ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับแรงงานชาวเมียนมายากเสมอ
ฮึม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ตรงตามนัด ทุกเช้าเวลา 06.00 น. เสียงรถบัสจากหลากหลายโรงงานเข้าเทียบลานจอดรถด้านหน้าหอพักเจริญสินธานี จ.ชลบุรี ที่ ๆ มีแรงงานชาวเมียนมาไม่ต่ำกว่า 4,000 คน อาศัยอยู่
นิคมอุตสาหกรรมจำนวนมากในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ดึงดูดให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงาน แม้ว่าประเภทของงานที่ทำจะมีความเสี่ยงมากกว่า รวมไปถึงได้ค่าจ้างน้อยกว่าที่แรงงานไทยได้ก็ตาม
หลายคนหยิบหอบปิ่นโตออกจากห้อง บางคนแวะซื้อกับข้าวหน้าหอพักก่อนขึ้นรถ หลากบทสนทนาก่อนขึ้นรถบัสไปทำงาน ที่ความเหนื่อยล้าบนบ่าไม่ได้เกิดจากการทำงานควบกะเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงคนที่รออยู่ข้างหลัง และความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้
โก่โซ คือหนึ่งในนั้น เขาคือชายร่างเล็ก อายุ 41 ปี ที่เปรียบกับลูกพี่ของแรงงานชาวเมียนมากว่า 20 คนในหอพัก แม้จะมีความยากลำบากเกิดขึ้นมากมายระหว่าง 4 ปีที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย แต่สำหรับโก่โซ ประเทศไทยแม้จะมีความลำบากแต่ก็ยังพออยู่ได้ แต่ในประเทศบ้านเกิดอย่างเมียนมา คือสถานที่ที่ซึ่งคิดถึงและได้แต่นับวันรอ ที่จะกลับไปอีกครั้ง
โก่โซ
“มันมีความลำบาก มันก็คงไม่ได้สบายเหมือนกับอยู่บ้านเราหรอก เรามาทำงานหาเงินส่งไปให้ที่บ้าน แต่เพราะวันนี้บ้านเรามันอยู่ไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้มีเรียกเกณฑ์ทหาร มันหมายถึงเรา ลูกเรา หรือครอบครัวอาจถูกเรียกให้ไปตายในสงครามที่เกิดขึ้นจากน้ำมือเผด็จการ” โก่โซ กล่าว
โกโซ่ เกิดและเติบโตในเมืองอิรวดี บ้านของเขาทำอาชีพเป็นชาวนา ถึงเวลาปลายปีที่รวงข้าวจะตั้งท้องและเป็นสีเหลืองทองไปทั้งไร่ แต่ผลพวงจากสงครามทำให้นาผืนนั้นหายไป และถูกทดแทนด้วยร่องรอยของระเบิดทางอากาศ
“พี่น้องคนอื่น ๆ ก็น่าจะเข้ามาทำงานในประเทศไทยด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน คือเรายอมมาทำงานหนักที่นี่เพื่อที่หวังว่าจะได้เจอความหวังอีกครั้งที่จะมีชีวิตที่ดี เพราะที่บ้านเราตอนนี้ ความหวังแทบไม่เหลือแล้ว”
การเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ด่านแรกที่เขาต้องเจอเมื่อเข้ามาทำงานในประเทศไทยคืออคติทางเชื้อชาติ โก่โซบอกว่า เมื่อใครรู้ว่าเป็นแรงงานชาวเมียนมาก็จะพากันมองเหยียด เพราะเราไม่ได้เหมือนเขา แตกต่างจากเขา อีกทั้งยังพบเจอการตั้งข้อสงสัยจากตำรวจจนกลายเป็นความหวาดกลัวต่อผู้รักษากฎหมายและกลายเป็นถูกตั้งข้อหาไปเสียแทน
“เราโกรธ โดนแบบนั้นไม่ว่าใครก็โกรธ แต่เราจะทำอะไรได้ เราเข้ามาในประเทศเขา นี่มันไม่ใช่บ้านเรา เราก็ได้แต่บอกตัวเองว่าอดทน อดทน อดทน จำไว้ มีคนรอเราอยู่ที่บ้าน”
นอกจากนี้ด้วยความที่แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในประเภทงานที่ค่อนข้างหนัก ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานที่เกี่ยวข้องกับโลหะ โก่โซเล่าว่าพวกเขาเป็นแรงงานแบบกรรมกร จึงทำให้หลายคนมองว่าพวกเขาต่ำต้อย
แรงงานเมียนมาส่วนใหญ่ในเจริญสินธานีก็เช่นกัน พวกเขาทำงานประเภทโรงงานหนัก เช่น โรงงานผลิตกระเป๋าเดินทาง โรงงานเชื่อมเหล็ก โรงงานทองเหลือง ที่ต้องเจอกับความร้อนและสารเคมี
โก่โซคือหนึ่งในนั้น เขาทำงานอยู่ในโรงงานผลิตสินค้าทองเหลือง ในหนึ่งเดือนเขาต้องคำนวณรายได้ให้ดี นั่นหมายถึงการทำแรงงานต้องคำนวณถึงชั่วโมงการทำงานที่มากกว่า 40 ชม./สัปดาห์ การทำโอทีหรือการควบกะเป็นเรื่องปกติของแรงงานชาวเมียนมาที่นี่ เพื่อที่จะได้เม็ดเงินมาพอกินพอใช้และพอให้ส่งกลับไปให้คนทางบ้าน
“มันเหมือนเราต้องคิดอยู่แล้วว่าอาทิตย์นี้เราต้องโอทีกี่วัน อย่างบางเดือนถ้ามีค่าใช้จ่ายมากหน่อยก็ต้องคิดว่าต้องทำเพิ่มไปกี่วัน กี่ชั่วโมง เพราะรายได้เราก็ไม่เยอะมาก ยอมทำงานเยอะ ยอมประหยัด ถ้าไม่จวนตัวจริง ๆ เราจะไม่กู้หนี้ยืมสินกับใครนัก” การต้องทำงานถึง 12 ชม./วัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่ใช่เฉพาะกับโก่โซ แต่ยังหมายถึงแรงงานข้ามชาตินับล้านคนในประเทศไทยตอนนี้
รายได้ต่อเดือนของโก่โซอยู่ที่ ราว ๆ 15,000-18,000 บาท แต่เมื่อหักลบกับค่าใช้จ่าย เขาต้องบริหารเงินให้เหลือกินต่อเดือนเพียง 5,000 บาท เพราะค่าห้อง ค่าเน็ต รวมไปถึงเงินที่ต้องเก็บหอมรอมริบเพื่อใช้ในการต่ออายุการทำงานกว่า 20,000 บาท ไม่นับเงินสำหรับเหตุฉุกเฉินอย่างเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือต้องย้ายงาน เงินส่วนนี้เป็นเงินที่โก่โซอธิบายว่า ‘ไว้ให้เป็นเรื่องอนาคต’
