อาหารกาลกิน
กฤช เหลือลมัย
ในห้วยหินดำ
“..คนเฒ่าเล่าว่า มันมีครั้งหนึ่ง ข้าวกับเงินเกิดเถียงกัน ว่าใครมีประโยชน์ต่อคนมากกว่ากัน” อยู่ ๆ หญิงสาวชาวกะเหรี่ยงก็เล่าเรื่องนี้ขึ้นมาในช่วงพลบค่ำ ตอนที่เรากำลังคุยเรื่องพันธุ์ข้าวไร่บนที่สูงเชิงเขา
“ต่างฝ่ายก็อ้างความสำคัญ ว่าถ้าไม่มีฉัน คนจะอยู่ไม่ได้ เถียงกันอยู่นาน จนข้าวเริ่มเบื่อหน่าย จึงหนีไปอยู่ก้น ‘บึงไฟ’ คนก็เลยไม่มีข้าวกิน เด็กน้อยร้องไห้เพราะไม่ได้กินข้าว ‘นกลาย’ (ทู๊กี) รู้เข้าก็สงสาร อาสาฝ่าบึงไฟลงไปจิกข้าวกลับคืนมาให้ นกลายบินเร็วมาก เล็ดรอดลงไปจิกเอาข้าวเหนียว 7 เมล็ด ข้าวเจ้า 7 เมล็ดใต้บึงไฟขึ้นมาให้คนได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นขนโคนหางของมันก็ยังถูกไฟไหม้ คงเหลือแต่ปลายหางเท่านั้นที่ยังมีขนอยู่ ทีนี้คนก็เลยมีข้าวกินอีกครั้งหนึ่ง
“นกลายมีจริง ๆ นะ อยู่ในป่าทึบนั่นแหละ ตัวมันเล็ก ๆ บินเร็วมาก ทุกวันนี้ถ้าเราเข้าไปป่าก็อาจเห็นมันบินอยู่ตามยอดไม้สูง ๆ..”
กลางเดือนมกราคม อากาศที่หมู่บ้านห้วยหินดำ ชายแดนตะวันตกเขตตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง สุพรรณบุรี ยังคงหนาวเย็น ความชื้นในอากาศสูงจนลมหายใจเราเหมือนควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งจากกองไฟยามเช้าตรู่ คุณลัดดาวัลย์ ปัญญา หรือ “พี่มึ้งจะ” หญิงสาวชาวกะเหรี่ยงโพล่วง ผู้ปรับปรุงบ้านเล็กน่ารักริมลำห้วยกลางหมู่บ้านเป็นที่พักโฮมสเตย์หลังย่อม ๆ ให้ผู้คนเช่าพักผ่อนได้ กำลังเตรียมทำกับข้าวกะเหรี่ยงให้พวกเรากินมื้อเช้า
ผมมาบ้านห้วยหินดำเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกคือเมื่อกว่าสองปีก่อน ตอนนั้นผมนั่งฟังพี่มึ้งจะเล่าเรื่องคนกะเหรี่ยง เรื่องไร่หมุนเวียน ปัญหาพื้นที่ทำกินทับซ้อน พร้อม ๆ กับได้กินแกงไก่บ้านใส่ลูกมะกอกป่าทั้งลูก น้ำพริกมะเขือเทศผัด กับผักสารพัดชนิดที่พี่มึ้งจะเพิ่งเก็บจากไร่กลับมาในตอนเย็น ความสดใหม่ของวัตถุดิบ ฝีมือปรุงที่แสนสามัญ และรสชาติแบบบ้าน ๆ เดิม ๆ ทำให้การทำความเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ของหมู่บ้านกะเหรี่ยงย่านตำบลวังยาว ที่ดูเหมือนจะสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยข้อมูล คำถาม ความสงสัย แทบจะคลี่คลายไปอย่างทะลุปรุโปร่งด้วยอาหารสองมื้อนั้นเอง
………
ห้วยหินดำ
