เพราะมนุษย์ไม่ควรตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้
สิทธิพล ชูประจง
ที่ริมฟุตบาท ชายเร่ร่อนคนหนึ่ง มีขาที่บวมใหญ่ทั้งสองข้าง อัณฑะบวมโตล้นกางเกงขาสั้นของเขาออกมา มันเป็นความใหญ่โตผิดปกติ เขานั่งพูดคนเดียว บางครั้งโวยวาย ที่หลับที่นอนคือฟุตบาทปูนหยาบ เมื่อร่างกายเริ่มผิดปกติ เขาเริ่มเดินไม่ได้ อ่อนเพลีย สีหน้าบ่งบอกความเจ็บปวดชัดเจน คนแถวนั้นพยายามแจ้งเรื่องเข้าไปหลายหน่วยงานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีหน่วยงานไหนให้ความช่วยเหลือได้เลย
ประเมินด้วยสายตาและข้อมูลแวดล้อม พบว่าชายไร้บ้านมีภาวะทางร่างกายย่ำแย่มาก อ่อนแรง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ข้าวปลาที่พอได้กินนั้นเพราะมีคนเอามาช่วยให้ถึงที่ และที่สำคัญมีภาวะจิตเวชชัดเจน คุยคนเดียว อารมณ์แปรปรวน มีอาการหลงผิด ชีวิตที่ข้างถนนจึงอันตราย
จนวันหนึ่งชายไร้บ้านไปโรงพยาบาลรัฐใกล้เคียงที่สุด
โรงพยาบาลรับเขาในฐานะของผู้ป่วยฉุกเฉิน ด้วยข้อมูลที่ว่าเขาคือคนเร่ร่อนไร้บ้าน เดินไม่ได้ และอัณฑะที่ใหญ่เกินปกติ แต่วันต่อมาเขากลับมาอยู่ที่ข้างถนนตามเดิม พร้อมกับขาและอัณฑะที่ใหญ่โตผิดปกติ ร่างกายที่แทบไปไหนไม่ได้ เพิ่มเติมมาหน่อยคือถุงยาจากโรงพยาบาลที่ถูกขว้างทิ้งออกไปที่ถนน เขากลับมาโดยรถแท็กซี่ที่ทางโรงพยาบาลเรียกให้ในวันเดียวกันกับที่เข้าโรงพยาบาล เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่เขาทำก็คือ ถัดตัวเองจากรถแท็กซี่เพื่อมาอยู่ในพื้นที่เดิมของตัวเองที่ข้างถนน สิ่งที่สองที่เขาทำก็คือการเหวี่ยงถุงยาจากโรงพยาบาลทิ้งลงไปที่พื้นถนน ถุงยาไม่ได้ถูกใส่ใจจากเขาอีกเลยนับจากตอนนั้น
เขาถูกนำส่งไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
ด้วยความคาดหวังว่าจะถูกตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ และถูกคำนึงถึงบริบทอื่น ๆ อย่างเช่นว่า การเร่ร่อนนอนข้างถนน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สุขภาพจิตไม่ปกติ ยังไม่นับรวม อัณฑะและขาที่ใหญ่โตผิดปกตินั่นอีก เมื่อโรงพยาบาลตรวจและเช็คสิทธิจากชื่อที่เขาบอก ปรากฏว่าเขามีสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐอีกแห่งหนึ่ง เขาจึงถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลตามสิทธิที่ไม่ใช่การส่งต่อโดยโรงพยาบาลกับโรงพยาบาล เพราะไม่ฉุกเฉินและไม่ได้เป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลที่ส่งตัว
แม้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว
แม้ว่าไม่สามารถกระเสือกกระสนไปโรงพยาบาลเองได้
แม้ว่าขาและอัณฑะนั้นจะใหญ่โตผิดปกติเพียงใดก็ตาม
เขาก็ยังต้องไปหาหมออีกโรงพยาบาลเอง
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลตามสิทธิ
เขาถูกตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง HIV มีเหาที่รุนแรงจนทำให้หนังหัวของเขาอักเสบ และจิตเวช เป็นโรคที่ค้นพบจากการตรวจในวันนั้น แต่เนื่องจากหมอที่ตรวจเขาในวันนั้น รู้ดีว่าเขาเป็นคนเร่ร่อนไร้บ้าน มีโรคภัยไข้เจ็บที่ใช้ชีวิตและดูแลตัวเองได้ยากอย่างแน่นอน และตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะมีโรคร้ายอีกในตัวของผู้ป่วย หมออายุรกรรมจึง พยายามหาเตียงสักเตียงในโรงพยาบาลให้กับผู้ป่วยคนนี้ได้อยู่ในโรงพยาบาลเพื่อตรวจเพิ่มเติม
