หนังสือ 6 ทศวรรษของเควียร์ในภาพยนตร์: จากผู้ทำลายเป็นผู้สร้าง (ครอบครัว) โดย ภาวิน มาลัยวงศ์ เป็นงานวิเคราะห์ที่พาผู้อ่านสำรวจภาพแทนและบทบาทของตัวละครเควียร์ในโลกภาพยนตร์ ตั้งแต่อดีตในยุคสมัย 1901 จนถึง ค.ศ. 2021 จากยุคที่พวกเขาถูกมองว่าเป็น “ภัยคุกคาม” ผู้บ่อนทำลายสถาบันครอบครัวไปสู่ยุคที่พวกเขาสามารถสร้างเรื่องราวของตนเอง และสร้างครอบครัวในแบบที่พวกเขานิยามเองได้
หนังสือเล่มนี้เลือกภาพยนตร์ 10 เรื่องมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเควียร์ในแต่ละยุคสมัยถูกนำเสนออย่างไร และภาพยนตร์เหล่านี้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงมุมมองของสังคมอย่างไร กรอบความคิดและมายาคติใดที่ภาพยนตร์ต้องการท้าทาย
ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางชนชั้นที่ส่งผลต่อโอกาส การถูกลดทอนความสำคัญของอัตลักษณ์ทางเพศจากภายในชุมชนครอบครัวของตนเอง หรือมาตรฐานความงามที่จำกัดบทบาทของพวกเขาในสื่อ
3 สิ่งนี้ถูกวิเคราะห์ออกมาผ่านภาพยนตร์สามเรื่องที่ยังคงรู้สึกเชื่อมโยงถึงขบวนการการต่อสู้ความหลากหลายทางเพศและการปลดแอกผู้คนในสังคมไทย

Victim (1961): ชนชั้นที่ทับซ้อนในยุคสมัยเควียร์คืออาชญากรรม
หนึ่งในภาพยนตร์ที่สะท้อนยุคที่การเป็นเควียร์ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมอย่างเด่นชัดคือ Victim (1961) ภาพยนตร์อังกฤษที่เผยให้เห็นสถานการณ์ของเกย์ชนชั้นแรงงานและชนชั้นสูงในช่วงเวลาที่สังคมยังคงมีมาตรการกดขี่คนรักเพศเดียวกัน กฎหมายในยุคนั้นกำหนดว่าการรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวและหลบซ่อนตัวตน
“เขาเป็นอาชญากรเพราะสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำ” (หน้า 13)
ตัวละครเอกของเรื่องสะท้อนชีวิตของเกย์ในบริบทสังคมที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเป็นเกย์ชนชั้นแรงงานที่ต้องปกปิดตัวตนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมและข่มขู่กรรโชกจากสังคมที่รังเกียจคนรักเพศเดียวกันจนต้องจบชีวิตลง
ขณะที่อีกคนเป็นทนายความชนชั้นสูงที่พบว่าการเปิดเผยตัวตนนั้นทำลายชื่อเสียงและอนาคตทางอาชีพของเขา
ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเควียร์ในยุคนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นตัวของตัวเอง ชนชั้นทางสังคมบีบบังคับให้เควียร์ชนชั้นแรงงาน ต้องพบเจอกับความรุนแรงที่มากกว่า การถูกตัดโอกาสทางเศรษฐกิจ ความรุนแรงทางสังคม ที่ไม่สามารถหันหน้าไปพึ่งพากฎหมายได้ ความอยุติธรรมไล่ต้อนพวกเขาจนวาระสุดท้าย ในขณะที่เควียร์ชนชั้นสูงนั้น สามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย

The Business of Fancydancing (2002): อัตลักษณ์ที่ซ้อนทับของเควียร์และชาติพันธุ์
แนวคิดเกี่ยวกับเควียร์ในภาพยนตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของอัตลักษณ์ทางเพศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับเชื้อชาติและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม The Business of Fancydancing (2002) ของ Sherman Alexie เป็นตัวอย่างของการสำรวจประเด็นนี้ผ่านเรื่องราวของเกย์เชื้อสายชนพื้นเมืองอเมริกัน ซึ่งเป็นนักเขียนชื่อดังในการเล่าเรื่องราวการเป็นเกย์และเป็นชนพื้นเมืองอเมริกัน
ตัวละครหลักของเรื่องต้องต่อสู้กับการถูกมองว่าเพศของเขาเป็นเรื่องรองจากการเป็นชนพื้นเมืองอเมริกา ยายของเขาต้องการที่จะให้เขากลับมาอยู่กับครอบครัว
ในขณะที่แฟนของเขา เข้าอกเข้าใจการเป็นเกย์แต่กลับเหยียดเชื้อชนเผ่าพื้นเมืองของเขา
ปมปัญหานี้ทำให้ตัวละครสับสน เขาภูมิใจในรากเหง้าของตนเองพอ ๆ กับที่เขายอมรับว่าตนเป็นเกย์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงต้องเลือกระหว่างอัตลักษณ์หนึ่งกับอีกอัตลักษณ์หนึ่ง ในเมื่อมันสามารถอยู่ร่วมกันได้
นี่เป็นตัวอย่างของภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นว่าเควียร์ไม่ได้เผชิญแค่การกดทับจากสังคมเพียงกรอบใดกรอบหนึ่ง แต่ยังเผชิญแรงกดดันจากถูกบีบบังคับให้เลือกอัตลักษณ์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจากคนรอบตัวที่ไม่ได้มีอัตลักษณ์ทับซ้อนเช่นเดียวกันกับเขา
Gerontophilia (2013): beauty standard ในภาพยนตร์เควียร์
อีกหนึ่งประเด็นที่มีอิทธิพลต่อการนำเสนอเควียร์ในภาพยนตร์คือมาตรฐานความงามที่จำกัดบทบาทของพวกเขาให้อยู่เพียงแค่กรอบแคบ ๆ ของภาพลักษณ์ที่สังคมยอมรับ Gerontophilia (2013) เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ท้าทายแนวคิดนี้
วัฒนธรรมเกย์ในสื่อมักหมกมุ่นกับความอ่อนเยาว์และเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ภาพยนตร์ส่วนใหญ่มักนำเสนอเรื่องราวของเกย์วัยหนุ่มที่ค้นหาตัวตน ราวกับว่าเกย์ที่อายุมากกว่านั้นไม่มีอยู่จริงหรือไม่มีเรื่องราวที่ควรค่าแก่การบอกเล่า
“วัฒนธรรมเกย์เรียกได้ว่า คลั่งไคล้มัดกล้ามและความอ่อนเยาว์ ภาพยนตร์มักพูดถึงแต่ประสบการณ์ ของเกย์รุ่นหนุ่มที่ค้นหาตัวตน ราวกับว่าเกย์ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย “

จากสามบทที่กล่าวมาเบื้องต้น ตัวละครเควียร์ในภาพยนตร์ต่างเป็นมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับอำนาจในสังคม ภายใต้อัตลักษณ์ที่ทับซ้อน (Intersectionality) ที่อธิบายว่าความไม่เป็นธรรมทางสังคมไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยเดี่ยว ๆ แต่เกิดจากการตัดกันของหลายปัจจัย เช่น ชนชั้น เพศ เชื้อชาติ ศาสนา รูปลักษณ์ และสถานะทางเศรษฐกิจ
เมื่อเรานำแนวคิดนี้มาวิเคราะห์ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม จะพบว่าหลายครั้งการเคลื่อนไหวมักมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาสำหรับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยไม่ได้พิจารณาว่ามีคนที่ได้รับผลกระทบหนักกว่าภายใต้ระบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ขบวนการแรงงานที่มุ่งเน้นแต่การขึ้นค่าแรงโดยไม่สนใจอัตลักษณ์ทางเพศ อาจละเลยว่าแรงงานเควียร์มักเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน ถูกจ้างงานต่ำกว่าคุณค่า การถูกเหมารวมจากระบบสองเพศ หรือถูกกีดกันจากสวัสดิการเพียงเพราะอัตลักษณ์ของพวกเขา หรือขบวนการสิทธิทางเพศที่อาจมองข้ามปัญหาของเควียร์ชนชั้นแรงงานและเควียร์ข้ามชาติที่ต้องต่อสู้กับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเลือกปฏิบัติทางกฎหมายที่รุนแรงกว่า
อัตลักษณ์ทับซ้อนจึงมีความสำคัญเพราะช่วยให้ขบวนการเคลื่อนไหวสามารถสร้างแนวร่วมที่แข็งแกร่งขึ้น เมื่อเราตระหนักว่าการกดขี่มักเชื่อมโยงกัน เราจะเห็นว่าการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิแรงงาน สิทธิชนพื้นเมือง และความเป็นธรรมทางเพศ ไม่ควรเป็นการต่อสู้แยกส่วนกัน แต่ควรเป็นขบวนการเดียวที่สนับสนุนกันและกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“เขาภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนเชื้อสายชนพื้นเมืองอเมริกันเสมอกันกับที่ตัวเองเป็นเกย์
เขาไม่อยากให้ยายและพี่น้องคิดว่าเผ่าพันธุ์เป็นร่มคันใหญ่ ส่วนเพศสภาพเป็นสับเซตย่อย ด้อยค่าตัวตนอีกครึ่งนึงของเขา ”
“ช่างน่าเศร้าที่ไม่มีใครรับฟังในสิ่งที่เขาพยายามอธิบาย”
บทวิเคราะห์ the business of fancydancing ของ Sherman Alexie หน้า 66
Playread: 6 ทศวรรษของเควียร์ในภาพยนตร์: จากผู้ทำลายเป็นผู้สร้าง (ครอบครัว)
ผู้เขียน: ภาวิน มาลัยวงศ์
บรรณาธิการ: สุธิดา วิมุตติโกศล
สำนักพิมพ์: ศยาม
PlayRead: คอลัมน์รีวิวหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี