ปัญหาฝุ่น PM2.5 นับเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของคนไทยมานาน โดยจากการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิด PM2.5 มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตถ่านอัดแท่ง ภาคอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง และในปี 2020 พบว่าแหล่งกำเนิด PM2.5 ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือการเผาเพื่อการเกษตร ซึ่งก่อให้เกิด PM2.5 มากกว่าหนึ่งในสาม
แม้ว่าปัญหาฝุ่นนี้จะส่งผลกระทบทั่วประเทศ แต่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือภาคเหนือ โดยในปี 2023 รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองที่ติดอันดับมลพิษสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีค่าเฉลี่ยมลพิษสูงที่สุดในช่วงเดือนที่มีการเผา คือเดือนธันวาคม – เมษายน
ดังนั้น องค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ Madre Brava และสภาลมหายใจเชียงใหม่ จึงร่วมมือกันเรียกร้องให้ภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชน ทำความเข้าใจและแก้ปัญหาฝุ่นแบบองค์รวม โดย Madre Brava เสนอให้มีการเพิ่มความหลากหลายด้านโปรตีน เพื่อลดการผลิตเนื้อสัตว์แบบอุตสาหกรรม ซึ่งจะนำไปสู่การลดการเผา และช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ในการเอื้ออำนวยสิทธิในอากาศสะอาดต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลกลางด้วย
สุรีรัตน์ ตรีมรรคา รองประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ ซึ่งเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องการแก้ปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ กล่าวว่า ฝุ่น PM2.5 เกิดจากการเผาไหม้ในที่โล่ง โดยเฉพาะพื้นที่ป่าเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากป่าในภาคเหนือเป็นป่าเบญจพรรณ ป่าผลัดใบ และป่าเต็งรัง ซึ่งในฤดูแล้ง ต้นไม้จะผลัดใบ ทำให้ในป่าเต็มไปด้วยใบไม้แห้งมหาศาล และเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ก่อให้เกิดไฟป่า บวกกับการบริหารจัดการไฟป่าโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เรียกกันทั่วไปว่า “การชิงเผา” รวมทั้งการใช้ไฟเผาพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน การหาของป่า และอีกสาเหตุหนึ่งในช่วง 10 ปีมานี้ คือการเผาตอซังข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ปลูกบนพื้นที่สูงและกินพื้นที่กว้างใหญ่
สุรีรัตน์ ตรีมรรคา รองประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่
“เผาตอซังข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ภัยคุกคามสุขภาพของคนไทย
รายงานจากองค์กร Madre Brava ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนการสร้างสมดุลทางด้านการผลิตโปรตีน เปิดเผยว่า “การเผาตอซังพืชเกิดขึ้นในพื้นที่เพาะปลูกข้าว อ้อย และข้าวโพด โดยมีความเชื่อมโยงกับภาคปศุสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นสัดส่วนที่สำคัญ ข้าวโพดที่ผลิตได้ทั้งหมด 4.8 ล้านตันในประเทศไทยในปี 2020 เกือบทั้งหมดถูกนำไปใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ โดยมีเพียง 84,000 ตัน (ร้อยละ 0.17 ของการผลิตทั้งหมด) ที่ปลูกเพื่อการบริโภคของมนุษย์”
ด้านสุรีรัตน์อธิบายว่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นข้าวโพดที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนสามารถปลูกบนพื้นที่สูงชันได้ และไม่ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการเพาะปลูก
“ในภาคเหนือก็มีอัตราการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูง แล้วก็จังหวัดเชียงใหม่ก็สูงใน 3 – 4 อำเภอ อำเภอแม่แจ่มก็ขึ้นชื่อว่าเป็นอำเภอที่มีการปลูกข้าวโพดมากที่สุด รองลงมาก็น่าจะเป็นเชียงดาว แต่ก็ปลูกกระจายกันไปจนถึงภาคเหนือตอนล่าง เพชรบูรณ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภูมิประเทศที่ลาดชันทำให้การกำจัดตอซังพืชด้วยแรงงานคนทำได้อย่างยากลำบาก เครื่องจักรทางการเกษตรเข้าถึงได้จำกัด ประกอบกับข้อจำกัดด้านเวลาและงบประมาณ ทำให้การเผาเป็นวิธีการที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด และเมื่อต้องผลิตข้าวโพดให้ตอบสนองความต้องการของตลาด ที่มีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นหมายความว่า การเผาพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามไปด้วย
นอกจากการเพิ่มอัตราการเผาตอซังพืชอาหารสัตว์แล้ว อุตสาหกรรมปศุสัตว์ยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสารตั้งต้นของ PM2.5 อื่น ๆ รวมถึงแอมโมเนียซึ่งมาจากมูลสัตว์ โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ และปุ๋ยเคมีที่ใช้ในการปลูกพืชอาหารสัตว์
รายงานของ Madre Brava ระบุว่า การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดคิดเป็นร้อยละ 35 ของจุดความร้อนทั้งหมดจากการเผาตอซังพืชในลุ่มน้ำโขงระหว่างปี 2015 – 2019 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดทั้งหมด นอกจากนี้ มลพิษทางอากาศจากการเผาตอซังพืชเป็นต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุด เมื่อตรวจสอบผลกระทบของวงจรการปลูกข้าวโพด มีการประมาณการว่า การผลิตข้าวโพด 1 ตัน ก่อให้เกิด PM2.5 ประมาณ 11.5 กิโลกรัม ซึ่งหมายความว่าในปี 2023 การผลิตข้าวโพดในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านก่อให้เกิด PM2.5 ถึง 76,100 ตัน
“เราเริ่มเห็นปรากฏการณ์ด้วยสายตา เมื่อก่อนเกิดไฟป่า เราจะไม่ค่อยเห็นบรรยากาศที่ฝุ่นปกคลุมอยู่ทั่วเมือง ในปัจจุบัน เราเห็นบรรยากาศแบบนั้นเราก็รู้แล้วว่าเราเจอฝุ่นแล้วนะ ทีนี้ที่เราเห็นแบบนั้นก็เพราะว่าสภาพอากาศมันทำให้เกิดฝุ่นไม่ฟุ้งกระจายไป ปกติมันจะกระจายไปบนชั้นบรรยากาศ แต่ถ้าในช่วงที่สภาพอากาศปิด ลมก็อ่อน ฝุ่นก็เลยกระจุกอยู่ระดับผิวพื้น เราก็เลยมองเห็น สัมผัสได้ด้วยตาเปล่า และความเจ็บไข้ได้ป่วย โดยเฉพาะการที่เกิดแบบเห็นชัด ๆ เช่น ระคายเคืองตา หายใจลำบาก ก็ทำให้เราเห็นว่านี่เป็นปัญหาของฝุ่นจริง ๆ” สุรีรัตน์กล่าว
ข้อมูลของสุรีรัตน์สอดคล้องกับรายงานของ Madre Brava ที่ระบุว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นและความชื้นสัมพัทธ์ที่ลดลงในช่วงฤดูแล้งทำให้ความเข้มข้นของ PM2.5 สูงขึ้น นอกจากนี้ ปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผัน ซึ่งทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นตามระดับความสูง และภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาแคบซึ่งจำกัดการไหลเวียนของอากาศ ส่งผลให้ PM2.5 สะสมและไม่กระจายตัวไปที่อื่น
แม้ว่าการเผาตอซังพืชจะผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การเผาตอซังพืชยังคงเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ ความพยายามในการจับกุมผู้เผา ตามแนวทาง Zero Burning ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน และยังส่งผลให้เกิดการลักลอบเผาที่มากขึ้นด้วย
Madre Brava ระบุไว้ในรายงานการวิจัยชิ้นล่าสุดว่า มลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็กเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยส่งผลให้อัตราการเกิดโรคและความเสี่ยงจากภาวะต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็งปอด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างเฉียบพลัน
มลพิษจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ต้นเหตุเสียชีวิตก่อนวัยอันควร?
