(Un) popular opinion
โตมร ศุขปรีชา
ผมไม่ได้เป็นแฟนเพลงของลิซ่า (Black Pink) มาก่อน บอกตรง ๆ ว่าเข้าไม่ถึงเธอ อย่างหนึ่งเพราะเธอเริ่มต้นจากวงการเพลงเกาหลี ซึ่งเป็นวงการที่ผมไม่ได้ติดตามมาก่อน และแม้เมื่อมาเริ่มทำเพลงใหม่ของตัวเอง ก็ไม่ใช่เพลงที่ต้องรสนิยมของผมเท่าไหร่ ผมจึงไม่ได้สนใจเธอและงานของเธอมากนัก
แต่กระนั้น ผมก็ยังได้ยินอยู่เนือง ๆ ว่าลิซ่า ‘ถูกกระทำ’ มาไม่น้อยจากหลากหลายฝ่าย ทั้งในแง่ของธุรกิจ หรือกลุ่มคนที่ต่อต้านเธอ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ซึ่งก็ทำให้ผมต้องเอาใจช่วยเธออยู่ห่าง ๆ เพราะอย่างน้อยที่สุด เธอก็เป็นสาวน้อยชาวไทยที่ออกไป ‘ผจญโลก’ ในระดับนานาชาติด้วยตัวเอง ซึ่งไม่น่าเป็นงานที่ง่ายดายนัก หากเธอประสบความสำเร็จ (แม้เป็นความสำเร็จแบบที่ผมไม่เข้าใจ – เช่นเดียวกับที่ไม่ค่อยเข้าใจเพลงของเธอ) ก็นับเป็นเรื่องน่ายินดี
แต่แล้วในวันหนึ่ง ผมก็พบว่าลิซ่าสามารถ ‘ตก’ ผมได้อยู่หมัด เมื่อเธอขึ้นเวทีออสการ์ประจำปี 2025 แล้วร้องเพลงที่มีชื่อว่า Live and Let Die
ต้องบอกคุณว่า Live and Let Die ถือว่าเป็น ‘เพลงสำคัญ’ อย่างมากในซีรีส์ เจมส์ บอนด์ ถือว่าเป็นหนึ่งในเพลงป๊อปที่ขึ้นหิ้งคลาสสิกโด่งดังทั้งในโลกภาพยนตร์และวงการดนตรี
คนแต่งเพลงนี้คือ Paul McCartney & Wings (Wings คือชื่อวงของพอล แม็คคาร์ทนีย์ ที่เขาทำขึ้นร่วมกับภรรยาอย่างลินดา แม็คคาร์ทนีย์ หลังวงเดอะบีทเทิลส์เลิกไป) เพลงนี้เป็นเพลงในปี 1973 ที่เขียนขึ้นเพื่อเป็น ‘เพลงธีม’ ของภาพยนตร์ James Bond 007 ในภาคที่ชื่อว่า Live and Let Die
ก่อนหน้านี้ เพลงของเจมส์ บอนด์ มักจะออกไปในแนวของเพลงแจ๊ซอลังการเสียมากกว่า ส่วนใหญ่ใช้บิ๊กแบนด์เล่น มีเครื่องเป่าทองเหลืองโน่นนั่นนี่อลังการ แต่ Live and Let Die คือเพลงแรกที่ใช้ ‘วงร็อก’ มาแต่ง และร้องออกมาในแนวร็อก
เพลงนี้เปิดตัวด้วยเสียงเปียโนนุ่ม ๆ คล้ายจะเศร้า แต่พอฟังไปแป๊บเดียว ก็จะเกิดอาการ ‘ระเบิด’ ขึ้นมาเป็นดนตรีแนว Symphonic Rock (ร็อกผสมออเคสตรา) โดยมีพาร์ตที่เป็นเรกเก้เบา ๆ อยู่ตรงกลาง ก่อนจะกลับไปสู่ความดุดันอีกครั้งหนึ่ง
แม้จะไม่เหมือนเพลงธีมของเจมส์ บอนด์ ก่อนหน้านี้ที่เต็มไปด้วยพลังยิ่งใหญ่อลังการ แต่เพลงนี้กลับซ่อนการ ‘ระเบิดพลัง’ เอาไว้ข้างใน ทำให้กลายเป็นเพลงธีมหนังสายลับที่ยอดเยี่ยมที่สุดเพลงหนึ่ง จนได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขา Best Original Song และเมื่อมีการคัดเลือกเพลงของเจมส์ บอนด์ มาร้องอีกครั้งหนึ่งในปี 2025 เพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในสามเพลงที่ได้รับการคัดเลือก นอกเหนือไปจาก Diamonds Are Forever และ Skyfall แสดงให้เห็นว่าเพลงนี้ได้รับการยอมรับมากขนาดไหน
สิ่งที่อยากชวนคุณมาพินิจพิจารณา – ก็คือ ‘เนื้อหา’ ของเพลงนี้
ซึ่ง – น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง, ที่มีอะไรหลายอย่างสอดคล้องกับชีวิตของลิซ่าอย่างมาก และความสอดคล้องนั้นก็เชิญชวนให้เรา ‘ตีความ’ เชิงสัญญะได้ ซึ่งหลายอย่างเมื่อตีความออกมาแล้วต้องถือว่าน่าตะลึงพรึงเพริศจริง ๆ
ตัวเนื้อหาของเพลงนั้น เริ่มต้นด้วยการบอกว่า
When you were young and your heart was an open book,
You used to say live and let live.
ซึ่งประโยคนี้หมายความว่า – สมัยที่เรายังเยาว์วัยอยู่นั้น หัวใจของเราเป็นเหมือนหนังสือที่เปิดกว้างออก
เราเชื่อว่า – แค่ Live and Let Live หรือใช้ชีวิตของเราไปโดยไม่ต้องไปเบียดเบียนอะไรกับใครก็น่าจะพอแล้ว
ถ้าพูดในเชิง Narrative หรือการเล่าเรื่อง นี่คือการใช้ ‘แก่น’ (Motif) ที่ว่า ‘วัยเยาว์ = โลกที่ไร้เดียงสา’ มาเป็นการเปิดตัว ชีวิตของวัยเยาว์เป็นเหมือนหนังสือที่เปิดกว้าง พร้อมเขียนอะไรก็ได้ เต็มไปด้วยอุดมคติ ประมาณว่าฉันจะมีชีวิตของฉันไป ใครจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวข้องกัน
แต่แล้วเพลงก็กลับ ‘ระเบิด’ ออกมาในอีกท่อนหนึ่ง ทั้งในทางดนตรีและคำร้องอย่างรวดเร็ว
But if this ever-changing world in which we live in
Makes you give in and cry
Say live and let die.
มันคือการบอกว่า – แต่ถ้าจู่ ๆ ‘โลก’ (ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ) ได้หันมาทำร้ายเรา ทำให้เราต้องยอมแพ้และร่ำไห้แล้วละก็ สิ่งที่เราควรทำก็คือการพูดออกมาว่า Live and Let Die หรือปล่อยให้มัน ‘ตาย’ ไปเสียเถิด
ประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้งหลายชั้น แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือการวางประโยคให้มีอาการ ‘ขัดแย้ง’ (Contrast) กับความคิดความเชื่อในตอนแรก (คือในวัยเยาว์) นี่คือการ ‘โยง’ การมองโลกเข้ากับการเติบโต และตระหนักถึง ‘ความโหดร้าย’ ของ ‘โลกจริง’ โดยแท้
เพลงนี้พูดถึงโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำว่า Ever-Changing World คือสัญลักษณ์ของความไม่มั่นคงและความวุ่นวายที่มากระทบชีวิต และเพลงก็ไม่ได้บอกให้เราอดทน แต่กลับบอกว่าเราก็คงต้องมีชีวิตอยู่กับมัน และถ้าโลกมันจะพังทลายตายไป ก็ปล่อยมันไป ช่างหัวมันสิ
นี่คือการประชดประชันโลก และประกาศความรู้สึกสิ้นหวังกับโลก (ที่แย่ ๆ) ใบนี้ไปพร้อมกัน
ถ้าฟังพร้อมดนตรี แรกเริ่มเราจะรู้สึกว่าเพลงนี้สงบเศร้า แต่แล้วจู่ ๆ ดนตรีก็ระเบิดออกมาพร้อมความจริงอันโหดร้ายของโลก มันคือการ ‘จำลอง’ การเติบโตของมนุษย์ จากความฝันในวัยเยาว์ มาสู่ความจริง และอาจทำถึงขั้น ‘ตั้งคำถามทางศีลธรรม’ กับเราด้วยซ้ำ ว่าแล้วเราจะอยู่อย่างไร แบบไหน ในโลกที่เป็นแบบนี้ อุดมคติที่เราเคยคิดเคยเชื่อ ยังเป็นสิ่งที่เราควรยึดถืออยู่ไหม การปล่อยให้บางอย่าง ‘ตาย’ ไปนั้น หมายถึงอะไรได้บ้าง เช่น ความฝัน ความคิด ความเชื่อ หรือแม้กระทั่งอุดมคติ และนั่นอาจคือ ‘ทางรอด’ เดียวหรือเปล่า
เพลงนี้จึงไม่ใช่เพลงรักหรือเศร้าเท่านั้น แต่คือ ‘บทกวี’ ที่ว่าด้วยความเปลี่ยนผ่านของมนุษย์ จากคนแบบหนึ่งไปเป็นคนอีกแบบหนึ่ง
สำหรับผม การที่ลิซ่าได้ร้องเพลงนี้ (ไม่ว่าเธอจะเลือกเองหรือไม่) มันจึงมี ‘สัญญะ’ หลายอย่างซ่อนอยู่ ตั้งแต่การ ‘ตัดขาด’ หรือ ‘ปล่อยวาง’ ตัวเองจากตัวตนหรืออัตลักษณ์เดิม จากลิซ่าที่เติบโตมาในวงการ K-Pop ที่มีการควบคุมศิลปินอย่างเข้มงวด มีภาพลักษณ์ที่ถูกจัดวางเอาไว้เพื่อสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ แต่นี่คล้ายเป็นการบอกว่า – ฉันพร้อมแล้วที่จะปล่อยให้ ‘บางอย่าง’ มัน ‘ตาย’ ไป โดยไม่อินังขังขอบกับมัน
ภาพจำเดิม ๆ โครงสร้างอำนาจที่เคยต้องยอมจำนน หรือแม้แต่อุดมคติในการทำงานแบบเก่า เมื่อเราปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ตายไป ก็แปลว่าจะมีสิ่งใหม่ถือกำเนิดขึ้น และนั่นแหละ – คือ ‘บทใหม่’ ของเส้นทางการทำงานที่เต็มไปด้วยอิสระ
ในอีกด้านหนึ่ง Live and Let Die ก็อาจบอกเราด้วยว่า ผู้ร้องกำลัง ‘ไม่แคร์’ กับสิ่งที่เคยเป็นตัวตนส่วนหนึ่งของเธอ มันคือความกล้าหาญ กล้าที่จะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง และน่าจะถือได้เลยว่านี่คือการ ‘ประกาศอิสรภาพ’ ในระดับโลก
ลิซ่าจึงเป็นเหมือน ‘ปรากฏการณ์’ ที่หลุดพ้นจากขอบเขตของเชื้อชาติ วัฒนธรรม และข้อจำกัดเดิม ๆ เพื่อจะผลัดเปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็น Global Icon
เพลง Live and Let Die เป็นเพลงที่ไม่เคยตาย มันมีชีวิตของตัวเองในฐานะเพลงร็อกยุค 70s ที่มีพลังงานล้นเหลือ Guns N’ Roses นำกลับมาคัฟเวอร์ใหม่ และถูกนำมาใช้ในหนังและโฆษณาอีกมาก
และเราก็ได้แต่หวังว่า การเดินทางสู่บทตอนต่อไปในชีวิตของลิซ่า – จะเป็นเช่นเดียวกันกับเพลงเพลงนี้