“เรื่องการเก็บเงินสำหรับแรงงานก็พูดยาก มันไม่ใช่ว่าเราไม่อยากเก็บ แต่มันไม่เคยเหลือพอให้เก็บ ที่สำคัญคือนอกจากค่าใช้จ่ายที่มีในแต่ละเดือน แรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะแรงงานชาวพม่าถูกขูดรีดทุกทาง ทั้งจากคนไทย คนเมียนมา รวมไปถึงรัฐบาลเมียนมา อย่าว่าแต่เราจะเก็บเงินไว้ใช้สำหรับอนาคต แต่กับเรื่องอนาคตของชีวิตเรามองไม่ค่อยเห็น”
“แม้ชีวิตจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับแรงงานอย่างเรามันเป็นเรื่องยากเสมอ ชีวิตพวกเราเป็นแบบนั้น” โก่โซ กล่าว
‘นายหน้า’ ปัญหาเรื้อรังที่ยังไร้ทางออก
วันนั้น โก่โซไม่ได้ไปทำงาน เนื่องจากโรงงานหลอมทองเหลืองที่เขาทำงานอยู่หยุดพัก
ในวันหยุด โก่โซจะเริ่มใช้ชีวิตช้าลงด้วยการตื่นนอนเวลา 07.00 น. วันธรรมดาของโก่โซเริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงและกลิ่นผัดมาซาล่าที่ภรรยาของโก่โซกำลังปรุงอาหารเช้าให้กิน
ภรรยาของโก่โซ
“ตอนมาอยู่แรก ๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมทำงานอยู่แถวมหาชัย แต่ก็พยายามหางานที่จะสามารถได้เงินเยอะขึ้น ก็หาไปหามาจนได้มาเจองานที่แถบชลบุรี งานหนักขึ้นแต่ได้เงินเยอะกว่า”
การหางานของแรงงานข้ามชาติไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะแรงงานสมัครงานด้วยตนเองไม่ได้ แต่เพราะแรงงานข้ามชาติจำนวนมากไม่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาไทยได้ โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา แทบทุกคนจำเป็นจะต้องใช้บริการของนายหน้า
อย่างไรก็ตาม ระบบนายหน้ามีช่องโหว่ในตลาดที่มีแรงงานจำนวนมากจากหลายเชื้อชาติ หลายคนไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ ในขณะที่เมื่อข้ามมาประเทศไทยแล้วไม่รู้จักใคร ไม่รู้จะไปหางานที่ไหน และไม่รู้ต้องทำเอกสารอย่างไร จึงเกิดผู้คนที่เข้ามาหาผลประโยชน์
การเข้าหาของนายหน้ามีหลายรูปแบบ แรงงานหลายกลุ่มเลือกใช้บริการเดิมจากนายหน้าที่พาเข้ามาจากประเทศต้นทาง โรงงานหลายแห่งเลือกนายหน้าเข้ามาจัดการเอกสารให้กับแรงงานในทุกปี และหลายครั้งก็เกิดนายหน้าเถื่อน ที่เข้าหาแรงงานและบอกว่าจะช่วยจัดการเอกสารให้โดยเรียกเก็บเงินสูงกว่าความเป็นจริง ทว่า การจัดการกลับไม่เกิดขึ้นแต่ต้องสูญเงินไปเสียแล้ว
“การเข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้ามาจากระบบ MOU ระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ แต่แรงงานจะเข้ามาทำงานเองไม่ได้ ทุกคนต้องผ่านไปหานายหน้า เพราะก่อนจะมีทำงานในไทยได้คุณต้องเดินทางไปย่างกุ้งเพื่อทำพาสปอร์ต ต้องไปตรวจสุขภาพ ต้องไปเซ็นเอกสารอีกหลายอย่าง ซึ่งหลายคนไม่มีเงินมากพอที่จะเดินทางไปทำเอกสารทั้งหมดเพื่อมาทำงานในไทยได้ การเข้ามาทำงานผ่านนายจ้างจึงสะดวกกว่า” โก่โซ กล่าว
ค่าใช้จ่ายในการเข้ามาทำงานในประเทศไทยผ่านนายหน้าเมียนมา โก่โซ กล่าวว่า จะอยู่ที่ราว ๆ 3 ล้านจ๊าด หรือ 30,000 บาท โดยประมาณในราคานี้จะประกอบไปด้วยค่าทำพาสปอร์ต ค่าตรวจสุขภาพ ค่าเดินทางไปเซ็นเอกสาร ค่าเดินทางเพื่อเข้ามาทำงานในประเทศไทย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ราคานี้เป็นเพียงราคาเบื้องต้น ซึ่งก็มีแรงงานชาวเมียนมาหลายคนถูกเรียกเก็บมากกว่านี้
โก่โซเล่าว่า แม้รู้ว่าเงินจำนวนนี้จะไม่ใช่จำนวนที่แท้จริง นายหน้ามีการเก็บมากกว่าที่เขาจำเป็นจะต้องจ่าย แต่สำหรับแรงงานที่ต้องการเข้ามาทำงานในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือก หลายคนจำเป็นจะต้องขายสินทรัพย์ที่ตัวเองมีเพื่อหวังว่าจะสามารถหาเงินที่มากกว่าที่เสียไปในประเทศไทย
“แม้ว่าเขาจะเรียกเงินเรามาก แต่เราก็เต็มใจจ่าย และเราไม่สามารถเรียกร้องกับหน่วยงานใดได้เลยเพราะมันไม่กฎหมายระบุไว้ว่าพวกเขาผิดตรงไหน กลายเป็นว่าเราเต็มใจจ่าย เราเต็มใจโดนหลอก แต่ถึงอย่างนั้น แรงงานชาวพม่าก็ไม่สามารถขาดนายหน้าได้เลย มันกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่จบไม่สิ้น เพราะเมื่อไม่มีเขาแรงงานจำนวนมากก็ไม่รู้ว่าจะเข้ามาทำงานยังไง แต่พอมีพวกเขาก็อาศัยช่องโหว่ที่ต้องพึ่งพาพวกเขาแล้วเรียกเงินเยอะ ๆ จากพวกเรา”
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ตาม มติครม. ที่มีการเปิดลงทะเบียนกลุ่มคนต่างด้าวและต่ออายุกลุ่มแรงงานต่างด้าวเดิม แม้จะมีการเปิดลงทะเบียนให้กลุ่มแรงงานกลุ่มใหม่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพื่อทดแทนความต้องการของแรงงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และบรรเทาสถานการณ์และผลกระทบจากความไม่สงบในประเทศเมียนมา
