[EXCLUSIVE Interview] กับ นคร ไชยศรี ผู้ออกแบบกิจกรรมและเทศกาล CCCL 2025
หลัง ‘AFTER: Land of Faith’ ร่วมเป็น 1 ใน 8 หนังสั้น SPECIAL SHORT FILM PROGRAM ประเด็นวิกฤตโลกรวนที่โดดเด่น คัดสรรจากทั่วโลก หนังสั้นเหล่านี้จะช่วยขยายการรับรู้เกี่ยวผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กว้างขึ้น
ในวันที่การพลัดถิ่น โยกย้ายถิ่นฐาน และการรุกราน กำลังรุกคืบทุกสรรพชีวิตภายใต้สภาวะโลกรวน ในสายตาของคนทำหนังสั้นจากทั่วโลก เราเห็นการปรับตัวแบบใดเกิดขึ้นแล้วบ้าง

นคร กล่าวว่า เมื่อพูดถึงหนังสั้นหรือคอนเทนต์ใด ๆ เกี่ยวกับโลกร้อน เรามักจะนึกถึงการให้ข้อมูลแบบตรงไปตรงมาหรือสารคดีน่าเบื่อ แต่ CCCL ไม่เชื่อเช่นนั้น พวกเขาเชื่อว่าหนังสั้นที่สื่อสารประเด็นจริงจังก็มีความหลากหลาย ดูสนุก และครีเอทีฟได้เหมือนกัน
“มันคือการที่หนังแต่ละเรื่องผ่านสายตาของผู้กำกับแต่ละคนกำลังเล่าว่าบ้านของฉันกำลังถูกคุกคาม มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไปและกำลังเปลี่ยนแปลง มาจนถึงมันอิมแพคและส่งสารถึงคนดูเข้าอย่างจัง เพราะนี่คือเรื่องที่เรากำลังเจออยู่”
ในสายของ competition film มีผลงานที่ส่งเข้ามาทั้งหมด 813 เรื่องและได้เข้าฉายในเทศกาลหนัง CCCL Film 2025 18 เรื่อง
โดยหนังสั้นที่ได้รับการคัดเลือกในปีนี้ นคร กล่าวว่ายิ่งเวลาผ่านไป ผลงานที่ส่งเข้ามาไม่เพียงแต่จะมีความสร้างสรรค์ของการเล่าเรื่องที่หลากหลาย แปลกตา และพาผู้ชมไปยังทางออกของคำตอบเรื่องโลกรวนใหม่ แต่ยังพาเราไปเจอกับมวลอารมณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะโลกรวน อย่าง Climate Anxiety อีกด้วย
“เราทุกคนรู้ว่าตอนนี้โลกกำลังป่วยและไม่อาจจะกลับไปยังจุดเดิมได้แล้ว แต่หนังสั้นเหล่านี้กำลังพาผู้ชมไปยังจุดใหม่ ซึ่งจุดใหม่ที่ว่าไม่เพียงแต่จะเป็นตัวละครในเรื่องแต่ตัวละครเหล่านั้นกำลังทำงานกับข้างในของผู้ชมโดยตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัว มันทำให้ผู้ชมจะตั้งคำถามกับปรากฏการณ์โลกร้อนและเข้าใจมันมากขึ้นว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปมันสัมพันธ์กับทุกกิจวัตรของเรา”

