รอมฎอน (สันติภาพ) ที่หายไปจากวงเล็บ - Decode
Reading Time: 2 minutes

2 ทศวรรษแห่ง ‘การสูญเสีย’

2568 บน ‘โต๊ะเจรจา’ นโยบายยังคลุมเครือ

22,929 คือจำนวนเหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้รอบสองทศวรรษ หลังความขัดแย้งก่อตัวรุนแรงมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชน และผู้เห็นต่างแล้ว 22,100 ราย เสียชีวิตแล้วกว่า 7,682 คน ซึ่งใช้งบประมาณในการดับไฟใต้แล้ว 3.4 แสนล้านบาท [อ้างอิง: ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ Deep South Watch] 

ทั้งจำนวนตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บ-เสียชีวิต และงบประมาณที่ใช้ไป ต้องยอมรับว่าเราสูญเสียทรัพยากรไปมหาศาล ในขณะที่ยังไม่เห็นแสงสว่างของทางออกในปัญหานี้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการของทั้งสองฝ่าย ระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มขบวนการปลดแอกปาตานี ตั้งแต่พ.ศ. 2557 ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะนั้น มีข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายภายใต้คณะพูดคุยเจรจาฯ อยู่หลายครั้ง เช่น ข้อตกลงรอมฎอนสันติ ในปีพ.ศ. 2556 การสร้างพื้นที่สาธารณะปลอดภัยในเดือนกันยายน 2559 แต่สุดท้ายก็ยุติไปในเดือนสิงหาคม 2561 นอกจากนี้ยังเคยมีข้อตกลงในการยุติปฏิบัติการทางการทหารระหว่างเดือน เมษายน – พฤษภาคม ปี 2565 

สิ่งที่ชวนตั้งข้อสังเกตุและเห็นได้ชัด คือจำนวนเหตุการณ์ความไม่สงบที่สอดคล้องกับการเปิดโต๊ะเจรจาของทั้งสองฝ่าย เมื่อดูตัวเลขของเหตุการณ์ความไม่สงบตั้งแต่ปี 2547-2557 ก่อนการเปิดโต๊ะเจรจา มีเหตุการณ์เฉลี่ยที่ปีละ 1,565 ครั้ง/ปี ขณะเดียวกัน ในปี 2558-2567 ภายหลังจากมีการเจรจาของทั้งสองฝ่าย โดยมีคณะพูดคุยจากทั้งสองฝ่ายแล้วถึง 5 คณะ แม้จะมีการเปลี่ยนคณะพูดคุยอยู่หลายครั้งตามวาระของการเปลี่ยนรัฐบาล หรือบางครั้งก็มีการล้มข้อตกลงบนโต๊ะเจรจาอยู่บ้าง แต่ก็มีเหตุการณ์ความไม่สงบเฉลี่ยอยู่ที่ 571 ครั้ง/ปี และตัวเลขก็พุ่งสูงขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 หลังจากนายกเศรษฐา ทวีสินต้องพ้นจากตำแหน่ง อันทำให้โต๊ะเจรจาฯ ต้องยุติไปด้วย อีกทั้งบนโต๊ะพูดคุยเจรจาของทั้งสองฝ่าย ได้มีความพยายามในการผลักดันข้อตกลงรอมฎอนสันติ เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพี่น้องชาวมุสลิม เพื่อเป็นมาตรการให้ทั้งสองฝ่ายได้ยุติการใช้กำลังด้วยอาวุธ และยุติความรุนแรง แต่รอมฎอนในปีนี้ว่างเว้นจากการเปิดโต๊ะเจรจาฯ ทำให้ข้อตกลงรอมฎอนสันติ จึงยังไม่เกิดขึ้น 