แต่ทั้งเหนื่อย และนานกว่าจะได้เตียงนั้น ผู้ป่วยจึงต้องไปแทรกเบียดนอนเตียงอยู่ที่หวอดฉุกเฉินแทนที่จะเป็นหวอดอายุรกรรมของโรงพยาบาล เมื่อนี่คือห้องฉุกเฉินไม่ใช่หวอดอายุรกรรม และผู้ป่วยเองต้องรอผลตรวจโรคอีกหลายวัน การถูกดันออกไปและการต่อรองให้อยู่โรงพยาบาลจึงเกิดขึ้น
ผลตรวจโรคจากที่นอนรออยู่ที่ห้องฉุกเฉินอยู่หลายวัน
โรคที่เพิ่มเติมมาอีกนั้นคือซิฟิลิสที่กำลังขึ้นสมอง ระหว่างนั้นหมอทำการตัดชิ้นเนื้อไปเพราะสงสัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนังร่วมด้วย แต่ผู้ป่วยก็ยังนอนอยู่ที่ห้องฉุกเฉินเหมือนเดิม ผลตรวจมะเร็งออกมาแล้ว ผู้ป่วยมีโรคอยู่ในตัวอีกหนึ่งโรคคือมะเร็งผิวหนัง วันหนึ่งที่ห้องฉุกเฉินที่ใช่ในหวอดอายุรกรรม ผู้ป่วยเดินลงจากเตียงและออกจากห้องฉุกเฉิน เดินหายไปจากโรงพยาบาล ติดตามหาอีกครั้งผู้ป่วยไปนั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ฝั่งตรงข้ามของโรงพยาบาล แน่นอนขาและอัณฑะที่โตบวมใหญ่ยังสังเกตได้ด้วยตาเปล่าเห็นอย่างชัดเจน การเดินยังคงลำบากเช่นเดิม แต่จากเตียงห้องฉุกเฉินจนถึงร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามของโรงพยาบาล กลับไม่ถูกมองเห็น
ผู้ป่วยปฏิเสธการเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงประสานตำรวจเพื่อให้มาช่วยควบคุมตัวนำส่งรักษาตามพ.ร.บ.สุขภาพจิต แต่กว่าตำรวจจะมาถึงผู้ป่วยได้เดินหายไปจากที่หน้าร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลไปแล้ว
ผู้ป่วยไปไกลกว่าที่คิดเพราะเรียกแท็กซี่ให้ไปส่ง แต่โชคที่ยังดีอยู่บ้าง ผู้ป่วยถูกปล่อยลงข้างถนนและมีผู้พบเห็นแจ้งเข้ามาที่เจ้าหน้าที่ของทางพม. จากวันที่หายตัวไปจนมาพบตัวอีกครั้ง ระยะเวลาทิ้งห่างกันเกือบ 1 เดือน เป็นเวลาเกือบ 1 เดือน ที่ทำให้สภาพร่างกายของผู้ป่วยทรุดลงอย่างมาก
แต่ขาและอัณฑะที่บวมโตยังเห็นได้ชัดเจนอยู่ไม่เปลี่ยน
ผู้ป่วยถูกนำตัวมาเข้ารับการตรวจรักษาที่แผนก OPD ของโรงพยาบาลเดิมที่เขาเดินหายออกมา แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้รับแอดมิทแต่อย่างใด หมอทำแต่ตรวจแค่เรื่องทางเดินปัสสาวะ และจิตเวช พร้อมกับจ่ายยา และให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ บ้านที่ทางหมอและโรงพยาบาลอาจไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำว่ามันคือข้างถนน แต่โชคดีอยู่อย่างที่วันนั้นคนที่ไปส่งผู้ป่วยเข้ารับการตรวจรักษาคือ เจ้าหน้าที่ของทางกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ผู้ป่วยจึงกลับไปพักที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง
อีก 4 วันต่อมา ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก เขาถูกส่งมายังโรงพยาบาลตามสิทธิซึ่งเป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่เขาตรวจพบเจอโรคอย่างน้อยก็ 5 โรค เป็นโรงพยาบาลเดียวกันที่เขาเดินกระโดกกระเดกออกมาจาก ER หายไปเป็นเวลาร่วมเดือน และกลับมารักษาอีกครั้ง แต่หมอตรวจรักษาและให้ยากลับไปกินเองที่บ้าน
วันรุ่งขึ้นผู้ป่วยเสียชีวิตที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลตามสิทธิ ที่ตรวจพบเจอโรคร้ายกว่า 5 โรค เป็นโรงพยาบาลเดียวกันที่เขาเดินกระโดกกระเดกออกมาจาก ER และหายออกไปเป็นเวลาร่วมเดือน กลับมารักษาอีกครั้งแต่หมอตรวจรักษาและให้ยากลับไปกินเองที่บ้าน นับรวมการเดินทางเข้าสู่ระบบการรักษาของผู้ป่วยที่มีโรค 5 โรคในตัวและกายภาพคือขาและอัณฑะที่บวมโตก่อนจะเสียชีวิต รวมเวลาได้ประมาณ 4 เดือนเศษ