Madre Brava องค์กรภาคประชาสังคมที่มีเป้าหมายในการสร้างการผลิตอาหารที่ยั่งยืนและสมดุล รวมทั้งเป็นธรรมต่อสุขภาพของทุกคน โดยมุ่งเน้นการสร้างความหลากหลายทางด้านโปรตีน นอกเหนือจากการผลิตโปรตีนจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เปิดเผยรายงานการวิจัยฉบับใหม่ ชื่อ “อุตสาหกรรมปศุสัตว์กับ PM2.5: ตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการผลิตโปรตีนที่หลากหลาย” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ต่อมลพิษทางอากาศในประเทศไทย และความเชื่อมโยงระหว่างการเผาเพื่อการเกษตรและการผลิตอาหารสัตว์ พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยการสร้างความหลากหลายของแหล่งโปรตีนในประเทศไทย ปรับเปลี่ยนการผลิตโปรตีนจากเนื้อสัตว์และอาหารทะเลเป็นโปรตีนจากพืชในสัดส่วนร้อยละ 50 ภายในปี 2050 พร้อมทั้งคาดการณ์การลดลงของระดับมลพิษทางอากาศและอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า การเผาเพื่อการเกษตรอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในประเทศไทยมากกว่า 34,000 รายต่อปี และหากอุตสาหกรรมนี้เติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ จำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เกี่ยวข้องกับการเผาตอซังข้าวโพดเพียงอย่างเดียวอาจสูงถึง 361,000 ราย ในช่วงระหว่างปี 2020 ถึง 2050
วิชญะภัทร์ ภิรมย์ศานต์ ผู้อำนวยการ Madre Brava กล่าวว่า จำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เกี่ยวข้องกับการเผาตอซังข้าวโพด 361,000 รายนั้น คิดเป็นประมาณ 12,000 รายต่อปี เทียบได้กับอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจักรยานยนต์ในประเทศไทย ในปี 2021 นั่นเท่ากับว่า ถ้าการผลิตเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะดูเหมือนว่ามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจักรยานยนต์ทุกปี เป็นจำนวน 30 ปี
วิชญะภัทร์ ภิรมย์ศานต์ ผู้อำนวยการ Madre Brava
สำหรับข้อเสนอแนะ จากงานวิจัยชิ้นล่าสุด วิชญะภัทร์กล่าวว่า ประเทศไทยควรจะต้องเริ่มพยายามสร้างความหลากหลายของแหล่งโปรตีน ให้มีโปรตีนจากพืชอย่างยั่งยืนมาทดแทนโปรตีนจากสัตว์ให้ได้ 50% ภายในปี 2050 โดยโปรตีนที่ควรจะถูกทดแทนควรเป็นโปรตีนจากระบบอุตสาหกรรมแบบเข้มข้น ซึ่งหากทำได้สำเร็จ การผลิตเนื้อสัตว์และอาหารทะเลในปี 2050 จะลดลง 28% เมื่อเทียบกับอัตราการผลิตในปี 2020 ซึ่งจะทำให้ความต้องการข้าวโพดเพื่อผลิตอาหารสัตว์ลดลง อาจจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ที่เกี่ยวข้องกับการเผาตอซังข้าวโพดได้มากกว่า 100,000 ราย
ประเทศไทยยังอาจได้ประโยชน์อื่นจากการสร้างความหลากหลายด้านโปรตีนอีก ในรายงานฉบับก่อนหน้า เรื่อง “ครัวแห่งอนาคต: ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมหากประเทศไทยสร้างความหลากหลายของแหล่งโปรตีน” ซึ่งระบุว่า การลดการผลิตเนื้อสัตว์และอาหารทะเลลงร้อยละ 50 ภายในปี 2050 และแทนที่ด้วยโปรตีนจากพืชจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ 1.3 ล้านล้านบาท สร้างงานได้ 1.15 ล้านตำแหน่ง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้ 35.5 ล้านตันต่อปี และคืนพื้นที่การเกษตรได้ 21,700 ตารางกิโลเมตร
สร้างความหลากหลายด้านโปรตีน สางปัญหาฝุ่น PM2.5
จากจุดยืนเรื่องการสร้างความหลากหลายด้านโปรตีน ผู้อำนวยการ Madre Brava กล่าวว่า แนวทางในการลดการบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์สามารถเริ่มต้นได้จากชีวิตประจำวันของทุกคน โดยการเลือกลดการรับประทานเนื้อสัตว์ในบางมื้อ หรือเพิ่มโปรตีนจากพืชในจานอาหาร
