ภาวะโลกเดือดกับชะตากรรมของมหาสมุทร (ตอนที่ 2) มหันตภัยปะการังฟอกขาว - Decode
Reading Time: 3 minutes

Earth Calling

เพชร มโนปวิตร

“เมื่อไหร่เราจะหยุดเสแสร้งว่าหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาปะการังน่าจะรอด ในเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นแค่ 1 องศาเราก็เห็นปะการังในเกรทแบริเออร์รีฟฟอกขาวไปกว่า 90% แล้ว”

– Prof. Terry Hughes James Cook University    

งานวิจัยล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports คาดการณ์ว่ามีโอกาสถึง 90% ที่อุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปี 2024 บางภูมิภาคจะได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่าที่อื่น โดยเฉพาะพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ บางส่วนของอเมริกากลางและทะเลแคริบเบียน สิ่งที่ตามมานอกจากสภาวะแห้งแล้งรุนแรงและไฟป่าแล้ว ยังหมายถึงปรากฏการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าทะเลเดือด หรือภาวะคลื่นความร้อนใต้น้ำที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

อุณหภูมิที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในระดับทำลายสถิติอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ปี 2023 ที่ผ่านมาก็เพิ่งจะถูกบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดโลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดตั้งแต่เคยมีการเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 1850 ทำลายสถิติอุณหภูมิสูงสุดเมื่อปี 2016 ขาดลอยและเมื่อเทียบกับหลักฐานในอดีต อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจากก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมราว 1.5 องศาของปี 2023 น่าจะเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงที่สุดในรอบ 1 แสนปีที่ผ่านมา

“เราเคยเห็นแล้วว่าความร้อนระดับนี้จะสร้างปัญหารุนแรงให้กับโลกขนาดไหน เราจึงต้องการเตือนให้ทุกคนเตรียมตัว” Deliang Chen ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกแห่งมหาวิทยาลัยโกเตนเบิร์ก หนึ่งในนักวิจัยกล่าว

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบนบกและในทะเลคาดว่าจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และจะทำให้แนวปะการังจำนวนมากตายลงในปีนี้ “ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อแนวปะการังกำลังเข้าสู่ภาวะที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และเรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์” Ove Hoegh-Guldberg ศาสตราจารย์ด้านปะการังแห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ให้ความเห็น

โมเดลคาดการณ์อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก สีแดงเข้มคือบริเวณที่คาดว่าจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นผิดปกติมากที่สุดในปี 2024

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปีนี้อากาศจะร้อนมากผิดปกติเพราะเรายังอยู่ในช่วงของเอลนีโญ (El Nino) อันเป็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำและกระแสลมในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งโดยเฉลี่ยเกิดขึ้นเป็นวงรอบทุก ๆ 5-7 ปี จากที่ในภาวะปกติกระแสลมที่รู้จักกันในชื่อลมสินค้าตะวันออก (Eastery Trade Wind) เคยพัดจากฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก (อเมริกาใต้) ไปยังฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก (ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) โดยนำพากระแสน้ำอุ่นมาด้วย ทำให้เอเชียและออสเตรเลียได้รับความชุ่มชื้นฝนตกชุก ส่วนชายฝั่งของอเมริกาใต้ก็จะได้กระแสน้ำเย็นที่ไหลเข้าแทนที่ นำพาธาตุอาหารจากทะเลลึกขึ้นมาสู่น้ำตื้น ทำให้ปลาชุกชุม เป็นแหล่งอาหารของนกทะเลและการทำประมงชายฝั่งที่สำคัญ

แต่ระหว่างที่เกิดเอลนีโญ กระแสลมสินค้าตะวันออกอ่อนกำลัง กระแสลมพื้นผิวและกระแสน้ำจะเคลื่อนที่กลับทิศจากฝั่งตะวันตกไปสู่ตะวันออกของมหาสมุทรแทน ทำให้เกิดฝนตกหนักทางอเมริกาใต้ ส่วนออสเตรเลียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดความแห้งแล้ง อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ

อุณหภูมิของมหาสมุทรเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนและส่งผลกระทบต่อแนวปะการังอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์เริ่มสังเกตว่าปะการังเกิดการฟอกขาวเป็นบริเวณกว้าง (Mass coral bleaching) บ่อยครั้งขึ้นเรื่อย ๆ 

คนทั่วไปอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่าปะการังความจริงเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีโครงสร้างเรียบง่ายแต่สามารถสร้างโครงสร้างแข็งอันสลับซับซ้อนใหญ่โต เกิดเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่หลากหลายอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อใดที่อุณหภูมิสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ปะการังจะเกิดความเครียด และขับเอาสาหร่าย zooxanthellae ที่คอยผลิตอาหารให้ปะการังออกจากตัวจนเหลือแต่โครงสร้างหินปูนขาว ๆ เหมือนโครงกระดูก

ปะการังฟอกขาวที่เกรทแบริเออร์รีฟเมื่อปี 2017

ถ้าอุณหภูมิไม่ลดลงในเร็ววัน ปะการังที่ฟอกขาวส่วนใหญ่จะตายลง บางโคโลนีอายุหลายสิบปี บางโคโลนีอาจมีอายุหลายร้อยปี อาจตายลงทั้งหมดภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์ เปรียบไปจึงไม่ต่างอะไรกับไฟป่า ถ้าไฟไหม้ไม่หนักมาก ต้นไม้อาจจะฟื้นกลับมาได้เอง แต่ถ้าไหม้หนัก ไหม้นาน ป่าทั้งป่าก็ตายเรียบ และใช้เวลานานกว่าจะสามารถฟื้นตัวเองกลับมาได้

ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่รุนแรงระดับโลกครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1998 ซึ่งฆ่าปะการังทั่วโลกไปราว 16% ภายในปีเดียว

ครั้งที่สองคือปี 2010 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อแนวปะการังทางฝั่งอันดามันของประเทศไทย ซึ่งทำให้ปะการังแข็งในหลายพื้นที่ตายลงเป็นจำนวนมาก แนวปะการังน้ำตื้นภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ที่เคยเป็นป่าดงดิบใต้น้ำกลายสภาพเป็นสุสานซากปะการังสุดลูกหูลูกตา ภายในเวลาไม่กี่เดือนแนวปะการังที่เคยอุดมสมบูรณ์ตายลงมากกว่า 90%

ซากปะการังที่ตายเนื่องจากการฟอกขาวที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์

ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นต่อเนื่องและยาวนานที่สุดระหว่างปี 2014-2017 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวส่งผลให้แนวปะการังเกรทแบริเออร์รีฟ ที่มีความยาวกว่า 2,300 กิโลเมตรเกิดฟอกขาวอย่างรุนแรงสองปีซ้อนคือในปี 2016 และ 2017 ทำให้แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ตายลงราวครึ่งหนึ่ง และยังเกิดฟอกขาวรุนแรงซ้ำอีกครั้งในปี 2020 และ 2022

ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้งในปี 1998, 2010 และ 2014-17

ศาสตราจารย์ Terry Hughes แห่งมหาวิทยาลัย James Cook และคณะ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลปะการัง 100 แห่งทั่วโลก พบว่าปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในช่วงหลังเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงกว่าเดิม จากที่เคยเกิดขึ้นครั้งใหญ่ทุก ๆ 25-30 ปีในช่วงต้นทศวรรษ 1980s กลับลดสั้นลงเหลือแค่ทุก ๆ 6 ปีโดยเฉลี่ยในปัจจุบัน จนแทบไม่เปิดโอกาสให้ปะการังได้ฟื้นตัว อนาคตของระบบนิเวศที่มีความหลากหลายที่สุดในทะเลกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แผนที่การเกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ใน Great Barrier Reef เมื่อปี 2016, 2017 และ 2020

ที่ทำให้ปะการังตายไปราวครึ่งหนึ่ง

“มันเหมือนการขึ้นชกกับนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวท คุณอาจจะยืนระยะได้สักยก แต่พอขึ้นยกสอง คุณมีโอกาสถูกน็อคแน่ ๆ” Dr. Mark Eakin แห่ง NOAA ผู้ดูแลระบบเตือนภัยปะการังฟอกขาว Coral Reef Watch กล่าว