De/code สัมภาษณ์พิเศษ บิ๊กเกรียง พลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีตแม่ทัพภาค 4 และเคยเป็นหนึ่งในเลขาธิการร่วมของคณะพูดคุยโต๊ะเจรจาของฝ่ายรัฐบาลไทย ซึ่งบิ๊กเกรียงมีข้อกังวลอย่างมากต่อสถานการณ์ปัจจุบัน “เหตุการณ์แทบจะเกิดขึ้นรายวัน” ทั้งปฏิบัติการของผู้เห็นต่าง และการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ ในขณะที่ฝ่ายการเมือง ภายใต้การนำของนายกแพทองธาร ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนต่อการจัดการพื้นที่ “ความไม่ชัดเจนด้านนโยบายทำให้เกิดช่องว่างของผู้ปฏิบัติหน้างาน ทำน้อยก็กลัวว่าจะน้อยไป ทำมากก็กลัวจะ over react” เพราะบิ๊กเกรียงบอกว่าในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา มีหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจที่ต่างกันอยู่หลายหน่วยงาน ทั้งศอ.บต. กองทัพภาคสี่ ตำรวจ และฝ่ายปกครองของมหาดไทย นี่ยังไม่นับรวมภาคประชาสังคมและองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่คอยดูทิศทางการกำหนดนโยบายจากส่วนกลาง เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ในพื้นที่

“แต่ความเอกภาพไม่เกิด ในเมื่อทุกคนก็เฝ้าดูอยู่ว่ารัฐบาลจะเอาไง” บิ๊กเกรียงกล่าว  

อย่างน้อยที่สุด บิ๊กเกรียง ยืนยันว่า สถานการณ์ปัจจุบันต่างจากยุคคสช. ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่านี่ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  “รัฐบาลคสช. ประกาศนโยบายชัดเจน ว่าศอ.บต. ดูแลด้านการพัฒนา การดูแลพื้นที่ด้านความมั่นคง ปลอดภัย ก็ให้กอ.รมน. รับผิดชอบ” อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฝ่ายอาสาสมัคร ที่ดูแลโดยพลเรือน “อย่างที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณเคยกล่าวว่า ปี 70 ทหารจะได้ถอยออกมาได้” เพราะบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ก็ถูกตั้งคำถามถึงความซ้ำซ้อนของภารกิจที่ได้รับมอบหมาย อันเป็นเหตุผลของการใช้งบประมาณจำนวนมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา หรืออีกเหตุผลในมุมมองของผู้เขียนที่เป็นหลักใหญ่ใจความของความสำคัญในสนามของความขัดแย้งนี้ คือการเอากองทัพไปเผชิญหน้ากับฝ่ายกองกำลัง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็ถืออาวุธอยู่ในมือด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการดึงทหารออกจากพื้นที่ คือหนึ่งในเป้าของการสร้างสันติภาพ ที่ผู้ใหญ่ระดับสูงในกองทัพเล็งเห็น 

ยิ่งสางยิ่งยุ่ง หรือ ‘ไม่เชื่อในกระบวนการพูดคุย’  

ผู้เขียนชวนย้อนกลับไปปี 2547 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรุนแรง ขณะนั้นนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร ผ่านมาครบ 20 ปี ลูกสาวของนายกทักษิณ กลับมาดำรงตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารอีกครั้ง ต่างฝ่ายก็มีความหวังว่า ครั้งนี้อดีตนายกทักษิณ อาจมีแรงจูงใจในการกลับมาเอาจริงเอาจังในการแก้ไขปัญหาอีกครั้ง แต่ถ้าดูจากการดำเนินนโยบาย เหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมสลายขั้วของนายกเศรษฐา ทวีสิน ก็มุ่งแก้ปัญหาในพื้นที่ แค่เฉพาะมิติทางเศรษฐกิจ การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาฯ ก็มิได้มีเนื้อหาต่อเรื่องการสร้างสันติสุข/สันติภาพแต่อย่างใด อีกทั้งการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ของนายกเศรษฐา ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ก็บ่ายเบี่ยงต่อคำถามของสื่อมวลชนเรื่องโต๊ะการพูดคุยเจรจาฯ ว่า “ยังดำเนินการ แต่เป็นรื่องของฝ่ายความมั่นคง” ส่วนท่าทีของนายกแพทองธาร ก็ไม่เป็นไปในทิศทางบวกกว่าเดิมมากนัก ไม่มีทั้งการแถลงนโยบายเรื่องนี้ต่อรัฐสภา และไม่มีการสานต่อโต๊ะพูดคุยเจรจาที่ดำเนินมาตลอดสิบปี นี่นับเป็นการว่างเว้นการเปิดโต๊ะคุยของทั้งสองฝ่ายที่นานที่สุด หลังจากการเปิดโต๊ะฯ ในสมัยของนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะนี่เป็นการว่างเว้นการพูดคุยสันติสุข/สันติภาพประมาณหกเดือนแล้ว หากดูตัวเลขในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงธันวาคม 2567 คือช่วงแรกที่ว่างเว้นการเจรจาทั้งสองฝ่าย แต่กลับมีจำนวนเหตุการณ์ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 23% เมื่อเทียบกับห้วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ไม่มากก็น้อย นี่ได้พิสูจน์ว่า การเจรจาของทั้งสองฝ่ายแม้ไม่มีคำตอบ แต่ก็เป็นทิศทางที่บวกสำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ 

รักชาติ สุวรรณ ภาคประชาสังคมเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ชายแดนใต้ แสดงข้อกังวลว่า แม้เหตุการณ์ในช่วงนี้ จะเกิดกลุ่มเป้าหมายเป็นเป้าหมายแข็ง จำกัดวงแค่เฉพาะเจ้าหน้าที่ แต่หากยังเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ ก็กังวลว่าเหตุการณ์จะลุกลามออกนอกพื้นที่และข้อตกลง IHL และถ้าเขาออกจากข้อตกลง IHL พลเรือนที่เขาจะกระทำและได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือพี่น้องคนไทยพุทธ

ในระดับปฏิบัติการและหลักการสากลของการขัดกันด้วยอาวุธ จะมีหลัก International Humanitarian Law (IHL) เป็นหลักใหญ่ ๆ อยู่ 4-5 ข้อ คือ 1.หลักความในการจำกัดการใช้อาวุธ 2.หลักการเลือกเป้าหมายเพื่อกันพลเรือนออกจากสนามรบ 3.หลักความได้สัดส่วนในการก่อเหตุ 4.หลักความจำเป็นทางการทหาร 5.หลักการห้ามใช้วิธี เพื่อให้เกิดการทรมาน หลัก IHL จึงเป็นหลักที่มุ่งเน้นกฎเกณฑ์ในการป้องกันพลเรือน 

“ผู้รับผิดชอบในเรื่องใต้ของรัฐบาลชุดนี้ ไม่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญต่อสถานการณ์ในสามจังหวัดภาคใต้” คือข้อสังเกตุของคุณรักชาติ ถึงการจัดการปัญหาในพื้นที่ ที่ให้ภาคประชาสังคมและหลายฝ่ายในพื้นที่มองว่า “รัฐบาลชุดนี้ดูแคลนปัญหาในพื้นที่เกินไป” เราเคยได้ยินวลีอย่าง “โจรกระจอก” ในรัฐบาลสมัยไทยรักไทย และวันนี้เราก็ได้ยินเรื่องการตั้งคำถามภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ดูแลงานด้านความมั่นคง ตั้งคำถามถึงความเป็นตัวจริงตัวปลอมของคู่เจรจาบนโต๊ะจนต้องนำไปสู่การรื้อยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ซึ่งแผนปัจจุบันยังอยู่ในคณะทำงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานการณ์แบบนี้ทำให้คุณรักชาติสงสัยไปถึงทักษิณ ชินวัตร ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดของรัฐบาลชุดนี้ “จะไม่เชื่อในเรื่องของกระบวนการพูดคุย”  

บิ๊กเกรียงตั้งคำถามถึงแนวทางที่ยังไม่รูปร่างของรัฐบาล “เขาบอกว่าอยากจะแก้ไขปัญหาแบบแนวทางใหม่ แนวทางใหม่มันคืออะไร แนวทางใหม่อยากให้ใครมาทํา” เพราะจากให้สัมภาษณ์ของรองนายกภูมิธรรม และการให้สัมภาษณ์ของเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ “ในยุทธศาสตร์ใหม่มีหลายประเด็น โดยเฉพาะการนำผู้เห็นต่าง กลับเข้าสู่สังคม คล้ายกับนโยบาย 66/23” ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็เคยมีนโยบายอย่างโครงการพาคนกลับบ้าน แต่ถ้าเทียบกับ 66/23 ที่คือการนิรโทษกรรมในสมัยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นี่ก็จะกลายเป็นคำถามว่า “จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนหรือเปล่า” บิ๊กเกรียงตั้งข้อสังเกตุ

รอมฎอน(เคย)สันติ  

ในห้วงเวลา 12 ปี ทั้งสองฝ่ายก็เคยมีข้อตกลงในการยุติการใช้กำลังในเดือนรอมฎอนแล้วถึงสามครั้ง 

12 กรกฎาคม 2556 แม้สุดท้ายต้องล้มไป

24 มิถุนายน 2558 มาราปาตานีและฝ่ายตกลงยุติความรุนแรง ทำให้ข้อตกลงรอมฎอนสันติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

3 เมษายน -14 พฤษภาคม 2565 รอมฎอนสันติกลับมาอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายตกลงยุติปฏิบัติการทางการทหาร ตรงกับช่วงขณะบิ๊กเกรียงดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคสี่ “มีสถานการณ์อยู่บ้าง ประปราย แต่ก็ถือว่า สันติสุข เกิดขึ้นในเดือนรอมฎอน” ซึ่งขณะนี้พี่น้องมุสลิมทางใต้ได้เข้าสู่เดือนรอมฎอนไปแล้ว แต่เราก็ยังไม่เห็นการแสดงท่าทีใด ๆ ของทั้งสองฝ่ายต่อเดือนรอมฎอน ซึ่งนี่คือสิ่งที่บิ๊กเกรียงกังวลว่า “ความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชน ที่จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่ว่าพุทธมุสลิม จะส่งผลกระทบโยงใยต่อไปถึงเศรษฐกิจที่เขาจะกินจะอยู่จะใช้ทุกวัน” 

‘กระบวนการพูดคุย’ ที่ ‘ประชาชน’ เป็นหลังพิง

ความคืบหน้าล่าสุดของเรื่องนี้ คือข้อตกลง ของทั้งสองฝ่าย JCPP แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวมที่คณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยในรัฐบาลของนายกฯเศรษฐา ทวีสินและบีอาร์เอ็น เห็นชอบใน 3 หลักการ คือการลดความรุนแรง การปรึกษาหารือกับประชาชน และการแสวงหาทางออกทางการเมือง ซึ่งแม้ในภายหลังจากโดนโจมตี ว่านี่เป็นแผนปฏิบัติการที่รัฐไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ 

แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ภาคประชาชนได้เรียกร้องการมีส่วนร่วมในโต๊ะเจรจามาโดยตลอด “อยากให้มีส่วนร่วม น่าจะเข้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์ได้บ้าง อย่างน้อยก็เชิงประเด็นผู้หญิง ประเด็นของคนพุทธอะไรเงี้ย” คุณรักชาติกล่าวยืนยันกับผู้เขียน เพราะผลกระทบของความขัดแย้งได้สร้างบาดแผลให้คนหลายกลุ่ม ทั้งสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มคนไทยพุทธ พวกเขาเหล่านี้จึงอยากสะท้อนความต้องการให้ทั้งสองฝ่ายได้รับรู้ข้อมูลจากเขาบ้าง ซึ่งแม้ทางในทางเทคนิค หลายฝ่ายก็เห็นตรงกัน ว่านี่เป็นบทบาทของฝ่ายรัฐและกลุ่มผู้เห็นต่าง ที่ต้องสร้างข้อตกลงร่วมกันเพราะถ้าหากให้ภาคประชาชนไปขึ้นโต๊ะเจรจาด้วย “ถ้าเป็นภาคประชาสังคมเนี่ยคุณได้รับการรับรองจากใครว่า คุณเป็นตัวแทนของกลุ่มต่าง ๆ” 

ด้านพลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ บิ๊กเกรียง มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การพูดคุยก็เป็นหนทางที่ดี แน่นอนที่สุดเราต้องใช้ระยะเวลาในการดึงความต้องการของแต่ละฝ่ายออกมา แล้วมาพูดคุยกันในทางเทคนิคว่าอันไหนทําได้อันไหนทําไม่ได้ เพราะอย่างน้อยที่สุดจะเป็นการสร้างเบาะรองรับให้กระบวนการพูดคุยมีประชาชนเป็นหลังพิง

เพราะการเจรจาหาทางออกที่ไร้ประชาชนอยู่ในสมการ อาจทำให้การเจรจาขาดความยอมรับ และล้มเหลวในทางปฏิบัติ บิ๊กเกรียง ตั้งข้อสังเกตุทิ้งท้าย