กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ อดีตนักเขียนหนุ่มผู้ล่วงลับ เจ้าของผลงานหนังสือบันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร กล่าวไว้ในหนังสือของเขาว่า
“ว่ากันว่าการจะทำความรู้จักนักเขียนสักคนหนึ่งอย่างถึงแก่นแท้เบื้องลึก ให้เลือกทำความรู้จักกับเขาหรือเธอ จากงานเขียนของเขา ด้วยนักเขียนไม่อาจปฏิเสธสัจจะความจริงได้ในงานเขียน”
ผมผ่านการอ่านข้อเขียนข้างต้นนี้มา 3 ปีแล้ว แต่ข้อความนี้ไม่เคยลบเลือนหายไปไหน อาจจะด้วยผมเป็นคนชอบเขียนด้วยประการหนึ่ง ประกอบกับยิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการเขียนมากแค่ไหน น้ำเสียงที่เคยมีก็ค่อย ๆ หายไป มันถูกแทนที่ด้วยน้ำหมึกจากปลายปากกาและแป้นพิมพ์ ผมจึงให้คุณค่ากับการเขียนเพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่ทำให้ผมสามารถสื่อสารเรื่องราว ที่อยากจะบอกออกไปให้ทุกคนได้รับรู้
ผมรู้จักกับ นิง อติรุจ ดือเระ ผู้เขียนหนังสือรวมบทกวี “โบยบินไปสู่โลกซึ่งความรักสะพรั่งบาน” ผ่านการทำงานร่วมกันในทีม De/code เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี แต่สถานการณ์และรูปแบบการทำงานก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผมได้รู้จักเขาสักเท่าไหร่นัก โชคยังดีที่โลกทุกวันนี้มี Facebook เราจึงพอได้ทำความรู้จัก เห็นความสนใจของกันและกันผ่านหน้า Facebook
“ผมไม่กล้าหรือคุณไม่กล้า
หรือเพียงพอแล้ว
ที่เราจะเป็นเพื่อนกันบนโลกออนไลน์
และอาจจะดีกว่าสบตาคุยกันในโลกจริง ๆ ก็ได้”
แต่การรู้จักกันผ่าน Facebook บางครั้งมันก็ไม่เพียงพอหรอก Facebook เหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ ที่พอบอกรสนิยมของเจ้าของ แต่ไม่มีวันบอกถึงสิ่งที่ลึกลงไปในใจ สิ่งที่เขาคิดอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นตัวตนของเขา อติรุจหยิบยื่นหนังสือโบยบินไปสู่โลกซึ่งความรักสะพรั่งบานให้ผม ในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะโบกมือลาโบยบินไปจากทีม De/code
“โลกที่ผมเติบโต
บุปผาสะพรั่งบานเพียงครั้งเดียว
ดวงดาวนับแสนหลบตัวสกาวแสงหลังม่านฝุ่นพิษ
เด็กกำพร้าแบกชีวิตหนีห่ากระสุน
ไปกลางทะเลทรายแผดร้อน
พระจันทร์ของชนบางเผ่าพันธุ์
ถูกเปลวเพลิงลามเลียเหลือเพียงเถ้าธุลี
ชายหาดแห่งความทรงจำ
กลายเป็นลานประหารชีวิตชาวบ้านตาดำ ๆ ”
มุมมองที่ผมมีต่อบทกวีก่อนหน้าที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมรู้สึกว่ามันอ่านยากต้องตีความเยอะ บางเรื่องก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องพยายามทำเป็นเข้าใจเพื่อไม่ให้ตัวเองดูเขลานัก และในฐานะคนกรุงผู้เกิดและเติบโตมาพร้อมกับความเร่งร้อน ไม่ใคร่ถูกจริตกับอะไรที่เนิบช้าสักเท่าไหร่ ถ้าจะต้องอ่านหนังสือซัก 1 หน้า แล้วต้องใช้เวลาตีความหมายซัก 1 วัน ผมคงต้องขอโบกมือลา
แต่บทกวีของอติรุจ อ่านง่ายกว่าที่คิดไว้แฮะ เขาสามารถทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารผ่านบทกวีได้อย่างอิสรเสรี แต่ยังคงไว้ซึ่งความงดงามในตัวอักษร และที่สำคัญคือบทกวีของเขายึดโยงกับความเป็นไปของโลกใบนี้ ไม่ได้มีเพียงสายลมและแสงแดด
“ชนโรฮิงญา
เดินทางรอนแรมใต้เวิ้งฟ้ากว้าง
กลางวันแดดระอุร้อนจนเหงื่อไหล
กลางคืนสายลมหนาวเหน็บจนปากสั่น
เรือนรังที่เคยหลับนอน
ถูกเปลวเพลิงความเกลียดชังลามเลีย
หลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง
และบางกะโหลกของเพื่อนบ้าน”
ในโบยบินไปสู่โลกซึ่งความรักสะพรั่งบาน อติรุจหยิบยกหลายปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มาพรรณนาถึง จอร์จ ฟลอยด์, มาลาลา ยูซาฟไซ, ปัญหาโลกร้อน, ขยะไมโครพลาสติก, โลกออนไลน์, โควิด19, นัยหนึ่งคือการให้พื้นที่แก่ทุกปัญหา แต่อีกนัยการหยิบหลาย ๆ เรื่องมาผสมกัน ก็น่าเสียดายไปเหมือนกันว่า บางเรื่องราวเบาบางเกินกว่าที่คนอ่านอย่างผมจะสัมผัสหรือรู้สึกร่วมไปกับมัน แต่ถึงอย่างไรแล้วผมคิดว่ามีประเด็นหนึ่ง ที่อติรุจเขียนได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ
“คริสต์ศักราช 2001
ม๊ะหลั่งรินน้ำตาคลอด
กำหนดนามแก้วตาดวงใจว่า ‘สลามีย์’
หยิบยืมมาจากภาษาอาหรับ
ด้วยหมายว่าถึงสันติสุข
และแล้วขณะผมอายุสี่ขวบ
ป๊ะก็หลั่งรินลมหายใจรดบำรุงสันติสุข
ห่ากระสุนวิ่งพุ่งเข้ามัสยิดกรือแซะ
ขณะป๊ะสิโรราบสรรเสริญพระเจ้า
แล้วประเทศนี้ก็มีแม่เลี้ยงเดี่ยวเพิ่มอีกหนึ่งคน
แล้วโลกใบนี้ก็มีเด็กกำพร้าเพิ่มอีกหนึ่งคน
การสูญเสียกัดแทะหัวใจให้เจ็บแสบทุกวี่วัน”
ระหว่างทำงานร่วมกัน อติรุจเป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง ที่มุ่งมั่นทำงานเขียนงานประเด็นสามจังหวัดชายแดนใต้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง อาจจะด้วยเขาเป็นคนหนุ่มจากชายแดนใต้คนหนึ่ง หรือแม้กระทั่ง “ผม” ในตัวบทกวี อาจจะเป็นเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตเขา…ผมไม่ทราบชัด แต่ค่อนข้างแน่นอนว่า เขาสนใจในเรื่องดังกล่าวนี้อย่างแท้จริง