ห้วยหินดำที่ผมไปมา เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงโพล่วง ชนชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่สูงแถบเทือกเขาชายแดนตะวันตก ตั้งแต่เชียงใหม่ลงไปถึงประจวบคีรีขันธ์
เรื่องราวของคนกะเหรี่ยง ทั้งโพล่วงและปกาเกอะญอ จากปากคำของคนกะเหรี่ยงเอง และหลักฐานจากภายนอก ล้วนแสดงถึงความสัมพันธ์กับชนพื้นราบ ทั้งที่เป็นชุมชนหมู่บ้าน เมือง และราชอาณาจักรมาตั้งแต่โบราณ โดยเฉพาะเรื่องการค้าของป่า ที่ในฐานะคนพื้นที่ กะเหรี่ยงเชี่ยวชาญการล่าดักจับสัตว์ป่า เสาะหาพืชสมุนไพรมีค่า บันทึกเมื่อร้อยกว่าปีก่อนกล่าวถึงของป่าอย่างเขาสัตว์ นอแรด หนังกวาง เขี้ยวหมู พริกพราน ขมิ้น พริกสดพริกแห้งคุณภาพดี ฯลฯ หลายอย่างถูกรัฐพื้นราบเปลี่ยนเป็นโภคทรัพย์ เป็นสินค้าออกสำคัญส่งไปขายถึงจีน ญี่ปุ่น กระทั่งยุโรป
เมื่อกะเหรี่ยงอาศัยบนพื้นที่สูง จึงย่อมมีวิถีชีวิต วัฒนธรรมต่างจากชุมชนพื้นราบ คนกะเหรี่ยงกินสัตว์ป่า ปลูกข้าวไร่ ทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ซึ่งต้องอาศัยที่ดินหลายแปลง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนและพักหน้าดิน
“เรากินข้าวนาไม่อร่อย ไม่อิ่มท้อง กินข้าวไร่จนชิน” พี่มึ้งจะเล่าว่า คนกะเหรี่ยงห้วยหินดำทุกวันนี้ยังปลูกข้าวไร่หลายพันธุ์ เช่น ข้าวเหลือง ข้าวจมูกดำ ข้าวเหลืองเปลือกแดง ข้าวลาย แต่ละคนก็จะมีข้าวพันธุ์ต่าง ๆ คละกันไป
“อย่างไร่พี่ ปีนี้มีข้าวเจ้า (บือ) 6 พันธุ์ ข้าวเหนียว (ไอ่) 3 พันธุ์ อย่างอื่น ๆ ที่เราปลูกกัน ก็มีมันแกว มันสำปะหลัง พริกกะเหรี่ยง ห่อคุ่ย มะเขือพันธุ์ลูกใหญ่ งาขี้ม้อน ผักสะแงะ แต่เดี๋ยวนี้คนกะเหรี่ยงก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนหรอกนะ การใช้ชีวิตมันก็เปลี่ยนไป มีคนที่ต้องออกไปทำงานอื่นนอกหมู่บ้าน แต่พี่เชื่อของพี่แบบนี้ พี่ก็ทำของพี่ไป อย่างเมื่อก่อนเราเคยทำไร่ข้าวโพด ทำทั้งปีได้เงินไม่ถึงสองหมื่น หักลบกลบหนี้แล้วได้แค่หลักพันเองนะ แต่ปีนี้ข้าวเราดีกว่าปีก่อน เกี่ยวได้ผลผลิต 180 ถัง ปีก่อนได้แค่ 30 ถัง เพราะมันแล้งมาก แล้วนี่เราไม่ฉีดยาเลย คำนวณต้นทุนอะไรแล้วถือว่าอยู่ได้ ตอนเกี่ยวข้าว เราก็ให้ข้าวเขาส่วนหนึ่ง ให้เงินส่วนหนึ่ง แต่มีแต่คนอยากได้ข้าวนะ”
ได้ยินตรงนี้แล้ว ผมแอบคิดถึงเรื่องข้าวเถียงกับเงินขึ้นมาเลยทีเดียว
…………….