ทว่า กลไกในการต่ออายุแรงงานข้ามชาติกลุ่มเดิมนั้นกลับมีความยุ่งยาก วกวน และซ้ำซ้อน จนกลายเป็นการผลักให้แรงงานข้ามชาติหลายคนอาจจะหลุดจากสถานะแรงงานตามกฎหมายไป
แม้ว่าก่อนหน้าจะมีความกังวล เนื่องจากครม. มีมติให้แรงงานกว่า 2.4 ล้านคน ลงทะเบียนให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ภายหลังมีการอนุโลมให้ขยายอายุอยู่ต่อได้ถึงเดือนธันวาคม 2568
จากมติเดิมเมื่อปี 2566 ที่ระบบการต่ออายุแรงงานจะมีเพียง 6 ขั้นตอน แต่จากมติครม. เมื่อกันยายน 2567 กลับเพิ่มขึ้นเป็น 9 ขั้นตอน โดยเฉพาะขั้นตอนที่ต้องให้แรงงานไปเซ็นเอกสารที่สถานฑูตเมียนมาด้วยตัวเอง โดยทั่วประเทศมีสถานฑูตที่ดำเนินการขั้นตอนนี้อยู่ 3 แห่งคือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และระนอง เพื่ออนุมัติเนมลิสต์ในการทำงานต่อ
ข้อบังคับนี้สร้างภาระให้กับแรงงานจำนวนมาก เนื่องจากแรงงานไม่สามารถเสียเวลานับวันเพื่อเดินทางไปเซ็นเอกสารเพียงอย่างเดียว อีกทั้งต้องเดินทางข้ามจังหวัด
จุดนี้เองคือช่องโหว่ใหญ่ของมติครม. กันยายน 2567 ที่สร้างผลกระทบต่อแรงงานและนายจ้างอย่างมาก ทำให้ไม่ว่ายังไงก็ตาม แรงงานจำเป็นต้องพึ่งพานายหน้าในการจัดการให้
โดยการต่ออายุแรงงานเดิม หากนายจ้างไปทำเองจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 9,270 บาท แต่ราคาที่ปรับเพิ่มเป็น 9 ขั้นจะตกอยู่ที่ 21,700 บาทขึ้นไป หากทำกับนายหน้าหรือบนจ. (บริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทย) ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
นี่เป็นเพียงราคาขั้นต่ำจากกระบวนการที่เพิ่มมากขึ้น อย่างตัวโก่โซเองก็กล่าวว่าค่าดำเนินการต่ออายุแรงงานของเขาในรอบนี้ เขาเสียเงินเป็นจำนวน 20,000 กว่าบาท แต่จนถึงตอนนี้เอกสารยังไม่เสร็จสิ้น
“อย่างเราไม่ได้ไปเองเพราะมันไปไม่ได้ เราไม่มีรถและเราก็อ่านเอกสารภาษาไทยไม่ออก ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องพึ่งพานายหน้า ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือหลายครั้งนายหน้าเหล่านี้ก็เป็นคนเมียนมาเองนี่แหละที่ทำร้าย หากิน กับคนชาติเดียวกัน” โก่โซ กล่าวเสริมว่านายหน้ากว่า 70% เป็นคนไม่ดี แต่ถึงรู้ก็ทำอะไรไม่ได้
นายหน้าไม่เพียงแต่จะอยู่ในกระบวนการขูดรีดของการขึ้นทะเบียนและต่ออายุกับหน่วยงานภาครัฐ นายหน้าเหล่านี้ใช้ช่องโหว่ของความไม่รู้ของแรงงาน หลอกลวง แทบทุกกระบวนการของการดำเนินงานด้านเอกสารของแรงงานชาวเมียนมา
โก่โซเล่าว่า นายหน้าชาวเมียนมาที่หลอกลวงคนชาติเดียวกันเอง หากินกันง่ายเกินไป ในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน มีหลายคนที่ไม่รู้เรื่องราวด้านเอกสารมากนัก นายหน้าเรียกให้จ่ายเท่าไหร่ก็ยอมไปจ่ายไป ทั้ง ๆ การดำเนินการหลายรายการไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ
“เราก็เคยโดนหลอก อย่างตอนเราจะเปลี่ยนงานจากมหาชัยมาชลบุรี เราก็ถามว่านี่มันคืออะไร เขาตอบว่าเป็นค่าเปลี่ยนงานที่แรงงานข้ามชาติต้องไปดำเนินการแบบเอกสารเพื่อแจ้งทางการไทย ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีจริง มันก็ขึ้นชื่อเราอยู่แล้วเมื่อเราย้ายไปอยู่กับนายจ้างคนใหม่ เหมือนเราต้องจ่ายเพื่อให้เราได้งาน ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลย”
ในครั้งนั้น โก่โซต้องจ่ายเงินค่าเปลี่ยนนายจ้างที่ไม่มีอยู่จริงเป็นเงิน 27,000 บาท
กรณีค่าสมัครงาน-ค่าเปลี่ยนงานนั้น กลุ่มพี่น้องแรงงานของโก่โซก็โดนด้วย โดยนายหน้าเรียกเก็บเงินมัดจำจากกลุ่มแรงงาน 13 คน เป็นจำนวนคนละ 3,000 บาท แต่แล้วก็เงียบหาย
แต่มีเหตุการณ์สลิปที่น่าสนใจ โก่โซเปิดโทรศัพท์โชว์สลิปเงินจำนวน 15,000 เป็นหนึ่งในสลิปที่แรงงานใช้บริการนายหน้าในการจัดการเอกสารทำงานในประเทศไทย
สลิปเงินจำนวน 15,000 ที่แรงงานจ่ายให้กับนายหน้าเถื่อนชาวเมียนมา แต่ปรากฏชื่อบัญชีของคนไทย
แม้นายหน้าที่เข้ามาจะเป็นคนเมียนมา แต่สลิปเงินดังกล่าวกลับปรากฏชื่อคนไทย แม้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกลุ่มคนไทยที่อยู่เบื้องหลังหรือเป็นเพียงบัญชีม้า ทว่า การปรากฏชื่อของบัญชีคนไทยสามารถเชื่อมโยงได้ถึงความเป็นเครือข่ายของการหลอกลวงแรงงานและผลักสถานะให้เป็นแรงงานนอกกฎหมาย
ปัญหาที่ยังไร้ซึ่งทางออก โก่โซเล่าต่อว่า นอกจากแรงงานข้ามชาติจะต้องพึ่งพาบริการของนายหน้าเหล่านี้ โรงงานหลายแห่งยังบังคับในการดำเนินการด้านเอกสารต่างด้วยบริการของนายหน้าเหล่านี้เช่นเดียวกัน
“มันง่ายต่อโรงงาน แต่สำหรับพวกเรามันเหมือนถูกบังคับให้โดนหลอก โรงงานก็อาจจะมองว่ามันง่ายต่อพวกเขาในการจัดการเอกสารของแรงงาน แต่เอาเข้าจริงโรงงานอาจจะต้องจ่ายแพงขึ้นด้วยซ้ำจากเงินส่วนแบ่งที่นายหน้าเหล่านี้เรียกเก็บจากโรงงาน เราอยากให้โรงงานเลือกนายหน้าที่มีคุณภาพเข้ามาทำเอกสารให้กับเรา”
โก่โซ เล่าเสริมว่า มีหลายครั้งเช่นกันที่แรงงานกังวลกับการดำเนินการด้านเอกสาร เพราะการใช้บริการนายหน้าเหล่านี้จำเป็นต้องให้เอกสารประจำตัวทั้งหมดกับนายหน้าไปดำเนินการ มีหลายคนเหมือนกันที่ถูกขโมยเอกสารประจำตัวไปและไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ ซ้ำร้าย รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนเถื่อนหลบเข้าประเทศทั้ง ๆ ที่เข้ามาอยู่ถูกต้องตามกฎหมาย
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีนายหน้า ซึ่งเราก็เห็นว่านายหน้าอำนวยความสะดวกให้กับแรงงานจำนวนมากที่ไม่มีความรู้ด้านเอกสาร ด้านกฎหมาย และไม่สามารถเดินทางไปจัดการด้วยตัวเองได้ แต่จะทำอย่างไรให้ปิดช่องโหว่ของการขูดรีดได้ นี่เป็นคำถามที่เราอยากถามรัฐบาลเหมือนกัน”
“ซึ่งเราอยากจะเรียกร้องให้เหลือการดำเนินการต่ออายุและขึ้นทะเบียนเพียง บัตรชมพู (บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย) ทั้งหมดจะถูกจัดการให้เป็นครั้งเดียวจบ (one stop service) แล้วเราจะเงินให้กับภาครัฐของไทยโดยตรง ไม่ต้องจ่ายให้กลุ่มที่ต้องการหาผลประโยชน์กับแรงงานและไม่ได้นำเงินเหล่านี้ไปพัฒนาชีวิตของเราเลย” โก่โซ กล่าว
จะเห็นได้ว่าการขูดรีดของแรงงานชาวเมียนมาในประเทศไทยไม่ได้กลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว กลุ่มนายหน้าที่เข้ามาหาผลประโยชน์กับแรงงานข้ามชาติก็เป็นกลุ่มที่หลากหลาย โดยอ้างอิงจากคำบอกเล่าของโก่โซ การดำเนินการเหล่านี้ไม่สามารถทำได้โดยชาวเมียนมาเพียงลำพังหากปราศจากคนไทยช่วยเหลือ โดยเฉพาะช่องโหว่ที่ภาครัฐเปิดทิ้งไว้
การขูดรีดแรงงานชาวเมียนมาทำให้เราเห็นเมียนมาเทาและไทยเทา และนำไปสู่การตั้งคำถามว่าราชการของไทย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเทา ๆ นี้ด้วยหรือไม่?
ไทยเทาในคราบราชการ กลไกที่ยิ่งผลักให้แรงงานเพื่อนบ้านกลายเป็น ‘คนเถื่อน’
จากปัญหาความยุ่งยากในการดำเนินการเพื่อให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในประเทศนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เพียงตัวแรงงาน แต่ยังหมายถึงนายจ้าง และนายหน้าหรือบริษัทนำเข้าคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศอีกหลายเจ้าที่ต้องการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ด้วยช่องโหว่ของโครงสร้างในปัจจุบัน สิริกร วรปัญญา ผู้จัดการบริหารบริษัท ฯ อี.เอ็ม.เอส.เลเบอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินงานเป็นบริษัทนำเข้าคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทย (บนจ.) กล่าวว่า ด้วยกระบวนการที่เป็นอยู่ ทั้งในปัจจุบันและในอดีตก็ตาม ระบบราชการของไทยมีช่องโหว่ที่ไม่ว่ายังไงคนในสายธุรกิจนี้ต้องยอมโดนขูดรีดเพื่อให้ดำเนินการได้ และบนจ. หรือนายหน้าที่อยากดำเนินการอย่างสุจริตก็จำเป็นจะต้องไปหักลบค่าใช้จ่ายกับแรงงานหรือนายจ้างอีกทอดหนึ่ง
สิริกร วรปัญญา ผู้จัดการบริหารบริษัท ฯ อี.เอ็ม.เอส.เลเบอร์ จำกัด
“เราไม่ได้อยากจะเรียกค่าใช้จ่ายเพิ่มมาก แต่ในเมื่อเราทำธุรกิจเราก็ต้องหักลบกับผลประกอบการของเรา แต่ความเป็นจริงคือในการดำเนินงานในขั้นตอนการส่งต่อเอกสารกับหน่วยงานรัฐมีการเรียกค่าใช้จ่ายเพิ่มและเราก็ต้องคำนวณในส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายกับลูกค้าของเรา เราทำธุรกิจนี้มานาน เข้าใจว่ามีคนมองธุรกิจของเราในแง่ลบ แต่ทั้งหมดมันเหมือนเราเป็นแพะรับบาปทั้ง ๆ ที่เราก็เป็นผู้ถูกขูดรีดเหมือนกัน” สิริกร กล่าว
ในฐานะที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้นับ 10 ปี การดำเนินงานโดยนายหน้าเป็นส่วนที่ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินการย่อมแพงกว่าค่าใช้จ่ายเมื่อไปทำเอง เนื่องจากบริษัทที่เป็นตัวแทนในการดำเนินการนั้นต้องรวมค่าดำเนินการด้วย
สิริกร อธิบายค่าใช้จ่ายในการต่ออายุแรงงานชาวเมียนมารอบล่าสุดไว้ว่า “กลุ่มต่ออายุจริง ๆ ค่าธรรมเนียมมัน 3,000 กว่าบาท มีค่าวีซ่า 500 มีค่า Work Permit 1,900 มีค่าตรวจสุขภาพ 500 ค่าประกัน สุขภาพ 990 รวม ๆ แล้วมันประมาณ 3,900 บาท แต่ทุกวันนี้มันจะมีค่าใช้จ่ายแฝง รวมค่าบริการของบริษัทบนจ.ด้วย เราก็จะเก็บค่าบริการราว 8,000-10,000
อันนี้ไม่รวมค่าเดินทาง เป็นค่าใช้จ่ายเพียว ๆ พอจะเข้าไปทำหนังสือเดินทางมันขึ้นไป 6-7 พันบาทแล้ว นั่นหมายความว่าจะมีค่าใช้จ่าย ต่อคนจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 20,000 บาท”
สิริกรเล่าว่า ในช่วงยุคหลังประมาณ 2554-2557 การทำงานกับแรงงานข้ามชาติมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เงินส่วนต่าง ที่ต้องจ่ายมากกว่าค่าดำเนินการตามปกติก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ค่าดำเนินการส่วนต่างนี้กลายเป็นหนึ่งในราคาที่ต้องนำไปคิดรวมในค่าใช้จ่ายทั้งหมด และเกิดเป็นกระบวนการคิวผี
“ในทุกกระบวนการของการดำเนินงานต่อแรงงานข้ามชาติเราต้องประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งหลังจากรวบรวมเอกสารต่าง ๆ จากแรงงานแล้วเราต้องดำเนินการจองคิวในแต่ละรอบเพราะเอกสารของแรงงานมีจำนวนมาก ไม่สามารถที่จะเข้าไปโดยไม่นัดหมายล่วงหน้าเพราะจะทำให้ล่าช้าไปกว่าเดิม”
“แต่คิวผีมันคือการที่เราจองคิวแล้ว แต่พอไปถึงกลับไม่ได้คิวในการจัดการเอกสาร แล้วก็จะมีคนมาคุยด้วยแล้วบอกว่า อาจจะต้องมีค่าดำเนินการพิเศษเพื่อให้คิวในการดำเนินงานอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็น่าแปลกเพราะคิวในการจัดเอกสารกับภาครัฐเราลงทะเบียนตามระบบที่คุณวางไว้ แต่พอมาถึงหน้างานกลับบอกว่าต้องจ่ายเพิ่มกับเจ้าหน้าที่รัฐ มันกลายเป็นเงินส่วนต่าง เงินพิเศษ ที่เราต้องจ่าย เพราะเราก็มีลูกค้าที่รอการทำงานของเราอยู่”
“แต่จะบอกว่าเป็นเงินส่วนต่างเพื่อที่จะให้เอกสารถูกจัดการอย่างรวดเร็วก็ไม่ถูก เราทั้งเคยเห็นแล้วก็เคยโดนเมื่อเราไม่จ่ายค่าดำเนินการในส่วนนี้ให้กับเขา มันกลายเป็นว่าการดำเนินงานต่าง ๆ ถูกหยุดชะงักไปเลยไม่ใช่แค่ไม่เร็ว แล้วเรามีลูกค้าที่เขาต้องการจะทำงานและได้คนงานอยู่เป็นหลักร้อยคนพันคน กลายเป็นว่าที่ผ่านมาเราต้องจ่ายเพื่อให้ธุรกิจเราดำเนินไปด้วย ลูกค้าที่มาติดต่อผ่านเราทำงานได้ด้วย ให้ลูกน้องของเรายังมีเงินเดือนด้วย มันก็เป็นวงจรแบบนี้มาสักระยะแล้ว”
“คือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่เท่าเดิม แต่มันมีคนที่เห็นประโยชน์จากกระบวนการนี้มากขึ้น และก็ร่วมกันเข้ามารุมกินโต๊ะ”“ที่ผ่านมาเวลาเรา ทำงานเรื่องเอกสาร อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในไทยได้อย่างถูกกฎหมาย กระบวนการที่ผ่านมามันไม่ได้สลับซับซ้อน ก็ไม่ค่อยมีเรื่องของการเรียกรับเงินเท่าไหร่ แต่การที่กระบวนการมันยุ่งยากไปหมดแบบนี้ มันก็มาพร้อมกับการต้องจ่ายเพื่อขอความสะดวก มันก็จะเกิดกระบวนการที่จะต้องมาจ่ายเงินเยอะแยะไปหมด เพราะว่ายิ่งทำให้มันลำบากมันก็เป็นช่องสำหรับการเรียกรับเงิน” สิริกร กล่าว
เมื่อโยงไปถึงระบบของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย สิริกรมองว่า ปัจจุบันภาครัฐกำลังทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก และทิ้งช่องโหว่ไว้ให้แรงงานชาวเมียนมาจำนวน 2.4 ล้านคนกลายเป็นแรงงานนอกกฎหมาย เพราะไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้
“จากมติครม. ที่ผ่านมา กลุ่มที่มีปัญหาจะไม่ใช่แรงงานกลุ่มใหม่ ทั้งที่จะเข้ามาและให้จดทะเบียนใหม่ แต่กลับกลายเป็นแรงงานกลุ่มเดิมที่หมดอายุจากการต่อสัญญารอบล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งมันน่าแปลกใจว่าแรงงานกลุ่มนี้เขามาทำงานในประเทศไทยได้หลักปีแล้ว คุณมีข้อมูลของพวกเขา มันเหมือนเรารู้จักกันแล้ว แต่ภาครัฐกลับไม่ใส่ใจพวกเขาซึ่งดูได้จากมาตรการที่ออกมา กลับกลายเป็นผลักพวกเขาให้ไปไหนก็ไม่รู้”
สิริกร กล่าวถึงความกังวลนี้ว่า ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยกำลังต้องการแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ เข้ามาช่วยอุดรอยโหว่ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่คนไทยไม่ได้ทำและเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพใหญ่ของประเทศ
“แรงงานเหล่านี้เข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมหนักทั้งหมด ซึ่งจะเป็นงานในลักษณะที่เรียกว่า 3D คือ Difficult-Dirty-Dangerous ซึ่งประเภทงานเหล่านี้คนไทยไม่ทำ
หากวันนี้เราไม่จัดการกับระบบเพื่อรองรับแรงงานเข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมแบบนี้ ประเทศไทยอาจจะต้องพบเจอกับสภาวะขาดแคลนแรงงานครั้งที่หนักมาก ๆ เพราะโรงงานพวกนี้เกิดขึ้นแล้วและตั้งอยู่บนประเทศไทย หากเราไม่สามารถป้อนคนงานเข้าไปในระบบเพื่อรองรับโรงงานเหล่านี้ วันหนึ่งอาจเกิดเหตุการณ์ที่พวกเขาต้องนำแรงงานเข้ามาแบบผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศและถึงวันนั้นอาจจะทำอะไรสายไปเสียแล้ว”
แรงงานที่เจริญสินธานี คือภาพฉายของแรงงานกลุ่มดังกล่าว ทั้งโก่โซที่อยู่ในโรงงานหลอมทองเหลือง รวมไปถึงคนอื่น ๆ ที่ทำงานในโรงงานประเภทเดียวกัน หากวันนี้รัฐไม่เอื้อให้พวกเขาอยู่ในระบบ เมื่อปัญหาลุกลามขึ้นจนไม่สามารถควบคุมห่วงโซ่ของแรงงานข้ามชาติได้ และผลักให้แรงงานหลุดจากระบบ
หากถึงวันนั้น หน่วยงานภาครัฐของไทยที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติอาจถูกตั้งคำถามว่าเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการค้ามนุษย์ด้วยเช่นกัน
นอกจากอคติทางเชื้อชาติที่สังคมรวมไปถึงภาครัฐเอง มองว่าแรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานไม่มีทักษะ สิริกรเน้นย้ำว่า ภาครัฐต้องมองเรื่องใหม่และจัดการให้พวกเขาอยู่ในระบบ ให้สวัสดิการพวกเขา และใช้ประโยชน์จากพวกเขาในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมมากกว่าหาผลประโยชน์จากพวกเขาโดยเข้ากระเป๋าคนเพียงไม่กี่คน
“หากภาครัฐโปร่งใส มันจะทำให้การทำงานของทุกฝ่ายราบรื่นมากขึ้น เราจะได้แรงงานที่อยากมาทำงานในประเทศ และตลาดในประเทศไทยจะไม่ขาดแรงงาน นี่คือความวิน-วินของทุกฝ่าย” สิริกร กล่าว
ไทยเทาในคราบราชการ คือความไม่โปร่งใสที่บดบังการพัฒนาเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไข อัตราการเกิดใหม่น้อยลง สวนทางกับอัตราผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้สังคมไทยวันนี้ขาดแคลนวัยแรงงานและจำเป็นจำต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติเป็นทรัพยากรมนุษย์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
หนีตายข้ามพรมแดน ‘ไม่อยากรับใช้เผด็จการเมียนมา’
หนึ่งในพี่น้องแรงงานของโก่โซ สลักตรารัฐยะไข่ไว้บนแขน บทสนทนาสั้น ๆ ผ่านรอยสักที่เขาบอกว่า ‘ฉันภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนยะไข่’
หนึ่งในพี่น้องแรงงานของโก่โซ สลักตรารัฐยะไข่ไว้บนแขน
ช่วงวันหยุดโก่โซจะเรี่ยไรเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติที่ยังต่อสู้กับเผด็จการทหารอยู่ ช่วงวันหยุดโก่โซจะเรี่ยไรเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติที่ยังต่อสู้กับเผด็จการทหารอยู่
รัฐประหารเมียนมาคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชากรเมียนมามุ่งเข้าสู่ประเทศไทยในช่วง 4 ปีให้หลัง โดยเฉพาะขวบปีที่ผ่านมา แม้ว่ากองกำลังของรัฐบาลทหารเมียนมานั้นจะถูกยึดพื้นที่คืนไปโดยส่วนมาก แต่ยังเกิดสถานการณ์การเกณฑ์ประชาชนเข้าร่วมกองทัพ
โก่โซ กล่าวว่า รัฐบาลทหารของเมียนมานั้นไม่เพียงแต่จะใช้ประชาชนในประเทศเพื่อก่อสงครามให้เข่นฆ่าพี่น้องร่วมชาติเพียงอย่างเดียว แต่แรงงานชาวเมียนมาก็ยังถูกขูดรีด เพื่อนำเม็ดเงินที่พวกเขาทำงานอย่างยากลำบากไปซื้ออาวุธเพื่อใช้ในสงครามกลางเมืองด้วย
“มันคือความเจ็บปวดที่พวกเรายากจะรับไหว เราหนีมาเพราะเราแสวงหาโอกาสและไม่อยากรับใช้เผด็จการเมียนมา แต่กลายเป็นว่าพวกเรายังต้องถูกนำเงินที่พวกเราหามาไปให้รัฐบาลทหารอีก” โก่โซ กล่าว
วีระ แสงทอง เครือข่าย Bright Future เล่าถึงการขูดรีดจากรัฐบาลทหารเมียนมาต่อพี่น้องแรงงานชาวเมียนมาว่า ผลพวงจากการรัฐประหารทำให้เกิดการเปลี่ยนรายละเอียดในเอกสารการทำงานของพี่น้องแรงงาน ซึ่งมีการหักเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือน รวมไปถึงมีการหักเงินจากเม็ดเงินที่ส่งกลับไปที่บ้านผ่านบัญชีที่ต้องเปิดเมื่อจะเข้ามาทำงานในประเทศไทย
วีระ แสงทอง เครือข่าย Bright Future
ปัญหาประการแรกคือ สมุดเล่มเขียวหรือสมุด CI (Certificate of Identity) วีระยังกล่าวว่า ค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารสมุดเล่มเขียวนี้ถูกหักเงินเป็นจำนวน 25% เพื่อนำไปซื้ออาวุธให้กับกองทัพ โดยสถานฑูตจะส่งเงินกลับไปยังกองทัพและซื้ออาวุธในการทำสงคราม
ปัญหาอย่างที่สอง นอกจากนี้ กฎข้อบังคับของรัฐบาลทหารเมียนมาภายใต้การนำของ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ให้แรงงานชาวเมียนมาซึ่งมาทำงานในประเทศไทย ต้องโอนเงินรายได้อย่างน้อย 1 ใน 4 หรือ 25% กลับบ้าน เข้าบัญชีสมาชิกในครอบครัว ผ่านระบบธนาคารของประเทศ
อ้างอิงจากประกาศของกระทรวงแรงงานของเมียนมา ออกแถลงการณ์ว่า แรงงานชาวเมียนมาซึ่งไปทำงานในประเทศไทย ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ซึ่งวาระจ้างงานครบ 4 ปี ต้องโอนเงินรายได้อย่างน้อย 25% ของรายได้ ซึ่งเป็นเงินสกุลต่างประเทศ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเข้าบัญชีสมาชิกในครอบครัว ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ของเมียนมา ซึ่งได้การรับรองจากรัฐบาลเมียนมา หากต้องการจะต่อใบอนุญาตทำงานแบบถูกกฎหมาย หลังจากครบวาระสัญญาจ้าง ทำงานในประเทศไทย 4 ปี
กระทรวงแรงงานของเมียนมา ยังแจ้งว่า แรงงานชาวเมียนมาจะไม่ได้รับการต่อใบอนุญาตทำงานในไทยเป็นเวลา 2 ปี ถ้าไม่โอนเงิน 6,000 บาท หรือ 25% ผ่านระบบธนาคาร ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลเมียนมา เช่นกัน
พาสปอร์ตของชาวเมียนมา
“ในการมาทำงานที่ไทยนั้น แรงงานเมียนมาจะต้องมีเล่มแดงหรือพาสปอร์ต และในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ ก็ได้เกิดสมุดเล่มเขียวเพื่อที่จะมายืนยันตัวตนเราอีกที แต่เงินจากการทำเอกสารของทางการเมียนมาทั้ง 2 ชิ้นนี้ กลับถูกนำไปซื้ออาวุธเพื่อทำสงครามกับประชาชนชาวพม่า เราจึงอยากจะให้ทางการไทยใช้เพียงบัตรชมพูหรือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ในการรับรองสถานภาพแรงงานของชาวพม่าแทน
อย่างน้อยที่สุด เงินในการทำเอกสารตรงนี้ก็ได้ไปหมุนเข้าสู่ประเทศไทย ไม่ใช่ให้รัฐบาลทหารไปสังหารพี่น้องของเรา” วีระ กล่าว
วีระ ในฐานะที่เป็นผู้ประสานช่วยเหลือพี่น้องแรงงานชาวเมียนมาด้วย กล่าวอีกว่า ปัญหาข้อที่สาม มีการพบว่าเงินเดือนของแรงงานหลายคน ถูกหักเป็นจำนวน 2% ของเงินเดือน โดยมีเอกสารการรับรองการหักเงินจากทางการเมียนมา ข้อกังวลของการหักเงินเหล่านี้คือเมื่อเทียบกับแรงงานชาวเมียนมาในประเทศไทยนั้น อาจคิดเป็นเงินหลายร้อยล้านเพื่อใช้ในการก่อสงคราม โดยดำเนินการทั้งการออกประกาศเชิงขู่บังคับที่จะนำตัวกลับประเทศต้นทางและการเก็บเงินจากเงินเดือนของแรงงานชาวเมียนมา
“อย่างของเครือข่ายที่เราไปเจอมาถูกหักเป็นเงินจำนวน 150 บาท ซึ่งอาจจะดูไม่เยอะมาก แต่เมื่อรวมกับแรงงานทั้งประเทศ และนำมาคิดเป็นต่อเดือน ต่อปี นี่คือเงินจำนวนหลักร้อยล้านหรือพันล้าน นี่คือสิ่งที่เราคิดว่ารัฐบาลเมียนมากำลังขูดรีดประชาชนและนำไปสังหารพี่น้องของเรา”
ใบเสร็จหักเงินเดือน 2% ที่ส่งให้กับสถานฑูตเมียนมา ที่วีระได้รับมาจากพี่น้องแรงงานที่มาร้องเรียน
วีระตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การออกข้อบังคับสำหรับการหักเงิน 2% จากเงินเดือนถูกระบุไว้ในสัญญาฉบับใด ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าถูกระบุไว้เพิ่มเติมเมื่อการต่ออายุหรือการเข้ามาทำงานในประเทศไทยนั้นต้องทำเอกสารร่วมกับสถานฑูตเมียนมาด้วย โดยแรงงานจะไม่ได้รับเอกสารใด ๆ กลับคืนมา จึงไม่รู้ว่าสัญญาเลือดนี้เกิดขึ้น ณ จุดใด
ทำให้ข้อเสนอของวีระ รวมถึงโก่โซ อยากให้ทางการไทยกลับไปใช้บัตรชมพู (บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย) เพียงใบเดียว ซึ่งจะทำให้การดำเนินการเอกสารลดลงและตัดทอนเงินที่จะเปื้อนเลือดผ่านการสังหารประชาชนจากรัฐบาลทหารเมียนมาด้วย
“ข้อเสนอเรื่องบัตรชมพูคือเพื่อให้เม็ดเงินที่เราหามาได้ ถูกส่งคืนแก่ทางการไทยด้วย พี่น้องแรงงานแทบจะทั้งหมดยินดีที่จะเสียเงิน เสียภาษีให้กับประเทศไทย เพราะเราก็เข้ามาหาโอกาสในประเทศนี้ เราอยากขอให้รัฐบาลไทยไม่จับมือกับรัฐบาลเผด็จการเมียนมาในการเข่นฆ่าประชาชน พวกเราข้ามมาที่ไทยเพื่อหา ‘ความหวัง’ และอย่าพรากมันไปจากพวกเราอีกครั้งเหมือนที่ที่พวกเราโยกย้ายมา” วีระ กล่าว
วีระเองก็สักรูปอองซานซูจีหรือที่เขาเรียกว่า ‘แม่อองซาน’ เพื่อระลึกถึงช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยเคยเบ่งบานในเมียนมา
และเฝ้ารอวันนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง
ภายใต้อคติรัฐชาติ เราต่างเป็นมนุษย์ที่มีฝันเหมือนกัน
“ไม่เคยไปเลย วันหยุดส่วนใหญ่ก็นอนพักผ่อน หรือเรี่ยไรเงินไปช่วยคนที่ยังสู้อยู่”
โก่โซเล่าว่าแม้ตัวเขาจะมาทำงานที่ชลบุรีแต่ก็ไม่เคยไปเที่ยวหาดใดในจังหวัดแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากจะเดินทางต้องมีรถซึ่งเขามีเพียงมอเตอร์ไซค์ รวมถึงเพื่อนพี่น้องของเขาก็ไม่กล้าออกไปข้างนอกไกล ๆ หลายคนกลัวว่าจะถูกตำรวจยัดข้อหาในฐานะเป็นแรงงานชาวเมียนมา
โก่โซ เล่าต่อว่า “บ้านเรามันเป็นนา ถ้าคิดถึงบ้านก็มองทุ่งแถวนี้ แต่บางคนที่บ้านติดแม่น้ำ ติดทะเล ทำอาชีพประมง ก็เห็นว่าอยากไปเหมือนกันแต่ไม่กล้า”
แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศบัญญัติว่า ประเทศเมียนมา มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า หรือ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา แต่พี่น้องกลุ่มโก่โซคนหนึ่งบอกกับเราว่า อยากให้เรียกพวกเขาว่า คนพม่า มากกว่า
“คนไทยหลายคนจะเข้าใจว่าพม่าเป็นคำไม่เพราะ ต้องเรียกว่าเมียนมาซึ่งดูทางการกว่า