นอกจากหนังสั้น 18 เรื่องที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการ นครเล่าว่า ใน 8 SPECIAL SHORT FILM PROGRAM ของปีนี้ ยังพาผู้ชมไปเสาะหาคำว่า บ้าน เมื่อที่อยู่อาศัยไม่ใช่เพียงสถานพำนักของกาย แต่หยั่งลึกไปไกลถึงตัวตนและการมีอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีทั้งรูปแบบ Documentary Fiction และ Animation
“มันน่าสนใจมาก ที่นิยามคำว่าบ้านของผู้กำกับแต่ละคนพาเราไปสำรวจมันห่างกันคนละมุมโลก แต่กลับมีอะไรเหมือนกันอยู่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือบ้านของพวกเขากำลังจะหายไป มันเกิดการโยกย้ายถิ่นฐาน ต้องพลัดพรากจากบ้านอันเป็นสถานพำนักทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งหมดนี้เกิดจากการรุกรานโดยอะไรบางอย่าง ที่มีอย่างหนึ่งเชื่อมกันคือภาวะโลกรวน”
“อย่าง FRONTIER TOWN (DIR. Tom Tennant, Theo Tennant/Wales, UK) ที่เล่าถึงเมือง ๆ หนึ่งในอังกฤษ ซึ่งทางการจะลอยแพในปี 2054 เพราะว่าเกาะจะหายไปเพราะน้ำท่วม! แต่ในหนังเรื่องนี้พาเราไปสำรวจว่าแม้จะเป็นทางการประกาศ แต่ชาวบ้านหลายคนกลับไม่เชื่อ ในความไม่เชื่อนั้นมันมีหลายปัจจัยตั้งแต่เด็กที่เกิดและเติบโตในพื้นที่จะเชื่อว่าบ้านเขากำลังจะหายไป ในอีกมุมหนึ่งคือถ้าให้ย้ายจะย้ายไปไหน มันทำให้เห็นว่าการพลัดถิ่นของชาวบ้านในเกาะ ๆ หนึ่งมันสะท้อนวิถีชีวิต ความเชื่อ ไปจนถึงความมั่นคงจากรัฐอย่างไรบ้าง” นคร กล่าว
มาจนถึง AFTER: Land of Faith (DIR. Pattaraporn Sritongtae/Thailand) ที่เล่าเรื่องชาวปกาเกอะญอบางกลอย ที่มีตำนานที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาเกี่ยวกับ “กะจื่อคุ” หรือ “หัวใจของโลก” ว่าจะเป็นดินแดนสุดท้ายที่มนุษย์หลงเหลืออยู่หลังจากน้ำท่วมโลก หากความเป็นจริงในปัจจุบัน ชาวปกาเกอะญอที่บางกลอยยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
บ้านที่หายไปตามกาลเวลา หรือถูกเร่งให้สูญหายด้วยมาตรการของรัฐ?
“ในสารคดีเรื่องนี้เองพาให้ผู้ชมไปสำรวจกับความเป็นชาติพันธุ์ในสังคมไทย การต้องจากบ้านครั้งนี้ถูกรุกรานชัดเจนโดยคนด้วยกันภายใต้คำสั่งหรือนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเรื่องราวของข้าวที่ปรากฏอยู่ในหนังเองคอยร้อยเรียงความรู้สึกของผู้คนไว้ด้วยกัน ความสัมพันธ์ของคนกับธรรมชาติ ที่เล่าผ่านความผูกพันธ์ในข้าว มันทำให้ผู้ชมตั้งคำถามว่าการฝังเมล็ดข้าวลงในดินมันไม่ใช่การทำให้พืชพันธุ์ตาย แต่เป็นการปลูกมันต่างหาก แต่อุปสรรคหรือวัชพืชใดบ้างที่จะทำให้การเติบโตของเมล็ดข้าวเหล่านี้ออกรวงไม่เต็มใบ”

“เมื่อข้าวเป็นสิ่งเดียวที่เตือนให้ระลึกถึงบ้าน ที่คนบางกลอยต้องจากบ้านเพราะรุกรานจากคนภายใต้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
มันทำให้ ข้าว ในเรื่อง คือตัวเชื่อมคนไว้ด้วยกัน ว่าท้ายสุดความหมายของเม็ดข้าวที่ถูกฝังลงในดินคือการเพาะปลูกมันอีกครั้งต่างหาก”
นครเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การเล่าเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อ เราเล่าถึงโลกที่เป็นไปในปัจจุบันได้หลายรูปแบบ โดยไม่ต้องยึดติดกับขนบเดิมเพื่อให้ปัญหาที่เกิดขึ้นเข้าถึงทุกคนได้มากกว่าที่เคย
“เราคิดว่าสิ่งแวดล้อมมันกลับไปที่เรื่องการเมือง มันกลับไปที่ภาพใหญ่ของประเทศ ของสังคมโลก เราอยากเห็นหนังที่เล่าเรื่องสิ่งแวดล้อมแต่ผูกติดกับชีวิตประจำวันของคนเรามากยิ่งขึ้น อย่างนำไปผูกกับการศึกษา กับประเด็นเรื่องเพศ เรื่องสุขภาพ การนำสิ่งแวดล้อมไปปะติดปะต่อกับเรื่องเล่านี้แล้วเล่ามันออกมาไม่เพียงแต่จะเป็นการสร้างสรรค์ แต่มันคือการทำให้เราเห็นความใกล้ตัวและส่งอิมแพคต่อผู้ชมได้มากขึ้น”
“แต่ที่เราอยากเห็นมากขึ้นไปอีกคือการเล่าเรื่องสิ่งแวดล้อม as a comedy เลย อย่าง don’t look up มันเห็นความตลกร้ายที่เรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่โลกอนาคต ไม่ใช่ sci-fi เพียงอย่างเดียว เพราะนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และหลายครั้งหลายเหตุการณ์บนโลกความเป็นจริงมันก็ตลกร้ายเสียเหลือเกิน ตลกร้ายเสียจนนึกว่าเป็นเรื่องแต่งสักเรื่องหนึ่ง”
นคร ทิ้งท้ายว่า อยากให้คนทำหนังเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากจะเล่า ส่งเสียงของเราออกมา การทำหนังสิ่งแวดล้อมไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะ genre ใด genre หนึ่ง แต่มันอยู่การเล่าเรื่องและคนเล่ามากกว่า
“หนังสิ่งแวดล้อมที่ดีมันพาเราไปอยู่อีกจุดหนึ่ง มันใกล้ตัวมากแต่มันกลับเป็นความใกล้ที่เรามองข้าม เพราะฉะนั้นแล้วมันคือการสังเกต จับต้อง และร้อยเรียงเสียงของตัวคนทำ ความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่เกิดขึ้นมันเป็นทั้งระบบนิเวศของธรรมชาติ อย่างป่าไม้ ลำธาร ทะเล ไปจนถึงระบบนิเวศของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในสังคมด้วยเช่นกัน” นคร กล่าวทิ้งท้าย