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้การเลือกบริโภคเนื้อสัตว์ก็ยังง่ายกว่า ดังนั้น Madre Brava ก็เห็นว่าภาครัฐ เอกชนรายใหญ่ต้องมีบทบาทในการเพิ่มทางเลือกให้บุคคลทั่วไปได้เห็นว่าการเลือกบริโภคโปรตีนจากพืชนั้นสะดวกสบายไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทที่ผลิตอาหารก็จะต้องเริ่มพัฒนาโปรตีนทางเลือกให้มีรสชาติอร่อยกว่านี้ ราคาเข้าถึงได้มากกว่านี้ แล้วก็มีขายอย่างแพร่หลายมากกว่านี้ ส่วนภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาจจะลงทุนพิจารณาให้เงินสนับสนุนโครงการวิจัย เพื่อพัฒนาพืชในไทยให้เป็นผลิตภัณฑ์โปรตีนพืช สนับสนุนการส่งออก หรืออาจใช้มาตรการทางภาษี เพื่อทำให้โปรตีนทางเลือกจากพืชมีราคาเข้าถึงได้ พอสู้กับเนื้อสัตว์ในตลาดได้” วิชญะภัทร์กล่าว พร้อมเสริมว่า
“การสร้างความหลากหลายทางด้านโปรตีนต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการช่วยเหลือด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรด้านเทคโนโลยี การเงิน หรือถ้าให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดเชิงเดี่ยวสำหรับเลี้ยงสัตว์อยากจะเปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่นที่ยั่งยืนมากกว่านี้ในการบริโภคของมนุษย์ ก็ควรจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”
ด้วยเหตุนี้ ในรายงานการวิจัยของ Madre Brava จึงมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
- ข้อเสนอแนะสำหรับผู้กำหนดนโยบาย
- ส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนมากขึ้น: พิจารณามาตรการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงอาหารจากพืช เช่น มาตรการจูงใจทางการเงินเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับประชาชนไทย
- เป็นแบบอย่างด้วยการจัดเมนูอาหารจากพืช: เสิร์ฟเมนูอาหารเน้นพืชในงานและการประชุมที่จัดโดยภาครัฐ รวมถึงพิจารณาเพิ่มทางเลือกอาหารจากพืชในโรงอาหารของหน่วยงานรัฐ โรงเรียน และโรงพยาบาล มาตรการเหล่านี้สามารถช่วยสร้างแรงจูงใจและเพิ่มอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช
- สนับสนุนเกษตรกรไทยในการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำเกษตร: พัฒนาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถเปลี่ยนไปสู่การปลูกพืชเพื่อใช้เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชผ่านการให้ความรู้ สนับสนุนทางการเงิน และโครงการพัฒนาขีดความสามารถ
- ข้อเสนอแนะสำหรับภาคธุรกิจ
- ผู้ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค: กำหนดเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายและสัดส่วนของโปรตีนที่ยั่งยืน ลดราคาผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชให้สามารถแข่งขันกับโปรตีนจากสัตว์ เพื่อขจัดอุปสรรคด้านราคาและช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนมากขึ้น จัดวางผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชให้เด่นชัดขึ้น พร้อมด้วยข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับการปรุงอาหาร คุณค่าทางโภชนาการ และประโยชน์ต่อสุขภาพของผลิตภัณฑ์เหล่านี้
- เครือโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการอาหาร: เพิ่มทางเลือกเมนูที่เป็นอาหารจากพืช และแสดงตัวเลือกเหล่านี้ในเมนูทั่วไป ควรกำหนดราคาอาหารจากพืชให้เทียบเท่ากับเมนูปกติ ไม่ใช่ในระดับราคาที่สูงกว่า
นอกจากนี้ รายงานของ Madre Brava ยังแนะนำให้ผู้ผลิตเนื้อสัตว์และอาหารทะเลบูรณาการกลยุทธ์การสร้างความหลากหลายของแหล่งโปรตีนเข้าไปในแผนการลดการปล่อยมลพิษและแผนความยั่งยืนในระยะยาว ควรมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกมีระดับการแปรรูปต่ำลง ดีต่อสุขภาพมากขึ้น มีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น และมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทั้งสำหรับตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก
ด้านสุรีรัตน์ จากสภาลมหายใจเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า การลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ต้องมีการวางแผนอย่างจริงจัง รวมทั้งต้องมีการสนับสนุนทั้งในด้านองค์ความรู้ทางวิชาการ สิทธิในการทำกิน การมีส่วนร่วมของประชาชน และงบประมาณ ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การสร้างสมดุลทางด้านโปรตีน
“ปัญหาหนึ่งที่มันซ้อนเข้าไปอีกก็คือ การปลูกข้าวโพดในเขตพื้นที่ป่า หรือพื้นที่เกษตรในเขตป่า ซึ่งตอนหลังมามันเป็นพื้นที่อุทยานฯ เป็นพื้นที่ของกรมป่าไม้ ประชาชนก็ไม่มีสิทธิเหนือที่ดิน ก็ทำกินกันไปอย่างนั้น ถ้าไม่มีเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือการที่จะมีสิทธิครอบครอง แล้วก็ปรับพื้นผิว เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนวิถีการผลิต มันก็ทำไม่ได้ในพื้นที่อุทยานฯ หรือในพื้นที่ป่าไม้ จะเอาไฟฟ้าเข้าไป เอาถนนเข้าไป เอาน้ำเข้าไปก็ไม่ได้ เพราะติดกฎหมายอุทยานฯ เพราะฉะนั้น เวลาเราจะแก้ปัญหาเรื่องข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะเปลี่ยนไปปลูกพืชอย่างอื่น ก็ต้องมีการจัดการ อย่างน้อยให้เขารู้สึกมั่นใจที่จะใช้ที่ดินนั้น รวมทั้งเราก็ต้องมีแต้มต่อ ต้องมีเงินกู้ไม่มีดอกเบี้ยให้ ต้องยกหนี้ให้ มันต้องทำแบบไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หลายหน่วยงานต้องเข้ามาช่วยกัน” สุรีรัตน์กล่าว
“การบริหารจัดการไฟ” อีกหนึ่งแนวทางสู้ PM2.5
หลังจากรวมตัวกันจากหลายภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ก่อตั้งเป็นสภาลมหายใจเชียงใหม่ กลุ่มนักเคลื่อนไหวนี้ได้รวบรวมข้อมูลและประสานงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5
และวิธีการที่เป็นรูปธรรม คือ “การบริหารจัดการไฟ” โดยสุรีรัตน์อธิบายว่า
“หลังจากที่ได้เข้าใจว่ายังไงก็ต้องมีไฟเกิดขึ้นในป่าหรือในพื้นที่เกษตร เราต้องมาตั้งเป้าร่วมกันว่าเราไม่ได้มุ่งไปสู่ Zero Burning คือห้ามเผาเด็ดขาด เพราะการห้ามเผาเด็ดขาดไม่เคยแก้ปัญหาได้ ย้อนหลังไปสิบปี ประกาศห้ามเผาทุกปี มันก็ไม่ได้ดีขึ้น ไฟลักลอบแอบจุดก็เยอะขึ้น เพราะฉะนั้น เราก็มาถึงเรื่องการบริหารจัดการไฟ”
“เราจะต้องเอาไฟทั้งหมดที่เกิดขึ้นในป่า ในพื้นที่เกษตรทั้งหมดมาคุยกันบนโต๊ะ เพื่อให้มันเป็นความสว่าง ไม่มีใต้โต๊ะ ไม่มีเบื้องหลัง เพื่อจะได้ลดไฟที่ลักลอบแอบจุดให้ได้มากที่สุด และเราจะได้บริหารจัดการเฉพาะไฟที่จำเป็น เพื่อใช้ในการจัดการเชื้อเพลิง เพื่อลดความรุนแรงของไฟ ลดค่าฝุ่นลง แล้วก็ลดระยะเวลาที่เกิดไฟให้ได้มากที่สุด แล้วก็ดูกระแสลมด้วย ดูความกดอากาศ ดูบรรยากาศ ในการที่จะบริหารจัดการเชื้อเพลิง”
ทั้งนี้ กลไกหลักในการประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ คืออำนาจในระดับจังหวัด โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะเป็นผู้พิจารณาถึงจุดเสี่ยง วิธีการบริหารจัดการไฟ และวิธีป้องกันไฟ
“ข้อเรียกร้องของเราก็คือให้อำนาจกับท้องถิ่น ในการที่จะมีส่วนร่วมจัดการให้มันเกิดไฟน้อยที่สุด เอาทุกอย่างมาคุยกัน แล้วเราก็ดูว่าไฟลักลอบแอบจุดมันจะต้องลดลง แล้วเราก็ทำงานกับคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ทำอย่างไรให้เขามีส่วนร่วมแล้วก็ลดการใช้ไฟที่ไม่จำเป็น ซึ่งมันก็จะลดลงเรื่อย ๆ ได้ มาทำประชาคมที่เราจะบริหารพื้นที่นี้ร่วมกัน ใช้ร่วมกัน เจ้าหน้าที่รัฐ ชาวบ้าน อปท. มาควบคุมกัน ใช้ไฟร่วมกันให้มันควบคุมได้ อันนี้เป็นสิ่งที่จะต้องมาทำด้วยกัน” สุรีรัตน์ ทิ้งท้าย