปฏิญญาที่ลานพญานาคก็เรียนจบเข้าสู่ตลาดแรงงานไปแล้ว

เป็นช่วง 3-4 ปีที่ยาวนานสำหรับผมในความรู้สึก ผมได้เห็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ หลายคนมีโอกาสเรียนจบได้เริ่มทำงานที่ดี หลายคนมีคดีทางการเมืองติดตัว หลายคนมีความรัก มีชีวิตครอบครัว เป็นดังเป้าหมาย ไม่เป็นดังเป้าหมาย แต่พวกเขาก็เติบโตขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่พวกเขาทั้งชอบและชัง สังคมที่พวกเขามีหวัง และสังคมที่พวกเขาสิ้นหวัง ที่ต่อไปโลกทั้งใบก็จะอยู่ในมือของพวกเขา เหมือนครั้งหนึ่งที่เคยอยู่ในมือของคนรุ่นผมมาก่อน ในปี 2567 เราอาจมองย้อนไปว่าคนที่กำลังจะเป็นคนรุ่นใหม่ต่อไปอีกในอนาคต ก็คือคนที่เกิดหลังปี 2553 ซึ่งตอนนี้ส่วนมากกำลังอยู่ในระดับชั้นมัธยมต้น ผมเองไม่อาจสามารถสรุปคุณค่าของวันพรุ่งนี้ได้ แต่มีเรื่องสำคัญที่เราเองอาจพอวิเคราะห์ได้ว่า ความคาดหมายและมุมมองของเขาต่อโลกได้ดังนี้

1.EF-Executive Function จะกลายเป็นคุณลักษณะสำคัญที่พวกเขาคาดหวังจากผู้คนแทน ความฉลาดทางปัญญา หรือความฉลาดทางอารมณ์ เราอาจคุ้นเคย EF ในหลักการพัฒนาการเด็ก มีหลักการสำคัญคือพัฒนาการสามข้อได้แก่ ความสามารถในการจดจำ (Working Memory) ความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility) และความสามารถในการควบคุมและยับยั้งตนเอง (Inhibitory Control) เราอาจมองว่าทั้งสามประเด็นเป็นเรื่องของพัฒนาการเด็ก แต่ EF ก็เป็นหลักสำคัญที่ปัญหาสังคมที่เราเผชิญอยู่ ก็มาจากการที่คนมีอำนาจในสังคมเราขาด EF เช่น ผู้นำเหล่าทัพ ไม่มีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจผลประโยชน์ที่ได้จากการทำรัฐประหาร หรือ เมื่อระบบการเมืองมีปัญหา หรือเจอนักการเมืองที่คอรัปชัน นักวิชาการ หรือกลุ่มคนที่มีอิทธิพลทางความคิดในอดีต ไม่มองเห็นทางออกในการยืดหยุ่นหาทางออกที่หลากหลาย แต่สนับสนุนการทำรัฐประหาร หรือความสามารถในการจดจำเรียนรู้ความผิดพลาดในทางสังคม ก็สร้างปัญหามาจนถึงรุ่นเรา

ดังนั้น หากมองในอนาคตอีกสิบปีข้างหน้า สังคมที่ผู้คนมีความสามารถในการประมวลผล ยับยั้งชั่งใจเป็นเรื่องสำคัญ และจะเป็นคุณค่าที่สำคัญในยุคสมัยที่จะมาถึง

2.ความเสื่อมถอยของค่านิยม Easy Money การได้เงินมาด้วยวิธีการง่าย ๆ – ค่านิยม Easy Money หรือค่านิยมการบูชาเงินที่ได้มาง่าย ๆ หรือคุ้นเคยกับคำพูดว่า “ให้เงินทำงานแทน” เป็นค่านิยมที่วางอยู่ตรงข้ามกับค่านิยม ของคนยุค Gen-X และ Boomer ก่อนหน้านั้นที่มองว่า การทำงานหนักเท่านั้นที่คู่ควรกับเงิน อย่างไรก็ตามแม้ค่านิยม Easy Money เป็นที่นิยมในหมู่คน Gen Y และ Z แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาต่าง ๆ มากมาย การหลอกลวง ไม่โปร่งใส และการตั้งคำถามถึงผลกระทบระยะยาวของ Easy Money ในระบบธุรกิจต่าง ๆ การลงทุนแบบแชร์ลูกโซ่ การชวนลงทุนสินทรัพย์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ธุรกิจแพลตฟอร์มที่เอาเปรียบคนทำงาน หรือธุรกิจที่เติบโตไวแต่แลกด้วยผลกระทบด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ก็ล้วนถูกตั้งคำถามมากขึ้น

ดังนั้นโลกของคนยุคถัดไป อาจไม่ได้ให้ค่านิยมต่อการทำงานหนัก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ให้ค่านิยมต่อการบูชาเงินอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่มองถึงการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นมิตรต่อคนทำงานมากขึ้น

3.ความเสื่อมถอยของลัทธิปัจเจกนิยมและอรรถประโยชน์นิยม โดยเรียกร้องต่อความรู้สึกต่อส่วนรวมที่จริงใจมากขึ้น ค่านิยมปัจเจกนิยม และการแสวงหากำไรสูงสุดมีอิทธิพลมากขึ้นในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมาพร้อมกับกระแสเสรีนิยมใหม่ อย่างไรก็ตาม โลกของคนรุ่นใหม่ ในอนาคตมีแนวโน้มที่คาดหวังให้มนุษย์ใคร่ครวญต่อชีวิตมากขึ้น ผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้อื่นในวงกว้าง การรู้สึกถึงความเจ็บปวดของผู้อื่นอย่างจริงใจ เป็นเรื่องที่ถูกให้ความสำคัญมากขึ้น ดังนั้น คนที่มีคุณค่าจึงเป็นมากกว่าคนที่ร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จ แต่เป็นคนที่สามารถสร้างความสมดุลการใช้ชีวิตของตนเองกับความรู้สึกของผู้อื่นได้ ด้วยค่านิยมที่ปรับเปลี่ยนไป

ผมยังมองว่า การออกแบบสวัสดิการรูปแบบต่าง ๆ ที่ครอบคลุมกลุ่มคนที่หลากหลายก็จะได้ยอมรับมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ข้อพิจารณาในเบื้องต้นเราจะเห็นได้ว่า แม้ว่าโลกของเราจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ไม่ว่าโรคระบาด สงคราม หรือเศรษฐกิจตกต่ำสิ่งที่เรามีความหวังได้เสมอต่อมนุษยชาติ ไม่ใช่ว่าพวกเขาในอนาคตฉลาดกว่าเรา หรือมีเทคโนโลยีดีกว่าเรา แต่มาจากเงื่อนไขสำคัญที่พวกเขาปรารถนาความยุติธรรมมากขึ้นเสมอ เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ที่คนรุ่นก่อนได้ก่อไว้ และช่วยแก้ไขสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง หน้าที่ของพวกเราก็คือเป็นฐานสำคัญให้แก่พวกเขาในการที่จะทำให้พวกเขาสามารถเติบโตขึ้นจากต้นกล้า กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สำหรับพวกเราต่อไปในอนาคตที่พวกเรามีหน้าที่ในการรดน้ำ พรวนดิน เปิดทางให้แสงสว่างแก่พวกเขาให้พวกเขาได้เติบโตอย่างอิสระ และสอนบทเรียนในสิ่งที่เคยล้มเหลวแก่พวกเขาต่อไป