“ปรากฏการณ์ฟอกขาวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น สอดรับกับโมเดลสภาพภูมิอากาศที่พยากรณ์ไว้เป๊ะ ๆ จากสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ภายในกลางศตวรรษนี้ ปะการังส่วนใหญ่ทั่วโลกจะต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ฟอกขาวอันเนื่องมาจากอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นของน้ำทะเลเกือบทุกปี ถ้าไม่ทุกปี”

แต่ก่อนอาจจะมีช่วงอุณหภูมิลดต่ำลงอันเป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้ ปีที่ควรจะมีอุณหภูมิหนาวเย็น ร้อนกว่า ปีที่ควรจะร้อน เมื่อ 30 ปีที่แล้ว “เดี๋ยวนี้ไม่มีปีที่หนาวเย็นอีกแล้ว (ในทะเล) มีแต่ปีที่ร้อน กับร้อนเกินไป” Dr Eakin กล่าว

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืองานวิจัยของ Ove Hoegh-Guldberg และคณะ ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยได้ทำการวิเคราะห์รูปแบบอุณหภูมิผิวทะเลในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาแล้วพบว่ามีโอกาสสูงมากที่จะเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกตลอดปี 2024 นี้  

“หน้าร้อนปีนี้อาจจะเป็นหน้าร้อนแรกที่พวกเราไม่เคยพบเจอมาก่อน และสิ่งที่น่ากลัวก็คือมันอาจเป็นจุดเปลี่ยน (tipping point) ที่เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว เราอาจพบกับพายุที่รุนแรงที่สุดที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออุณหภูมิกระโดดสูงขึ้นไปขนาดนั้น” Ove Hoegh-Guldberg ให้สัมภาษณ์ไว้ระหว่างการเข้าร่วมประชุมภาคีสมาชิกว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ COP28 ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ข่าวร้ายก็คือ งานสำรวจทางอากาศและใต้น้ำล่าสุดทางตอนใต้ของแนวปะการังเกรทแบริเออร์รีฟพบว่า เริ่มมีการฟอกขาวเป็นบริเวณกว้างแล้ว ในขณะที่ทางตอนเหนือเริ่มมีการฟอกขาวเป็นบางจุด

ปะการังนอกจากจะมีความสวยงามอันนำมาสู่การท่องเที่ยวที่มีมูลค่ามหาศาล ระบบนิเวศประเภทนี้ยังมอบนิเวศบริการให้กับคนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ทั้งในแง่แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ และปราการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ

นอกจากผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนแล้ว ในปัจจุบันปะการังหลายแห่งอยู่ในสภาวะเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะขยะ ตะกอนจากการพัฒนาชายฝั่ง และการทำประมงมากเกินขนาด รวมไปถึงการท่องเที่ยวที่ไม่รับผิดชอบ  

นักวิจัยด้านปะการังต่างเรียกร้องให้มีความพยายามลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันก็ต้องลดผลกระทบต่าง ๆ จากกิจกรรมมนุษย์ให้มากที่สุด

ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวคือหลักฐานสำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเป็นผลพวงจากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนของมนุษย์นั้นส่งผลกระทบรุนแรงและกว้างไกลขนาดไหน

ถ้าโลกลงมือแก้ปัญหาโลกร้อนไม่ทันการณ์​ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าปรากฏการณ์ฟอกขาวจะฆ่าปะการังเกือบทั้งหมดภายใน 30 ปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประชากรกว่า 1 พันล้านคนที่พึ่งพาอาศัยแนวปะการังในการดำรงชีวิต จะเกิดอะไรขึ้นกับกุ้ง หอย ปู ปลา และเศรษฐกิจหมุนเวียนด้านการท่องเที่ยวปีละกว่า 1.2 ล้านล้านบาท

อ้างอิง

Hoegh-Guldberg et al. 2023. Coral reefs in peril in a record-breaking year. Science Vol.382, Issue 6676. PP.1238-124

https://www.climatecodered.org/2016/05/saving-reef-triumph-of-politics-over.html

https://news.mongabay.com/2024/03/corals-dying-as-yet-more-bleaching-hits-heat-stressed-great-barrier-reef/


https://www.reuters.com/business/environment/world-brink-fourth-mass-coral-reef-bleaching-event-noaa-says-2024-03-05/


https://www.theguardian.com/environment/2023/dec/07/unprecedented-mass-coral-bleaching-expected-2024-professor-ove-hoegh-guldberg