หลาย ๆ ครั้ง เป็นการน่าเสียดาย ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับทุกคนไหม แต่มักจะเกิดขึ้นกับผมเสมอ เรามักจะเริ่มทำความรู้จัก หรือสนิทกันมากขึ้นในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนแยกจาก ไม่ใช่เวลาก่อนหน้านี้ไม่มีความหมาย มันมีความหมายแต่หลายความหมายจำเป็นต้องผ่านกาลเวลา และโอกาสที่เหมาะสมในการบ่มเพาะ ผมคิดว่าความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่บังคับกะเกณฑ์ หรือพยายามเร่งให้มันผลิดอกออกผลไม่ได้ มันอาจจะเป็นการเติบโตที่เนิบช้า แต่ผมก็แน่ใจได้ชัดเจนว่าทุกความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตผมไม่ฉาบฉวย และมันจะคงอยู่ต่อไปได้อีก เพียงเราหล่อเลี้ยงมันไว้
“ได้ยินแต่เพียงเสียงร่ำไห้
แต่ไม่เคยเห็นหยดน้ำตา
ได้ยินแต่เพียงเสียงหัวเราะ
แต่ไม่เคยเห็นรอยยิ้ม”
ผมใช้เวลา 3 ค่ำคืน ในการอ่านบทกวีของอติรุจเล่มนี้ บางคืนอ่านได้แป๊บเดียวก็ผล็อยหลับไปด้วยความง่วง บางคืนก็แสนยาวนาน เมื่อข่มตาหลับเท่าใดก็หลับลงไม่ได้สักที
เข็มนาฬิกาหมุนวนมาชี้ที่เลขเท่าไหร่นั้นผมมิอาจทราบได้
ความมืด มืดเกินกว่าที่จะมองเห็น
บรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบายแต่ก็เปลี่ยวเหงา
มันเย็นเกินกว่าที่จะสัมผัสได้
มีสายฝนหลงฤดูตกแล้วตกเล่ามาเกือบอาทิตย์
สายฝนแทรกผ่านอณูกาย
คืนนั้นผมรู้สึกใดอีกบ้างไม่ทราบแน่ชัด
ความทรงจำแตกเป็นเสี่ยง รู้เพียงว่าคืนนั้นมีบทกวี โบยบินไปสู่โลกซึ่งความรักบานสะพรั่งบาน วางอยู่ข้าง ๆ บนระเบียงแสนเก่าในหอพักที่ผมยังไม่คุ้นชินกับมัน ทางซ้ายคือภาพสะพานสูงตระหง่าน มีรถแล่นฉิวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ด้านล่างเป็นกลุ่มบ้านเก่าแก่ตั้งติดกัน 6 หลัง มีฝูงแมวยึดครองทุกสรรพสิ่งอยู่เบื้องล่าง ทางขวาชิงช้าสวรรค์ของห้างเอเชียทีค ยังคงหมุนเอื่อย ๆ แสงจันทร์กลบแสงดาวจนหมดสิ้น
เป็นอีกค่ำคืนแล้วที่ยากจะข่มตา หลายการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามาในชีวิต บางครั้งตั้งตัวได้ หลายครั้งยากที่จะตั้งตัวรับ
ชีวิตโซซัดโซเซอยู่ที่ปลายปากเหว บางครั้งลมแรงเกินต้าน ความกลัวพุ่งจนถึงขีดสุด มัวคิดแต่เพียงว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่อาจทานทน รับการต้านทานของแรงลมได้ต่อไป
ผมหลับตาพริ้มปล่อยวางทุกสรรพสิ่งลงเบื้องหน้า ทิ้งตัวกลางสุญญากาศกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่า ชีวิตล่องลอยกางปีกโบยบิน หุบเหวไม่ได้น่ากลัวเสมอไปการเปลี่ยนแปลงก็เช่น เมื่อมั่นใจในสิ่งที่ตนเองเลือกเดิน ก็พร้อมที่จะโบยบินไปสู่แห่งหนไหน แม้จะดูน่ากลัวแต่ยังดีกว่ายืนสั่นเทิ้มอยู่กลางปากเหว เพียงเพราะกลัวความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง
“เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
ส่วนอื่น ๆ ของกายนี้ย่อมระทมทุกข์ไปด้วย
เช่นเดียวกับเราโอบกอดสรรพสิ่งอื่น
เพื่อมิให้สรรพสิ่งใดถูกย่ำยี
ด้วยสองมือของใครสักคนจากหมู่เราอีก”