มีความหวังแต่ยังกังวล บนผืนดิน สายน้ำและอากาศที่ปนเปื้อนกากอุตสาหกรรมของชาวหนองพะวา
“เมื่อวานเราก็มาดูเขาเตรียมการสำหรับขนย้าย เราดีใจที่กากอุตสาหกรรมพวกนี้จะถูกย้ายออกไปเสียที แต่ช่วงนี้มันมีความชื้นกับลมพัดในช่วงเช้า ทำให้กลิ่นเริ่มกลับมาแรงขึ้นอีกครั้ง”
ปากคำของ “ลุงเทียบ สมานมิตร” เจ้าของสวนยางสีทองที่ได้รับผลกระทบริมขอบรั้วจากบ่อดำของโรงงานวิน โพรเสสฯ บอกกับเราภายใต้สีหน้าที่เกิดจากความดันขึ้นกว่า 200 วานนี้ ว่ากลิ่นเหม็นของกากและสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ ยังอยู่กับเขาแม้จะผ่านไปหลายปีก็ตาม
ในวันนี้ที่ยังอยู่ในฤดูหนาวที่อากาศมีความชื้นในเวลากลางคืนและรุ่งเช้า อีกทั้งโกดังที่ลักลอบเก็บกากอุตสาหกรรมเหล่านี้หลายอาคารเกิดไฟไหม้และหลายอาคารชำรุดทรุดโทรม เกิดรูรั่วเล็กใหญ่บนหลังคาเหนือกากอุตสาหกรรมที่ยังตกค้างในพื้นที่ของบริษัท ทำให้กากอุตสาหกรรมชนิดนี้ยังคงระเหยและส่งกลิ่นและสารพิษไปสู่ชาวบ้านในชุมชน
โดยเฉพาะอะลูมิเนียมดรอส ซึ่งเป็นตะกรันที่หลงเหลือจากการผลิตอะลูมิเนียม มีลักษณะเป็นผงสีขาว เนื่องจากมีการระเหยออกมาเป็นไอกรด โดยเฉพาะเมื่อฝนตกหรือโดนน้ำ
นับเป็นเวลา 9 เดือน หลังจากเกิดเหตุไฟไหม้ใหญ่เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ซากกากอุตสาหกรรมที่ลักลอบทิ้งฝังกลบได้ถูกเผยขึ้นมาบนเศษซากปรักหักพังของโรงงาน บนการเผชิญพิษกากอุตสาหกรรมของชาวบ้านที่ปนเปื้อนทั้งในดิน น้ำ และอากาศ
9 มกราคม 2568 “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เดินทางลงพื้นที่ตรวจการขนย้ายกากอุตสาหกรรมในส่วนที่เป็นอะลูมิเนียมดรอส ที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่โรงงานของบริษัท วิน โพรเสส จำกัด บ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ในงบประมาณ 4 ล้านบาท
“เรื่องการจัดการกากอุตสาหกรรมภายในโรงงานของบริษัท วิน โพรเสส จำกัด โดยเฉพาะกากอะลูมิเนียมดรอส ที่เป็นส่วนสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านมากที่สุด กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เริ่มขนย้ายกากอะลูมิเนียมดรอส เพื่อไปกำจัดที่โรงงานปูนซีเมนต์ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อ.แก่งคอย จ.สระบุรี คาดว่าใช้เวลาอย่างเร็วสุดภายใน 60 วัน หรืออย่างช้าสุด 120 วัน ตามระยะเวลาของสัญญาโครงการ” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
โดยโครงการดังกล่าว ได้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ 7 มกราคม 2568 โดยมีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 26 เมษายน 2568
และในการขนย้าย บริษัท ทีพีไอ โพลีน จะใช้รถพ่วงบรรทุกน้ำหนัก 23 ตันต่อคัน จำนวนรวม 4-5 คันต่อวัน (รวม 115 ตันต่อวัน) โดยบริษัทจะนำไปผลิตปูนซีเมนต์ต่อไปและนำไปเผาวันต่อวันทำให้จะไม่มีการนำกากอะลูมิเนียมดรอสไปเก็บไว้
อย่างไรก็ตามการดำเนินงานในครั้งนี้จะเรียกว่าจ้างกำจัดก็ไม่ตรงนัก โดยอ้างอิงจากการแถลงข่าวของรมว.อุตสาหกรรมว่า เป็นการขอความช่วยเหลือ ให้โรงงานปูนซีเมนต์ของบริษัททีพีไอ โพลีน ที่อยู่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี “ช่วยกำจัดอะลูมิเนียมดรอสให้”
เพราะราคาที่แท้จริงต่อการกำจัดตะกรันอะลูมีเนียมดรอส มีค่าใช้จ่ายอยู่ราว ๆ 10,000 บาท/ตัน (รวมค่าขนส่ง) หากคำนวณตามปริมาณที่อยู่ในโกดังของบริษัทวิน โพรเสสฯ การกำจัดกากอุตสาหกรรมเพียงประเภทเดียวต้องใช้งบประมาณในการจำกัดถึง 70 ล้านบาท
