วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว - Decode
Reading Time: 2 minutes

“การที่มีคนหัวเราะเรื่องไม่เป็นเรื่องไปด้วยกันได้นั้นคือความสุข” 

ประโยคนี้ถูกเลือกมาไว้ที่ด้านล่างหน้าปกหนังสือวรรณกรรมญี่ปุ่น ที่สุดแสนจะเรียบง่าย แต่รายละเอียดเยอะ ดึงดูดให้เราหยิบหนังสือเล่มนี้ มาเป็นเพื่อนอ่านกับตัวเองเพราะประโยคนี้

ใช่…ใช่เลย…ความสุข ความสนุกในการใช้ชีวิตของเราคือ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว เป็นวรรณกรรมแปลของมูเระ โยโกะ วรรณกรรมที่มีความขัดแย้ง(conflict) เบา ๆ เล่าเรื่องแบบเรียบง่าย เรื่อย ๆ สไตล์ญี่ปุ่น หนังสือที่เหมือนพาคุณไปนั่งอยู่มุมหนึ่ง ในร้านอาหารของอากิโกะ
หากคนที่ไม่คุ้นชินกับการเล่าเรื่องแบบรายละเอียดปลีกย่อย อาจจะรู้สึกน่าเบื่อเกินไปเสียด้วยซ้ำ

ปกติแล้วเรามักจะเสพติดหนังสือที่มีรสชาติจัดจ้าน มี conflict ชัดเจน เห็นจุดเปลี่ยนแบบพลิกผัน แต่เรื่องนี้ค่อนข้างตรงกันข้าม แต่กลับเป็นจุดเปลี่ยนที่เราทุกคนต่างเจอในการใช้ชีวิตทั้งนั้น ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะมาก ๆ กับการอ่านหนังสือแบบนี้ในที่ไหนสักที่ที่เราจะได้อ่านช้า ๆ เพื่อที่เราจะมีเวลาละเลียดความละเอียดในแบบฉบับญี่ปุ่น

หนังสือเล่มนี้มีตัวละครหลักไม่เยอะ
แม่ เสียชีวิตตั้งแต่ต้นเรื่อง
อากิโกะ เป็นตัวละครเอก
ชิมะจัง เป็นพนักงานในร้านของอากิโกะ
ทาโระ แมวจรลายสลิดของอากิโกะ

อากิโกะอยู่กับแม่สองคนมาตั้งแต่ยังเด็ก อากิโกะไม่ชอบทุกอย่างที่แม่ทำ แม้แม่จะทำร้านอาหาร แต่อากิโกะก็จะทำอาหารกินเองอยู่เป็นประจำ แม่ของอากิโกะจะเป็นห่วงกับเรื่องของชีวิตลูกสาวทุกอย่าง รวมถึงเรื่องชีวิตคู่ด้วย แต่ด้วยความที่อากิโกะค่อนข้างมีแนวคิดและความฝันชัดเจน เธอจึงไม่ทำตามแม่เท่าไรนัก

อากิโกะเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ ใช้ชีวิตอยู่กับแม่เรื่อยมา วันหนึ่งแม่ของอากิโกะก็เสียชีวิตลงกะทันหัน แต่ก็ดูเหมือนอากิโกะไม่ได้รู้สึกเศร้ามากมาย อากิโกะต้องปิดร้านของแม่ไป เพราะไม่อยากทำร้านแบบที่แม่ทำ และจะเป็นบรรณาธิการงานที่เป็นความฝันของเธอต่อไป แต่อยู่ ๆ เธอจะถูกโปรโมทจากบรรณาธิการเป็นผู้ช่วยฝ่ายบัญชี ซึ่งหน้าที่นี้ไม่ใช่ความฝันของอากิโกะอีกต่อไป

เธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานในวัยห้าสิบกว่า มาเปิดร้านอาหารของตัวเอง

สาวโสดวัยห้าสิบกว่าที่ตัดสินใจมาเปิดร้านอาหารที่มีเมนูอาหารเพียง 2 อย่างคือขนมปังและซุป ร้านอาหารที่เรียบง่าย ตกแต่งตามแบบที่อากิโกะชอบ และเลือกคนมาทำงานด้วย ในแบบที่เข้ากับอากิโกะแบบพอดี

อากิโกะไม่ถนัดเข้าหาคนที่กระตือรือร้นไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เธอคิดว่าความทะเยอทะยานเป็นเรื่องยอดเยี่ยมแต่เมื่อผลักมันออกมาจนโดดเด่น เธอกลับอยากถอยหนี ชิมะจังมีสิ่งนี้อยู่แบบพอเหมาะพอดี 

ร้านของอากิโกะถูกมองเป็นร้านแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเก่าของแม่ เพราะเมนูอาหารน้อยรสชาติไม่จัด และได้รับคำติติงจากมาม่าเจ้าของร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามอยู่เรื่อย ๆ (ฟีลป้าข้างบ้าน) มักชอบบอกเธออยู่เสมอว่าเธอขายของแบบขุนนาง ปิดร้านไว และมีวันหยุดกลางสัปดาห์อีกด้วย

อากิโกะค่อนข้างสังเกตลูกค้าที่เข้ามาที่ร้านของเธอ เธอวิเคราะห์ว่าร้านของเธอเป็นเพียงร้าน “ธรรมดาแต่ว่าแตกต่างนิดหน่อย” จนเธอไม่สบายใจต้องโทรปรึกษาอาจารย์โรงเรียนสอนทำอาหาร เพราะเธอคิดว่ามันถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นไปแล้ว ลูกค้าที่เข้ามาแต่งตัวสไตล์เดียวกัน มาถ่ายรูปและไปเขียนบล็อก แต่ทว่ารสชาติอาหารและวัตถุดิบที่เธอเลือกก็ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่คนจะให้ความสนใจ 