แต่สำหรับเรา เมียนมา (Myanmar) เป็นคำที่พึ่งถูกตั้งโดยรัฐบาลทหาร แต่ก่อนเราคือพม่า (Burma) หรือคนพม่า (Burmese) ซึ่งพอปัจจุบันคนไทยเรียกเราว่าคนเมียนมา มันเหมือนเราถูกเหมารวมไปกับรัฐบาลมิน อ่อง หล่าย เราเป็นส่วนหนึ่งกับคนที่ฆ่าพี่น้องเรา แต่เราไม่ใช่ เราคือประชาชนพม่าที่อยากเห็นพม่ารุ่งเรืองอีกครั้ง” วีระ แปลให้เราฟังพร้อมกับพี่น้องกลุ่มโก่โซพยักหน้าหงึก ๆ กันหลายคนในบทสนทนาครั้งนั้น
เวลา 17.00 น. รถบัสหลายคันเริ่มเข้าเทียบลานจอดรถอีกครั้ง ตลาดที่เงียบไประหว่างวันกลับมาคึกคัก ร้านขายหมากเต็มไปด้วยวัยรุ่นที่แต่งตัวพร้อมจะดวลแข้งตะกร้อกัน ในสนามตะกร้อนั้นเองจะพบว่ามีเยาวชนอยู่จำนวนหนึ่ง หลายคนเป็นเด็กที่เกิดในประเทศไทยแต่ยังไม่สามารถทำงานได้ หลายคนมีโอกาสได้เข้าเรียนการศึกษานอกระบบ หลายคนกำลังอุ้มน้องที่ยังแบเบาะที่ไม่ได้รับสวัสดิการเด็กเล็กของประเทศไทย
ลูกชายของโก่โซคือหนึ่งในนั้น ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โก่โซควักเงินบวกกับกู้ยืมเพื่อน ๆ กว่า 15,000 บาท เพื่อพาลูกชายมาอยู่ด้วยกันหลังจากก่อนหน้าไม่กี่เดือนที่เขาต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อพาภรรยาของเขามาเช่นกัน
“อย่างพวกเราไปกู้ยืมก็ยืมคนรู้จักนี่แหละ บางทีก็เอาพาสปอร์ตไปวางไว้ คือเหมือนให้หลักประกันว่าเดี๋ยวมาไถ่คืนแน่ ๆ ”
“ระหว่างที่เราอยู่ช่วงแรก ๆ เราเป็นห่วงที่บ้านมาก เราเป็นห่วงภรรยากับลูก ซึ่งมันก็เป็นทั้งความเสียใจและกำลังใจของคนที่ทำงานไกลบ้าน แต่เพราะสถานการณ์ช่วงหลังยังไม่ดีขึ้น ยังมีการทิ้งระเบิด มีเรียกเกณฑ์ทหารทั้งชายหญิง เราก็เลยรู้สึกว่าให้พวกเขาอยู่ที่บ้านไม่ได้แล้ว ถึงที่นี่จะไม่สบาย แต่ก็ไม่ตาย” โก่โซ กล่าว
ห้องของโก่โซ
ภายในห้องขนาด 28 ตร.ม. มีข้าวของเรียงรายและตกแต่งด้วยธงและรูปภาพที่สื่อถึงประชาธิปไตยในเมียนมา
ปัจจุบันโก่โซอยู่กับพี่น้องร่วมชาติอีก 5 คน รวมลูกและภรรยาแล้ว ห้องนั้นบรรจุคนไว้ด้วยกันทั้งหมด 7 คนในทุกค่ำคืน
แทบทุกห้องของแรงงานชาวพม่าในเจริญสินธานีจะมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ โก่โซ เล่าว่า การได้สวดมนต์ไหว้พระเป็นเหมือนเครื่องชุบชูจิตวิญญานในแต่ละวันให้ผ่านพ้นไปได้
“ในมุมหนึ่งมันเหมือนเราได้ใกล้ชิดกับที่บ้านมากขึ้น คนพม่าทุกคนจะยึดโยงกับศาสนา เราไปเข้าวัด ทำบุญ ไปเที่ยววัดกันบ่อย การได้สวดมนต์ที่นี่ทำให้เรารู้สึกใกล้ที่บ้านมากขึ้น”
“แต่เอาจริง ๆ เราก็เน้นสวดมนต์ขอพร ภาวนา ให้เรายังมีความหวังในทุก ๆ วัน” โก่โซ กล่าว
ข้าวโรยน้ำตาลเป็นหนึ่งในภัตตาหารที่ใช้ถวายพระพุทธรูป โก่โซกล่าวว่า เป็นเพียงการเพิ่มรสชาติให้กับของถวายเฉย ๆ
“โก่โซ ขอพรเรื่องอะไรในการสวดมนต์ทุกวัน” เสียงผู้สัมภาษณ์ เอ่ยถาม
เขาเงียบไปพักหนึ่ง
“ส่วนใหญ่ก็จะขอเหมือนกันทุกวัน คือขอให้เราและครอบครัวอยู่รอดปลอดภัย ขอให้พี่น้องของเราปลอดภัย ขอให้ประเทศพม่ากลับมามีสันติสุข ขอให้เผด็จการหายไป กับขอให้ได้กลับบ้าน”
“แต่ก่อนก็จะขออีกข้อหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วได้มาแล้ว” โก่โซยิ้มและมองไปที่ภรรยาที่นั่งอยู่มุมห้อง
ความหวังของโก่โซในวันนี้ยังเป็นพรที่เขาขอต่อพระพุทธรูปในทุกวัน สิ่งที่เขาบอกเพิ่มเติมคือเขาอยากให้ลูกชายได้เข้ารับการศึกษา เพราะเขาเชื่อความรู้จะเป็นต้นทุนชั้นยอดที่จะทำให้ลูกชายไม่ต้องมาทำงานหนักอย่างเขา และไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
“ก่อนลูกชายจะมาเรากังวลมาก ๆ กลัวว่าเขาจะเป็นอะไร กลัวว่าเขาต้องไปตายในสนามรบ พอเขามาเราก็อุ่นใจ ที่ยังทำงานหนักทุกวันนี้ก็เพื่อเหตุผลเดียว คือไม่อยากให้ลูกต้องมาลำบากอย่างเรา คนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกข์แค่ไหนก็ทุกข์ได้ แค่เห็นลูกสบายเราก็ดีใจ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็หวังแค่นี้” โก่โซ เช็ดน้ำตาระหว่างบอกความในใจที่มีต่อลูกชายเพียงคนเดียว
สถานการณ์ของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย เป็นปัญหาที่แก้ไม่จบมาเนิ่นนาน โดยเฉพาะในยุคที่โลกหันขวา อคติรัฐชาติได้สร้างมายาคติมากมายต่อพวกเขา
หลายครั้งก็มองข้ามความเป็นจริงถึงปัจจัยการเข้ามาของแรงงานเหล่านี้เชิงเศรษฐกิจ
มองข้ามความเป็นจริงของกระบวนการมิจฉาชีพสีเทาข้ามชาติ
มองข้ามความเป็นจริงของความไม่โปร่งใสในระบบราชการ
มองข้ามการขูดรีดอย่างเป็นระบบ และกดให้สิทธิของแรงงานจมหายไป
พรของโก่โซคงไม่เป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ถ้าหากเราไม่มองข้ามความเป็นจริงที่ว่า พวกเขาเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์ที่มี ‘ฝัน’ ถึง ‘ชีวิตที่ดี’ ไม่ต่างจากเราเหมือนกัน