บึงไฟ
“พี่เริ่มทำเรื่องที่ดิน เรื่องป่า เรื่องพื้นที่อุทยานแห่งชาตินี่มาตั้งแต่ปี 2532 ตอนนั้นราชการเริ่มให้บริษัทเอกชนเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ มีแผนงานฟื้นฟูพื้นที่ป่า ทำโครงการเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ ทีนี้วิธีจัดการป่าแบบนี้มันขัดแย้งกับวิถีคนกะเหรี่ยงเรา คือเราทำไร่หมุนเวียน เราต้องโยกย้ายพื้นที่เพาะปลูกเพื่อให้หน้าดินได้พักฟื้น”
การประกาศเขตอนุรักษ์ป่า โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติพุเตยใน พ.ศ. 2541 ซึ่งกินพื้นที่ร่วมสองแสนไร่ กระทบต่อวิถีชีวิตบนที่สูงของคนกะเหรี่ยงตำบลวังยาว โดยเฉพาะเขตบ้านห้วยหินดำ ป่าผาก และบ้านกล้วย ทำให้การทำเกษตรแบบวิถีดั้งเดิมของคนกะเหรี่ยงกลายเป็นการ “บุกรุกป่า” มีความผิดถึงขั้นต้องโทษตามกฎหมายป่าไม้ไป
“ตอนพี่ทำเรื่องนี้ใหม่ ๆ เวลาพูดถึงทรัพยากร เรามองแค่ดิน น้ำ ป่า แต่เราลืมไปว่าเราจำเป็นต้องมีพื้นที่ทำกินมั่นคง พอเราพยายามเปิดตัวเอง มองยาวไปถึงเรื่องอื่น ๆ ที่อื่น ๆ เราถึงเริ่มเห็นปัญหา ว่าอย่างที่ข้อตกลงที่มีการผ่อนปรนให้ใช้พื้นที่อุทยานฯ ได้ 20 ปีน่ะมันไม่ได้หรอก พอพ้น 20 ปีแล้วจะยังไงต่อล่ะ ข้อตกลงนี้ในระยะยาวจะคือการดึงพื้นที่ไปเป็นของรัฐหรือเปล่า” เธอคิดว่า สิ่งสำคัญที่สุดก่อนอื่น คือที่ดินทำกินจะต้องมีความมั่นคง
“พี่เลยมุ่งไปที่ความมั่นคงด้านที่ดิน ไม่งั้นเรื่องอื่น ๆ มันไปต่อไม่ได้เลย ไร่หมุนเวียนจะหายไป วิถีต่าง ๆ เรื่องการใช้พื้นที่สูงมันจะหายหมด ภูมิปัญญาอะไรที่เคยมีมันก็จะไม่ต่อเนื่อง พี่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก ไปบอกคนอื่น ๆ ให้เขารู้ว่าเรามีวิถีแบบนี้ มีตัวตนของเราแบบนี้ มีพันธุ์ข้าวพันธุ์พืชที่เราปลูกหลากหลายอยู่จริง ๆ ที่เราต้องการ ก็แค่ขอทำกินในที่ดินของเรา ในผืนป่าของเรา ที่จริงมันมีมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม 2553 อยู่แล้ว ที่ระบุว่าให้คนกะเหรี่ยงเราอยู่ในป่าได้ ห้ามโยกย้ายออกไปไหน คือให้อยู่ตามวิถีเดิม พี่ก็เอาเรื่องนี้มายืนยันตอนรณรงค์ตลอด”
พี่มึ้งจะบอกว่า ชาวบ้านเข้าใจดี ว่าอุทยานแห่งชาติมีความสำคัญในบางกรณี แต่เจ้าหน้าที่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า การทำไร่หมุนเวียนไม่ได้ทำลายธรรมชาติ เขตไร่หมุนเวียนของคนกะเหรี่ยงจะไม่มีเขาหัวโล้นให้เห็นเลย นี่เป็นเรื่องที่หยิบยกขึ้นผลักดันต่อรองกับรัฐมาตลอด
“พี่ว่าเจ้าหน้าที่เขาก็มีแนวโน้มเข้าใจมากขึ้นนะ” เธอบอก “ส่วนชาวบ้านอย่างเราก็ต้องทำงานกันต่อไป โชคดีที่มีนักวิจัยเข้ามาช่วยวิเคราะห์พันธุ์ข้าว นี่พี่ก็เป็นหนึ่งในทีมที่ต้องเก็บตัวอย่างข้าวไร่ให้เขาด้วย มีศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรมาทำเรื่องพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม แล้วเราก็ยังรวมตัวกับเครือข่ายกะเหรี่ยงภาคตะวันตกเพื่อติดตามปัญหา มีองค์กรพีมูฟช่วยดูเรื่องปฏิรูปที่ดิน มันก็ดีตรงที่ว่า พอเราออกไปข้างนอกมากขึ้น เราจะเริ่มรู้เท่าทัน มองออกว่ารัฐคิดจะทำอะไรแค่ไหน ปัญหายังอยู่ตรงจุดไหน แล้วเราควรไปผลักดันเรื่องนี้ยังไง ต้องไปเอาอะไรกลับคืนมา”
…………………
นกลาย
มื้ออาหารครั้งนี้ที่ห้วยหินดำ หญิงสาวกะเหรี่ยงร่างเล็กสันทัดบอกผมว่า จะทำกับข้าวแบบกะเหรี่ยงให้พวกเรากินสองสามอย่าง มีน้ำพริกมะเขือเทศใส่แคบหมู แกงส้มมะเขือเทศใส่ไก่บ้าน เธอให้กินกับไข่เจียว ไก่บ้านต้มน้ำปลา แล้วก็ผักลวกผักสดหลายอย่าง เช่น สะเดาขม ถั่วแปบ แตงกวา มะเขือเปราะลูกใหญ่เนื้อหนา ถั่วมะแฮะ และข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวสีซ้อมมาใหม่ ๆ
ผมเห็นเธอขยับตัวไปตรงนั้นตรงนี้ เด็ดพริก คั่วมะเขือเทศ ตำครกพริกแกง รูดดอกห่อคุ่ย สักครู่ก็ไปต้มน้ำลวกสะเดา ทอดไข่ไก่ มันเป็นปฏิกิริยาของคนที่ทำครัวเร็ว หยิบจับฉวยสิ่งของนั่นนี่อย่างว่องไว ไม่สิ้นเปลืองเวลา ซึ่งคงสัมพันธ์กับชีวิตกะเหรี่ยงโพล่วงแต่เดิม ที่ต้องออกไปไร่บนเขาแต่เช้า ทำจิปาถะสาละวนอยู่จนเย็นย่ำ เมื่อกลับถึงบ้านก็ต้องเอาผัก ผลไม้ เมล็ดพืชที่เก็บมาแยกไว้เป็นกับข้าว เป็นเสบียงกรัง เป็นคลังเมล็ดพันธุ์ที่ต้องคัดกรองทดลองปลูกเพื่อคงลักษณะดั้งเดิมสืบต่อไป
น้ำพริกมะเขือเทศของพี่มึ้งจะทำโดยคั่วพริกกะเหรี่ยงสด หอม กระเทียม ในหม้ออลูมิเนียมบนเตาไฟแรง ตำในครกหินจนละเอียด ใส่แคบหมูตำให้เข้ากัน เอาหม้อใบเดิมคั่วลูกมะเขือส้ม คือมะเขือเทศพื้นบ้านลูกเล็กจนสุกผิวเกรียม ใส่ลงตำพอเข้ากัน จากนั้นผัดในกระทะน้ำมันด้วยไฟแรง เติมน้ำปลาให้ออกรสเค็มพอสู้กับรสเผ็ดจัดสุด ๆ ของพริกกะเหรี่ยง
ส่วนแกงส้มต้องตำพริกแกงก่อน มีหอม กระเทียม พริกกะเหรี่ยงสด ตะไคร้ กะปิดำ ตำไม่ต้องแหลกมาก แล้วคั่วไก่บ้านในกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย เติมน้ำ ใส่พริกแกง พอเดือดพล่านดีจึงบีบลูกมะเขือส้มให้แตกใส่ทีละลูก ปรุงเค็มด้วยน้ำปลา ใส่กลิ่นหอมด้วยดอกห่อคุ่ยเก็บสดจากไร่ ได้แกงรสเปรี้ยวมะเขือส้มเจือหวานหอมอ่อน ๆ ที่แทบไม่มีกลิ่นเครื่องปรุงรสใด ๆ ล้ำเกินรสชาติวัตถุดิบอาหาร
อาจารย์อานันท์ กาญจนพันธุ์ นักมานุษยวิทยาอาวุโสเคยเสนอแนวคิดการ “กินในบริบท” ไว้ในงานประชุมประจำปีของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทำนองว่า การที่คนได้กินอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อด้วยผักท้องถิ่น ด้วยฝีมือคนพื้นที่ แถมนั่งล้อมวงกินในครัวบ้านของผู้ปรุง ด้วยวัสดุอุปกรณ์จานชามช้อนตะเกียบ บรรยากาศ บริบทแวดล้อมของพื้นที่จริง ๆ ย่อมรู้สึก “อิน” คือเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อนั้น ๆ เป็นพิเศษ ผมอยากเสริมตามความเข้าใจของผมด้วยว่า มันอาจหมายถึงปฏิกิริยาที่ร่างกายยอมเปิดรับอายตนะรสชาติใหม่ ๆ ในระดับลึก ๆ ที่อาจไม่เคยเปิดในชีวิตปกติ เช่น กินเผ็ดได้มากขึ้น ทนกลิ่นปลาร้าปลาเจ่าได้ กระทั่งเกิดความกระตือรือร้นสนใจเรื่องราว ที่มาแห่งอาหารมื้อนั้น ๆ เป็นพิเศษด้วย
ผมรู้ตัวเสมอว่าเป็นคนกินง่าย กินมาก แถมกินอะไรก็อร่อยได้ไม่ยาก แต่กับข้าวมื้อนั้นทำให้เข้าใจเลยว่าการกินในบริบทมันมีพลังขนาดไหน คือผมกินข้าวเหลืองเปลือกแดง – บือบ่องโวไบ๊ย ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวแล้วสีซ้อมใหม่ ๆ หุงสุกนุ่มละมุนละไมของพี่มึ้งจะไป 4 จานพูน ๆ จำได้ว่าเท่ากับที่เคยกินในมื้ออาหารเมื่อกว่าสองปีก่อนเลยทีเดียว
น้ำพริกมะเขือเทศที่ต้องคั่วหอม กระเทียม และที่สำคัญคือพริกกะเหรี่ยงสดจำนวนมาก ก่อนจะตำกับแคบหมูกรอบ ๆ มะเขือเทศสุกฉ่ำ ผัดน้ำมันไฟแรงจนงวดข้นนั้นช่างเป็นรสชาติแสนแปลกใหม่ มันหอมทั้งกลิ่นไฟแรงที่คั่วเครื่องและที่ผัดน้ำพริก การที่เรากินเผ็ดจนเหงื่อท่วมในท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บนั้นทำให้รู้สึกทั้งเยือกเย็นและอบอุ่น แล้วก็ดูเหมือนจะพลันเข้าใจโดยแทบไม่ต้องสงสัยอะไรอีก ว่าสิ่งที่พี่มึ้งจะต่อสู้เพื่อให้ได้คืนมานั้นคืออะไร มีความจำเป็นต่อชีวิตคนกะเหรี่ยงเพียงใด
“คนกะเหรี่ยงก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนนะ” พี่มึ้งจะขยับเลื่อนหม้อข้าวมาให้ใกล้ผม “แต่เราคิดของเราอย่างนี้ แล้วเราก็ทำเลย พี่มองไปถึงลูกหลาน ที่พี่ช่วยเก็บตัวอย่างพันธุ์ข้าวให้นักวิจัย ออกไปงานรณรงค์ ไปประชุมเสนอความคิดอะไรต่าง ๆ ไปประท้วงก็มี เพราะพี่อยากเก็บข้อมูลพวกนี้ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน ไม่อยากให้ลูกหลานเราต้องเจอปัญหาอย่างทุกวันนี้ วันหนึ่งข้างหน้าเขาอาจคิดได้ อย่างน้อยก็ให้มีต้นทุน พอจะพึ่งตัวเองได้ โดยเฉพาะเรื่องอาหารนี่มันสนุก ใจเรารักด้วย เรามาสายนี้อยู่แล้ว ถึงต้องทำคนเดียวเราก็ทำ”
อาจกล่าวอย่างรวบรัดได้ว่า พี่มึ้งจะใช้ฉากและชีวิตของเธอ บอกเล่าเรื่องราวต่อผู้คนนอกวัฒนธรรมที่มีโอกาสไปเที่ยวเยี่ยมเยียนหมู่บ้านห้วยหินดำ เธอและพี่ตาผู้เป็นสามีปลูกเรือนเล็ก ๆ เพิ่มในลานหลังบ้านติดลำห้วยหินดำ เป็นที่พักให้ผู้ที่ต้องการความสงบสันโดษของชีวิตวันหยุด เธอคิดค่าพักต่อหัวเพียงคืนละ 300 บาท ผมเดาว่า ถ้าใครถึงขนาดอยากเดินเท้าขึ้นเขาไปไร่ของเธอด้วย พี่มึ้งจะก็คงยินดี และถ้าต้องการ เธอจะปรุงกับข้าวด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาได้ในฤดูกาลนั้นให้กิน แบบที่ผมได้กินมาอย่างเอร็ดอร่อยนั่นแหละครับ โดยคิดเพิ่มเป็นหัวละ 500 บาท สำหรับกับข้าวมื้อค่ำและมื้อเช้า
พี่มึ้งยังจะบอกว่า เธอมีแผนจะทดลองขายข้าวเหลืองเปลือกแดง ข้าวไร่หมุนเวียนพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวได้มากในปีนี้ โดยจะสีและซ้อมมือแบบให้เหลือเปลือกในไว้บ้าง ไม่ขัดหมดแบบข้าวขาว เพราะเธออยากให้คนได้รับรู้รสชาติข้าวของเธอด้วย โดยจะเริ่มต้นขายเพียงกิโลกรัมละ 60 บาท ใครอยากลองกิน สามารถสั่งซื้อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 092 3750797 นะครับ
“พี่ทำกับข้าวไม่ปรุงรสมากนะ ก็อย่างที่เธอกินนี่แหละ ใครไม่กินผงชูรสเราก็ไม่ใส่ ใครอยากกินเราก็ใส่ให้ คนไม่กินนี่ถ้าขืนไปใส่เข้าเขาจะรู้ แล้วมื้อนั้นเขาก็จะรู้สึกไม่อร่อยไปเลย พี่ว่ากับข้าวมันมีที่เหมาะของมันอยู่แล้ว วัตถุดิบบางอย่างมันลงตัวกันเอง อย่างมะขามเปียกกับน้ำพริกเผา มะนาวกับน้ำพริกกะปิ มะเขือส้มกับพริกคั่วเผา ไม่เชื่อลองไปทำซี เราปรุงแบบไม่เปรี้ยวก็ได้นะ อย่างถ้ามีปลาดุกย่าง ก็ต้มกับน้ำปลาร้า แกะเนื้อมาโขลกใส่พริกคั่ว เอาลงผัดในกระทะน้ำมันหน่อย ปรุงด้วยน้ำปลาร้าในหม้อต้มที่เรากรองจนใส ครกนี้จะออกเผ็ดเค็ม ไม่เปรี้ยวเหมือนที่เราเพิ่งกินกันไป”
………………………
แม้เมื่อกลับมาแล้ว ผมก็ยังครุ่นคิดถึงเรื่องนกลายและบึงไฟที่พี่มึ้งจะเล่าให้ฟังอยู่เนือง ๆ
ผมลองบรรยายลักษณะนกลายตามคำบอกเล่าให้เพื่อนนักดูนกช่วยคิด ว่ามันควรเป็นนกอะไรแน่ เพื่อนก็นึกไม่ออก เขาว่าอย่างน้อยตามตัวมันต้องมีลาย จึงอาจเป็นนกเขาเขียว ที่เก่งในการบินลัดเลี้ยวเลาะยอดไม้สูง ๆ ในป่า หรือไม่แน่ว่าจะเป็นนกนักล่า เช่นเหยี่ยวชนิดใดชนิดหนึ่ง นกลายจึงยังเป็นปริศนาลึกลับในเรื่องเล่าปรัมปราของคนกะเหรี่ยงโพล่วงห้วยหินดำ เช่นเดียวกับบึงไฟ สถานที่ที่มนุษย์ไม่สามารถตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยได้ แต่ก็ไม่เคยมีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนบนโลกนี้
ทันใดนั้น ผมนึกถึงภาพหนึ่งแวบขึ้นมา ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นจนขนลุก มันคือฉากในวงข้าวมื้อค่ำที่ห้วยหินดำ ผมนั่งฟังพี่มึ้งจะเล่าปัญหาที่อุทยานแห่งชาติพุเตยกีดกันชาวบ้านให้ออกจากพื้นที่ ขณะที่มือก็ตักข้าวไร่หุงสุกนุ่มหอมกรุ่นละมุนละไมกินอย่างเอร็ดอร่อย
แม้แสงวับแวมของหลอดไฟเพดานเพียงดวงเดียวนั้นจะไม่สว่างนัก แต่เสื้อลายแบบสาวกะเหรี่ยงโพล่วงที่พี่มึ้งจะตัดเย็บสวมใส่เองกับมือนั้น ก็ช่างเด่นชัดถนัดตาเหลือเกิน