เพราะมนุษย์ไม่ควรตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้
สิทธิพล ชูประจง
แววตาเศร้าถูกฉายจากดวงตาของแก มันติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นจากบางช่วงชีวิตที่ดิ่งต่ำ มันเศร้าจนต้องแอบแปลความหมายเอาเองว่า มันคือถ้อยคำเรียกร้องความเข้าใจต่อชีวิตของแก แต่มันช่างเป็นการแปลความที่ต่างจากความเป็นจริงที่แกเป็น ไม่เคยร้องขอไม่ตีโพยตีพาย ยอมรับอย่างดุษฎีต่อทุกช่วงของชีวิตที่อาจตรงอยู่บ้างคือความเศร้า เศร้าจากชีวิตที่ตกต่ำจนขีดสุด “คนไร้บ้าน” คือจุดต่ำสุดที่ว่า
แต่ก็อีกนั่นแหละ มันคือความเศร้าที่เราแปลความทึกทักเอาเองหรือไม่
เจ้าของแววตานั้น เป็นชายวัย 59 ปีที่ชีวิตลงต่ำสุดในฐานะคนไร้บ้าน กว่า 1 ปีที่ชีวิตหล่นร่วงลงมาอยู่ที่ข้างถนน ช่วงชีวิตนั้นใช่หรือไม่ที่ผลิตแววเศร้าในดวงตาของแกออกมา แกเคยรำพึงถึงช่วงนั้นอยู่ว่าอยากหาเชือกสักเส้นมาแขวนคอให้ชีวิตได้จบ ๆ กันไป จบจากโลกที่แกไม่เคยคิดจะมาสถิตย์อยู่ โลกของคนที่ไร้บ้าน
วันแรกของชีวิตข้างถนนช่างเป็นนรกทดลองสำหรับคนวัยหย่อน 60 ไป 1 ปี แค่ยุงกัดตลอดการนอน แค่อากาศอ้าวอบแต่เรียกหาพัดลมสักตัวมาเป่าร่างยังทำไม่ได้ หรือเช้าไม่รู้จะได้กินอะไร เย็นรอคอยข้าวปลาแจกฟรีจากผู้คน ชีวิตไม่เคยแน่นอน ชีวิตที่แทบกำหนดอะไรเองไม่ได้เพื่อให้ได้อยู่อย่างมีคุณภาพ ชีวิตที่แล้วแต่จะลอยล่องไปในกระแสลมร้อนกลางทะเลทราย
แกนึกฝันไปถึงวันนั้น วันที่เปลี่ยนชีวิตแกไปตลอดกาล เป็นคืนวันที่มีเรื่องมีราวกับวัยรุ่นคนอื่น กลุ่มอื่นเหมือนที่เคยเป็นมา มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่เหมือนเดิม วันนั้นมีคนตาย คนตายที่ถูกฆ่าโดยเพื่อนของแก สมรู้ร่วมฆ่าเนื่องจากแกอยู่ในที่เกิดเหตุ จึงเป็นคดีความที่ต้องร่วมในกรรมในวาระนั้น แกติดคุกอยู่หลายปี ออกมาอีกทีครอบครัวล่มสลายหายไปราวกับไม่เคยมี แม้ชื่อก็ไปอยู่ทะเบียนบ้านกลาง ทะเบียนบ้านที่กฎหมายระบุไว้ให้ไม่สามารถทำบัตรประจำตัวประชาชนใบใหม่ได้ ถ้าใบเดิมหมดอายุลง
ไม่มีบ้านที่มีเลขที่บ้านให้เอาชื่อและนามสกุลลงไปฝากเอาไว้ ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง คนเรือนหมื่นแสนในประเทศไทยเป็นสถิติที่มีอยู่จริง
รับจ้างทั่วไปจึงเป็นงานที่พอหาทำได้ ไม่มั่นคง ไม่แน่นอนคือ นิยามที่สลักหลังให้กับงานรับจ้างทั่วไปที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำ งานสุดท้ายที่ทำก่อนชีวิตจะเริ่มผุพังตกต่ำ งานเฝ้าทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของตัว งานรปภ.คืองานที่ว่านั้น ทำจนวันหนึ่งโรคระบาดเริ่มต้น โควิด19 หลายร้านรวงต้องปิดตัว กระทบดังลูกโซ่ บริษัทรปภ.เริ่มงานหดหาย ความต้องการให้คนแปลกหน้าไปเฝ้าทรัพย์สินเริ่มน้อยลง ปิดกิจการและจ้างคนออกจึงตามมา แกถูกจ้างออกด้วยเงิน 3 หมื่นบาท เป็น 3 หมื่นบาทที่ใช้ประติดประต่อชีวิตของคนวัยใกล้เกษียณขึ้นมาใหม่ ออกเดินย่ำต๊อกหางานกับใช้จ่ายกินอยู่ค่าห้องเช่าที่ลากได้อยู่ 4 เดือน งานใหม่ไม่มี ชีวิตต้องตัดสินใจ
แกบอกว่าผมเคย แต่เห็นคนไร้บ้านแถวราชดำเนิน แต่ไม่เคยคิดว่า จะต้องมาเป็น
การเคยเห็นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งของการเลือกมาเป็นคนไร้บ้าน คนอื่นอยู่ได้ เราเองก็น่าจะพออยู่ได้ “เอาว่ะ อยู่ก็ได้ว่ะ” สุ้มเสียงในใจแกคงออกมาประมาณแบบนี้ อยู่มาได้หลายเดือน ปรับตัวได้แต่ปรับใจยังคงยาก ความคิดจบชีวิตยังคงเวียนอยู่เมื่อนึกไปถึงวันพรุ่งนี้ ค่ำคืนหนึ่งแกถามเจ้าหน้าที่ของทางกรุงเทพมหานครและกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ที่ลงมาแวะเวียนไถ่ถามคนไร้บ้านย่านราชดำเนิน “มีงานให้ทำบ้างมั้ยเจ้านาย” ไม่ได้ขอข้าวกิน ไม่ได้ขอที่อยู่อาศัย ขอแค่งานไว้ให้ได้ใช้มันต่อเติมชีวิตที่ผุพังซ่อมสร้างมันขึ้นมา ข้าวจะได้ซื้อหากินเอง ห้องจะได้เช่าอยู่อาศัยเอง
คำตอบจากคำถาม คือ ไม่มี แต่ยังดีที่ยังชี้ช่องให้ไปสมัครงานกับมูลนิธิหนึ่งที่กำลังรับสมัครงาน
คำถามก่อนมา เขาจะรับแกไหม แกทั้งแก่ ไม่แข็งแรง และยังขี้คุกที่เปลี่ยนไม่ได้ มูลนิธินั้นรับแกเข้าทำงาน แกหวังเช่นเดิมเมื่อเริ่มงานอีกครั้ง มีกินมีอยู่มีใช้ด้วยตัวเอง “ผมเดินมาที่สมัครงานตรงใต้สะพานปิ่นเกล้า ในใจผมหวังไว้เลยนะว่า ผมต้องมีงานทำ มีเงิน และพอจะไปเช่าห้องอยู่ได้ ที่ผมหวังได้ก็เพราะมีเพื่อนคนไร้บ้านด้วยกันมาบอกว่า ถ้าเราทำงานจริงจัง ที่นี่เขาจะให้วันทำงานเพิ่ม แล้วเขาก็จะช่วยหาห้องเช่าให้ด้วย ผมเลยมา”
หวังลึกล้ำที่อยู่ในใจอีก 1 อย่าง “อยากทำงานมีเงินเก็บสักก้อน จะได้ทำศพของตัวเอง ไม่อยากตายอนาถา” มันถูกสร้างและเก็บเอาไว้ใต้ลึกสุดในหัวใจ หลังจากที่มาเป็นคนไร้บ้าน แกทำงานกับมูลนิธินั้นได้มาเกือบขวบปี ความตั้งใจส่วนลึก ถูกนำออกมาอยู่บนพื้นผิวที่ตื้นเป็นที่เรียบร้อย “มาทำงานที่นี่ผมทะลุเป้าหมายไปหลายอย่างแล้ว ตั้งแต่กลับมาตั้งตัวได้ มีเงิน มีรายได้ ได้กลับมาเช่าห้อง ได้ใช้ชีวิตที่อยากใช้ มีวันหยุดได้ไปห้องสมุด มีเพื่อนที่ได้พูดคุยเรื่องการงานประจำวัน มีเงินเก็บไว้รักษาตัวเองยามเจ็บป่วย ตอนนี้เป้าหมายใหม่คือใช้ชีวิตให้ดีในแต่ละวัน กล้าคิดกล้าฝันในสิ่งใหม่ที่ตัวเองคิดว่าจะทำไม่ได้ อย่างเก็บเงินไปเที่ยวเล่นบ้าง, ไปทำบุญ, กลับไปเยี่ยมหาครอบครัว”
“ผมดีขึ้นมาก” ประโยคสำคัญที่ทำให้รู้ว่าตะกอนในใจของแกได้ถูกแกว่ง และกำจัดออกไปได้บ้างแล้ว “ผมเก็บเงินทำศพตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว ผมแยกไว้อีกบัญชีเลย ผมสบายใจนะ ไม่กังวลแล้ว เพราะอย่างน้อยในพิธีศพก็คงมีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ไปร่วมส่งผมด้วย” และประโยคแปลก ๆ ประโยคปลงต่ออนิจจังของชีวิตหรือคำสั่งเสียไม่มั่นใจในบางอย่างที่เกิดกับร่างกายตัวเอง
ประมาณเดือนกว่าของประโยคนั้น แกต้องเข้าโรงพยาบาลและตรวจพบว่ามะเร็งมันได้แพร่กระจายจากจุดที่แกเคยเป็นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว อาการของแกทรุดโทรมลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงเดือนดี แกต้องเข้าสู่การรักษาในหวอดผู้ป่วยวิกฤติ “ลุงไม่ต้องห่วงอะไรนะ” แกใช้ใบหน้าที่ตอบรับว่า “ผมเข้าใจ” นั่นนับเป็นบทสนทนาสุดท้ายของมนุษย์คนหนึ่งที่มีต่อมนุษย์อีกคนหนึ่ง
ในงานศพที่ไม่มีญาติพี่น้องสักคนมาร่วมงาน มันช่างเป็นความซึมเศร้าอย่างร้ายกาจ แต่ยังดีที่บรรยากาศในงานยังถูกเติมเต็มด้วยมิตรสหาย เหล่าแม่เฒ่าผู้เฒ่าร่วมมิตรสหายการงานกับแก เพราะแกเป็นที่รัก ไม่ต้องหาเหตุผลอื่นใด เรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้ แน่นอนในงานศพมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิอีกหลายคนมาร่วมส่งแกตามที่แกเคยให้ความเห็นนั้นไว้ บนเมรุก่อนที่ร่างจะถูกเพลิงเผาเป็นถ่านเถ้ากระดูกดำ เพื่อนคนสนิทที่สุดของแกที่เป็นเสมือนตัวแทนกล่าวคำอำลาต่อแก
“ไปดีมาดีนะ ชาติหน้าไม่ต้องมาเจอกันในแบบนี้อีกเลย ขอให้เกิดไปเป็นเจ้าคนนายคน ไม่ต้องมาลำบากเหมือนชาตินี้อีก” ใช่หรือไม่มันเป็นทั้งคำร่ำลา คำอธิษฐานต่อชาติหน้า คำตัดพ้อในโชคชะตาของเพื่อนพ้อง และตัวแกเอง