กระทั่งช่วงก่อนหน้านี้กรมโรงงานฯ เดินเรื่องขอเงิน 4.9 ล้าน ซึ่งเป็นเงินที่ศาลจังหวัดระยองสั่งบริษัทวิน โพรเสสฯ นำเงินมาใช้ขนย้ายกากฯ อุตสาหกรรม ที่บริษัทวิน โพรเสสฯ ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ให้มากำจัด และบำบัดน้ำปนเปื้อนกรดได้ส่วนหนึ่ง และเหลือเงินที่คงค้างไว้ 4.9 ล้านบาท
แต่เงินดังกล่าว ก็ยังห่างไกลกับราคาที่แท้จริงของการกำจัด/บำบัดกากอุตสาหกรรมที่หลงเหลืออยู่ในโกดังของวิน โพรเสสฯ
ภายใต้คำแถลงของเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แก้ปัญหาโดยการขนย้ายกากอุตสาหกรรมบางส่วนออกไปก่อน จึงได้มีการประสานกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ในการขอความช่วยเหลือกำจัดกากอะลูมิเนียมดรอสนี้
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรมกล่าวว่า
“ก่อนหน้านี้ที่กรมโรงงานฯ ตัดสินใจจะย้าย กากอลูมิเนียมดรอส ออกจากโกดังวิน โพรเสสฯ ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเป็นชนิดที่สร้างปัญหาเรื่องกลิ่นให้ชาวบ้านมากที่สุด และมองว่าเป็นชนิดที่ กำจัดได้หมดทั้งกว่า 7,000 ตัน ภายใต้งบประมาณ 4.9 ล้านบาท
โดยเงิน 4.9 ล้านบาทจากเงินวางของบริษัทต่อศาล ถูกใช้เป็นค่าขนส่ง และส่วนที่ยังใช้ประโยชน์ได้ของอะลูมิเนียมดรอสเมื่อนำไปรีไซเคิล ยกให้เป็นของบริษัทเอกชนดังกล่าว เนื่องจากบางส่วนของอะลูมิเนียมดรอสที่ยังมีค่าเป็นอะลูมิเนียมนั้นสามารถใช้เป็นส่วนผสมของปูนซีเมนต์ได้”
ทำให้โครงการบำบัด/กำจัดอะลูมิเนียมดรอสที่อยู่ในโกดังของบริษัท วิน โพรเสสฯ ในครั้งนี้ ได้ใช้งานราว 4 ล้านบาท โดยมูลค่า ที่จะเกิดจากรีไซเคิลนั้น ยกให้เป็นผลประโยชน์ของโรงงานปูนฯ แลกกับการนำอะลูมิเนียมดรอส ทั้ง 7,000 ตัน ไปดำเนินการ
ทว่า ในโกดังของบริษัท วิน โพรเสสฯ ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ยังมีสารเคมีประเภทอื่น ๆ รวม 33,800 ตันที่อยู่บนดิน และที่ถูกฝังกลบอยู่ใต้ดินไม่รู้อีกจำนวนเท่าไหร่
แม้ชาวบ้านที่ติดตามและขับเคลื่อนต่อต้านการก่ออาชญากรรมสิ่งแวดล้อมของบริษัทนี้แบบใกล้ชิดอย่าง “สนิท มณีศรี” จะรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น จากการที่ผู้มีอำนาจในหน่วยงานภาครัฐให้ความใส่ใจกับปัญหาที่สร้างผลกระทบอย่างมาก แต่ก็ตั้งคำถามถึงมาตรการลำดับถัดไปที่จะจัดการกับกากอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ ที่หลงเหลืออยู่
“ทางชาวบ้านเองก็มีกำลังใจในการต่อสู้มากขึ้น เนื่องจากรัฐมนตรีลงมาดูด้วยตัวเอง แต่ยังเป็นห่วงในส่วนของกากสารเคมีที่บรรจุอยู่ในถังเบาก์กลางแจ้ง ซึ่งเริ่มทยอยเสื่อมชำรุดและปริแตก ทำให้สารอันตรายไหลหกหล่นออกมา สารเคมีและกากอุตสาหกรรมเหล่านี้เองก็เป็นอันตรายมาก ๆ และยังคงค้างอยู่บนผืนดินใกล้ชุมชน” สนิท กล่าว
ซึ่งในส่วนนี้ ด้าน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า
“ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการกำจัดบำบัดของเสียเคมีวัตถุอันตราย 4,000 ตัน แบ่งเป็น สารเคมีที่บรรจุถัง IBC และถุง Big Bag ที่อยู่นอกอาคารจำนวน 2,600 ตัน และวัตถุอันตรายในบ่อซีเมนต์ 1,400 ตัน คาดว่าจะต้องใช้เงิน 40 ล้านบาท จะขอจากงบกลางปี 2568
โดยได้เสนอกับนายกฯ เรียบร้อยแล้วและได้รับการประสานภายในกลับมาว่า นายกฯ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และคาดว่าจะตั้งงบกลางให้ ซึ่งถ้าได้เมื่อไหร่ก็จะดำเนินการคู่ขนานไปกับการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสได้เลย
ส่วนกากของเสียที่เหลือจะดำเนินการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มาใช้จัดการ ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องใช้เงินราว 459 ล้านบาท”
สำหรับการจัดการกากของเสียที่คาดว่าจะถูกฝังอยู่ในโรงงานนั้นตอนนี้ยังดำเนินการตรวจสอบไม่ได้ต้องรอให้ขนกากที่อยู่บนดินทั้งหมดออกให้เรียบร้อยก่อน”
สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในอนาคต เอกนัฏ กล่าวว่า กระทรวงกำลังดำเนินการร่างกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า ร่างพ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม
“ในอนาคตจะต้องจัดระบบใหม่เกี่ยวกับการจัดการขยะอุตสาหกรรม โดยเช้านี้ได้ประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ. จัดการกากอุตสาหกรรม หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ร่างพ.ร.บ.กาก ซึ่งปิดเล่มเรียบร้อยแล้วและจะนำไปเสนอตามกระบวนการต่อไปภายในเดือนนี้
ร่างกฎหมายใหม่จะมีการวางระบบให้ชัดเจน ให้อำนาจในการจัดการของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน มีการกำหนดโทษสำหรับผู้กระทำผิดในแต่ละขั้นตอนอย่างเหมาะสม ตั้งแต่ผู้ก่อกำเนิดกาก ผู้ขนส่ง รวมไปถึงผู้กำจัดด้วย และจะมีการทบทวนการขออนุญาตด้วย
รวมถึงจะมีการตั้งกองทุนอุตสาหกรรรมยั่งยืน ที่จะให้ผู้ประกอบการลงเงินในกองทุน และเมื่อเกิดปัญหาก็ให้นำเงินจำนวนนี้มาช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ไม่ต้องไปรอฟ้องแก้ปัญหาหลังเกิดความเดือดร้อนแล้ว และไม่ต้องนำงบกลางมาใช้เดือดร้อนภาษีของประชาชนด้วย” เอกนัฏ กล่าว
เป็นความหวังบนความกังวลของชาวบ้านหนองพะวา ที่ได้เริ่มต้นการบำบัดต่อกากอุตสาหกรรมที่ถูกนำมาลอบทิ้งฝังกลบของบริษัท วิน โพรเสสฯ
เศษซากกากอุตสาหกรรมที่ยังอยู่ใต้เศษซากปรักหักพังของโกดังบริษัท วิน โพรเสสฯ บนผืนดินหนองพะวายังคงส่งกลิ่นรุนแรง เมื่อความชื้นของลมหนาวยังสัมผัสกับสารพิษหลายประเภทที่ยังคงค้างในพื้นที่
รวมถึงค่ากำจัดกากในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในการที่หาทางออกร่วมกับบริษัทเอกชนที่รับกำจัดได้ แต่ครั้งหน้าหรือกากอุตสาหกรรมชนิดอื่น ๆ จะเป็นเช่นนี้หรือไม่ หากไม่สามารถหาทางออกได้เหมือนครั้งนี้ กากอุตสาหกรรมเหล่านี้จะต้องถูกทิ้งไว้ที่ชุมชนหนองพะวาดังที่เป็นมาตลอดอีกหรือเปล่า
นี่คือเรื่องสำคัญที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐต้องหาทางออกและให้ความสำคัญ ว่าความหวังที่ประชาชนเฝ้ารอสามารถทำให้ปราศจากความกังวลด้วยสิ่งที่เรียกว่ามาตรการที่ชัดเจน อย่างบทลงโทษผู้กระทำผิด การอนุญาติตั้งโรงงาน กองทุนส่วนกลางของโรงงานกากอุตสาหกรรมที่จะมาดำเนินการเมื่อเกิดเหตุ ดังเช่นหลายพื้นที่ในแถบตะวันออกและทั่วประเทศ

120 วันหลังจากนี้คือจุดเริ่มต้นของคำมั่นสัญญา สายตาของชาวบ้านหนองพะวาที่ติดตามการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสวานนี้ยังมีความหวัง และบอกกับผู้มีอำนาจเป็นนัยว่า บนผืนดินทำกินและอาศัย ไม่ควรมีใครต้องเป็นแพะรับกากอุตสากรรมของเครือข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมอีกแล้ว