“การที่มีลูกค้าเข้ามาแบบไม่ขาดสายเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ตัวเองไม่สั่นคลอน ซึ่งเรื่องนี้ตัวคุณเองรู้ดีที่สุดใช่ไหม ขอแค่คุณชัดเจนก็ไม่มีปัญหา…”

คำปรึกษาของอาจารย์ไม่เพียงฉุดอากิโกะให้อยู่กับปัจจุบันขณะได้ แต่เราเองก็ถูกดึงด้วยประโยคนี้เหมือนกัน การตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับอากิโกะ และการหาคำตอบตามแบบฉบับของเธอเอง เราชอบการใช้ชีวิตที่แสนจะธรรมดาของอากิโกะที่เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ การเลือกแนวทางชีวิตของตัวเองได้ เธอกล้าลาออกจากงานประจำที่เป็นความฝันที่ทำมานาน มาสร้างร้านอาหารในแบบที่เธออยากทำ เลือกคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ สร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ใจตัวเองได้สบายได้ นี่มันคือชีวิตธรรมดาที่เราต่างโหยหา 

เรื่องราวในร้านของอากิโกะดำเนินไปเรื่อย ๆ หมดวันปิดร้านเธอก็จะได้ไปเติมพลังชีวิตกับแมวที่ชื่อ “ทาโระ” แมวจรลายสลิดตัวโต เป็นอย่างนี้ประจำในทุก ๆ วัน ทาโระจะคอยออดอ้อนอากิโกะอยู่ตลอด ไม่ว่าอากิโกะจะทำกับข้าว เก็บของ หรือแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ ทาโระจะคอยร้องเรียกตลอดเวลา แม้จะโผล่หน้าไปตามเสียงร้อง แต่ทาโระก็เฉย เหมือนร้องเรียกให้ออกมาจากห้องน้ำไว ๆ แค่นั้น 

แต่วันหนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของอากิโกะก็มาถึง ความตายพรากชีวิตของทาโระสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของอากิโกะเพียงอย่างเดียวไป เธอรู้สึกเสียใจมากกว่าตอนแม่เสียชีวิตเสียอีก ถึงขนาดวางเถ้ากระดูกของทาโระไว้ที่เดียวกันกับแม่เธอ 

อากิโกะอยู่กับความเสียใจที่ต้องสูญเสียทาโระอยู่เป็นเวลานาน แต่เมื่อพอถึงเวลาต้องเปิดร้านแล้ว เธอกับชิมะจังก็จะทำหน้าที่ตรงหน้าอย่างเต็มที่เสมอ และเป็นทุกครั้งหลังจากที่ปิดร้าน ก็มักจะร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อยครั้งกับกล่องไม้เถ้ากระดูกของทาโระ  

ภายในจิตใจของเธอเจ็บปวดแต่เธอก็จะมีจังหวะที่เธอได้คุยกับตัวเอง 

“ไม่ต้องอดทนหรอก ตอนไหนอยากร้องก็ร้องไปเถอะ ไม่อย่างนั้นจะอัดอั้น แล้วจะกลายเป็นซับซ้อนขึ้นทีหลัง”

เป็นอีกประโยคที่เราชอบและเรียนรู้จากอากิโกะ เราเห็นพัฒนาการความเศร้าแบบจมดิ่ง แต่ก็จะมีบางช่วงเวลาที่ความรู้สึกของเราจะสงบลง แต่บางครั้งความรู้สึกเศร้าก็จะตีกลับมาอีกเป็นทวีคูณได้อีก เราแค่ต้องยอมรับกับความรู้สึกตัวเองให้ได้

ที่บอกกันว่าเวลาจะช่วยคลายความโศกเศร้านั้นเป็นเรื่องโกหก ความเศร้าบางประเภทก็รุนแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเวลาผ่านไป

อากิโกะต้องเจอกับการสูญเสียแบบกะทันหันมาตลอด ทั้งแม่เสียชีวิตแบบกะทันหัน ทาโระก็มาจากไปแบบกะทันหันอีก แต่ความเปลี่ยนแปลงหรือการสูญเสียก็เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุปของอากิโกะ ก็คือทุกวันในชีวิตที่ประกอบกันขึ้นมา ส่วนแมวนั้นเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของอากิโกะไว้ อากิโกะนึกถึงทาโระทุกวัน บางวันร้องไห้ บางวันก็ไม่ร้อง เธอพยายามปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึก ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแย่

“การที่มีคนหัวเราะเรื่องไม่เป็นเรื่องไปด้วยกันได้นั้นคือความสุข”

คำในหน้าปก ก็คือประโยคที่อยู่ในหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้…เป็นคำที่อบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน

เรื่องของอากิโกะที่ใครต่อใครบอกว่าเป็น สาวโสดโดดเดี่ยว แต่เปล่าเลย เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างที่เธออยากใช้ ไม่ได้ใช้ชีวิตตามที่สังคมกำลังนิยมให้ค่าอยู่ เธอเรียนรู้ เติบโต เจ็บปวด อากิโกะกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งอีกครั้ง

อ่านจบแล้วทำไมชีวิตมันเรียบง่ายจังเลย ตอนนี้เรากำลังมากมายกับอะไรอยู่?

หนังสือ: วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว
ผู้เขียน: มูเระ โยโกะ
ผู้แปล: สิริพร คดชาคร
สำนักพิมพ์: Sandwich Publishing

PlayRead: คอลัมน์รีวิวหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ขึ้นไว้บนเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี