ต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน...ใน 'รัก' ทาง 'รัฐ' - Decode
Reading Time: 3 minutes

เมืองมักสัมพันธ์กับความรัก

และประเทศไทยก็เป็นประเทศที่ยากจะทำให้คนตกหลุมรักกัน

ถ้าอย่างนั้นเราขอเปลี่ยนคำถามใหม่

ถ้าเป็นการ ‘รักตัวเอง’ ล่ะ จะง่ายกว่าการมอบความรักให้คนอื่นไหมในประเทศนี้

ท่ามกลางฝุ่นพิษขมุกขมัว De/code นัดเจอกับ จอมเทียน จันสมรัก หรือ จอม นักกิจกรรมผู้เคลื่อนไหวในประเด็นความรุนแรงด้วยเหตุทางเพศและสุขภาพจิต ผู้ให้คำปรึกษารายกรณี (case worker) ที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนผู้เสียหายจากความรุนแรงทางเพศ หรือที่หลายคนอาจรู้จักในฐานะผู้แต่งหนังสือ ลูกสาวจากดาววิปลาส ณ พื้นที่สีเขียวเล็ก ๆ ย่านถนนพระอาทิตย์ ในวันที่ท้องฟ้าไม่สดใส เพื่อหาคำตอบนี้ไปด้วยกัน

คำเตือน: บทความนี้ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่พูดถึงการข่มขืน และการพยายามฆ่าตัวตาย 

‘รัก’ คืออะไร ในเมื่อฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ

“เราเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่า ถ้าเราไม่เป็นไปตามระเบียบหรือความต้องการจากผู้ใหญ่ เราจะไม่ได้รับความรัก ไม่ได้รับการสนับสนุน ทั้งอาหารบ้าง ที่อยู่อาศัยบ้าง สิ่งเหล่านี้จะหายไปทันทีถ้าฉันไม่เก่ง” 

นี่คือสิ่งที่จอมบอกกับเรา จอมมีเพศกำเนิดหญิง เป็นลูกของแม่ที่เป็นคนบ้า และเป็นลูกครึ่งคนขาว เมื่อคนที่มีสถานะเป็นพ่อไม่ได้อยู่ด้วยยามเติบโต จอมจึงโดนตีตราว่าเป็นลูกของคนขายบริการตั้งแต่เด็ก ด้วยอัตลักษณ์ทับซ้อนที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดนี้ ทำให้จอมพยายามแก้โจทย์ที่ไม่มีวันจบอยู่ตลอดเวลา โจทย์ที่ว่า ‘จะทำยังไงให้คนรัก’ เพราะการถูกรักไม่ใช่แค่สิ่งที่จอมต้องการรู้สึก หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ดำรงชีวิตต่อได้

หากขยับออกจากสถาบันครอบครัว ในวันที่ความยากจนซ้ำซ้อนที่ถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นตัวใหญ่กว่าเด็กน้อยเป็นไหน ๆ ทำให้แม่ไม่สามารถส่งจอมเรียนได้ จอมจึงไขว่คว้าหาทุนเรียนเพื่อส่งตัวเองเรียนมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แน่นอนว่าเงื่อนไขของการได้รับทุนนั้นคือการเป็น เด็กเก่ง คุณธรรมดี เป็นเลิศทางวิชาการ จอมจึงเป็นที่รู้จักในฐานะเด็กดี เรียนเด่น และเพียบพร้อมความสามารถ เป็นเด็กที่ไปไหว้พระ ร้องเพลงสรรเสริญ นำสวดมนต์ แต่งตัวดี ตัดผมสั้น ทำตามกฎระเบียบเพื่อให้เป็นที่รักของครู การพิสูจน์ตัวเองแบบไม่มีที่สิ้นสุดจึงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของจอมไปโดยปริยาย

“เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าฉันต้องเก่งทุกอย่าง ฉันถึงจะได้รับความรัก ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศฉันก็ต้องเงียบไว้ก่อนเพราะว่ามันเกิดขึ้นในบ้าน คนที่บ้านรักเราต้องไม่ทำให้ที่บ้านเสียใจ เราก็เงียบ เราจึงผ่านอะไรพวกนี้มาเยอะมาก ตั้งแต่เด็กจนโตเราจึงอยู่กับการบอกตัวเองว่า ถ้าไม่ดีพอก็จะไม่ทุกข์ทีหลัง” 

จอมไม่เคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘การรักตัวเอง’ จะรู้จักก็แต่ว่า ‘การเป็นคนดี’ ต้องเป็นอย่างไรตามแบบฉบับที่พุทธไทยพร่ำสอน เพราะเมื่อเป็นคนดีได้เมื่อไร ความรัก การสนับสนุน ปัจจัยสี่ สิทธิพื้นฐานของชีวิตที่จอมไม่มีก็จะตามมา

“พุทธไทยสอนเรื่องรักตัวเองมากสักแค่ไหน พุทธไทยเคยพูดคำว่ารักตัวเองออกมาปะ เราไม่มีศาสนานะ แต่เราเป็นนักธรรมเอก ช่วงมหา’ลัยที่เราเป็นโรคซึมเศร้า เราหันมาตั้งคำถามกับความเชื่อเรื่องความรักของตัวเองมาก ๆ เรารู้สึกว่าพุทธไทยที่สอนในโรงเรียนมันสอนเราว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะกรรมแต่ชาติปางก่อน ฉะนั้นถ้าเราไม่ดูให้ดี ไม่ศึกษาให้ดีจะรู้สึกได้ว่ามันเป็นการโทษตัวเอง

“เราเติบโตมากับการโทษตัวเอง ซึ่งมันคือการไม่รักตัวเองนะ ฉันพลาดตรงนี้ ฉันทำได้ไม่ดีตรงนี้มันเป็นเพราะฉันเอง ฉันไม่ได้ทุนการศึกษา ฉันไม่ได้เข้าเรียนในระบบ ฉันได้อาหารการกินน้อยเพราะฉันไม่ดีเอง ฉันถูกทำร้ายบางทีชาติปางก่อนฉันคงทำอะไรเอาไว้

“มันมีเรื่องแบบนี้เยอะมาก ทั้งที่จริง ๆ แล้วเด็กคนหนึ่งเขาควรจะได้รับสิทธิ ได้รับปัจจัยพื้นฐาน ได้รับความรักใช่ไหม แต่ในประเทศไทยมันไม่ใช่แบบนั้น สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งพิเศษ กลายเป็น สิทธิพิเศษ ไปแล้ว” จอม อธิบาย ก่อนตั้งคำถามใหม่ขึ้นมาว่า กว่าเด็กคนหนึ่งจะโตมา เรามีทางเลือกอื่นในการเป็นพุทธที่ยังเมตตากับตัวเองมาก ๆ โดยไม่โทษตัวเองได้ไหม คำถามนี้ยังคงไร้คำตอบ ซึ่งก็คงดีหากมีการแลกเปลี่ยนในประเด็นนี้เกิดขึ้นในอนาคต

‘อำนาจ’ ซึมลึก ‘รัก’ ซึมเศร้า

“มีช่วงหนึ่งที่เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้วเกรดตก ณ ตอนนั้นศักยภาพการถูกรักของเรามันหมดไปเลย เราเริ่มโกรธว่า ‘ถ้าฉันไม่ดีพอที่จะถูกรักก็จะไม่มีที่ยืนเลยเหรอ’ ‘ทุกคนจะไม่เอาฉันเลยเหรอ’ ‘งั้นตายเลยไหม’ มันเป็นความกดดันมากขนาดนั้น”

จอม เล่า ก่อนจะอธิบายต่อว่า คุณค่าของ จอม (น.) ณ ตอนนั้นจะถูกนิยามให้มากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความรักที่คนอื่นยื่นให้ จอมต้องการความรักจากคนอื่นก่อน เพื่อบอกกับตัวเองว่าฉันสมควรจะถูกรักแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ป่วยจนแทบทำอะไรไม่ได้ ต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน จนไปถึงจุดที่พยายามจบชีวิตตัวเองหลายต่อหลายครั้ง เพราะเมื่อความรักไม่อาจสร้างเองจากภายในได้ มันจึงกลายเป็นการไม่รักไปเสียอย่างนั้น

ณ ความพยายามรอบที่ x กับยานอนหลับ 70 กว่าเม็ด จอมได้สัมผัสกับความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก นั่นก็คือ ความเข้าอกเข้าใจของคนแปลกหน้าที่เผชิญกับความซึมเศร้าไม่ต่างกันที่เข้ามาช่วยไว้

ความรู้สึกของการไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป แม้จะไม่ได้ทำให้รักตัวเองขึ้นมาทันทีทันใด แต่ก็พอทำให้จอมลุกขึ้นมาใหม่ได้

หลังจากตั้งหลักได้ จอมจึงเริ่มเรียนรู้คำว่า ‘รัก’ ใหม่ ผ่านการศึกษาเรื่องระบบและความอยุติธรรมในสังคม จอมกลับมาเรียนจิตวิทยาต่อ และศึกษาสิ่งที่เรียกว่า อำนาจภายในของคนชายขอบที่มีอัตลักษณ์ทับซ้อนตามแนวคิดเฟมินิสม์ จนได้พบว่าอำนาจภายในของตนที่ไม่เคยรู้ว่ามีมาก่อนนั่นก็คือความไม่สมยอม

จะไม่ยอมให้สังคมมาบอกว่าเราไม่ควรจะถูกรักอีกต่อไป ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนนิยามความรักของจอมไปโดยสิ้นเชิง

“เราต้องหาบ้านหลังใหม่ให้ตัวเองเรียนรู้รูปแบบการให้และการรับความรักเสียใหม่ ในทางจิตวิทยาคือการบอกว่า ‘ให้เราลองมาเป็นเด็กกันใหม่’ เป็นการปล่อยให้เด็กตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างใน ผู้ที่ไม่เคยได้รับความรักแบบไร้เงื่อนไขได้เติบโตใหม่” จอมว่า ซึ่งสิ่งที่จอมเล่าเหมือนจะดูง่ายไปจนถึงขั้นขายฝันได้สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แต่เชื่อเถอะว่าการจะหลุดออกจากกรอบที่ถูกขัดเกลาตั้งแต่เด็กจนโตนั้นไม่ง่าย เพราะเราไม่สามารถเรียนรู้การรักตัวเองได้ด้วยตัวคนเดียว

“เรามีเพื่อนที่ดี มีเพื่อนที่รักเรารักในตัวเรา แต่เพื่อนก็จะไม่ได้เข้าใจความเป็นนักกิจกรรม การที่เราพูดเรื่องของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ทำงานประเด็นเพศ เป็นฝ่ายซ้าย เพื่อนอาจจะเข้าใจ 80% แต่ที่เหลือเพื่อนไม่ได้อุ้มเต็ม ๆ เรารู้สึกกังวลอยู่เสมอว่าเราอาจจะพูดเรื่องนี้กับเพื่อนไม่ได้ 

“แต่ด้วยความที่เราเป็นนักกิจกรรม เรามีเส้นสาย เรารู้จักคนเยอะ เราสามารถเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่เขายอมรับสิ่งที่เราเป็นได้ ทว่าการจะเข้าถึงพื้นที่แห่งนี้มันต้องมีอำนาจ เด็กต๊อกต๋อย โรงเรียนหรือบ้านอยู่ชานเมือง เขาจะหาพื้นที่ที่เติมเต็มความเป็นมนุษย์ของเขาได้จากที่ไหนบ้าง เพราะรัฐไทยไม่ได้กระจายองค์ความรู้ที่มักกระจุกอยู่ที่องค์กรชั้นนำออกไป ไม่ได้ลงทุนกับสิ่งนี้เลย”

หรือเพราะเขาไม่อยากให้ ‘รัก’

“มันอาจจะซ้ายจ๋านะ” จอมพูดพลางยิ้ม

“แต่เรารู้สึกว่ารัฐไม่อยากให้เราเรียนรู้เรื่องการรักตัวเอง มีศักยภาพ หรือมีความสุขมากพอ เพราะว่าการกดเราไว้ ทำให้เราต้องมี struggle ให้เราต้องเหนื่อย ให้มีปัญหา ให้เราต้องคิดเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย ถ้าความต้องการขั้นพื้นฐานยังไม่ถูกเติมเต็ม เราจะเอาพลังที่ไหนไปพัฒนาชีวิตตัวเอง เพราะก่อนจะทำได้เราต้องรักและตระหนักได้ก่อนว่า ‘ฉันสมควรจะได้รับอะไร’ ซึ่งการทำแบบนั้นมันก็ทำให้ประชาชนอยู่ใต้อำนาจ ไม่คิดที่จะไปแข็งขืนอะไรเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น”

ซึ่งในบริบทประเทศไทย การที่คนจะหันมาสนใจและแลดูสุขภาพจิตโดยไม่พึ่งระบบรัฐเลยนั้นยากมากเพราะเงินยังมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ — อันที่จริงก็ทุกอย่าง เพราะไร้สวัสดิการอยู่อย่างนี้

“เวลาเรามีปัญหาสุขภาพ เริ่มไม่รักตัวเอง เริ่มอยากตาย คนไม่รักฉันเพราะอะไร แค่มีคำถามพวกนี้มันควรจะไปหานักจิตวิทยาได้แล้วเนอะ ซึ่งเราไม่มีระบบอะไรแบบนั้น คุณไปหานักจิตวิทยา คุณก็รอไปเหอะ นั่งสั่นในแอร์หนาวประมาณแบบครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ทำไมที่จิตเวชแอร์หนาวเหลือเกิน (ขำ)

“นั่งไปก็เครียดไป คนก็ต้องลางานมาหาหมอ ลางานก็ต้องมานั่งชั่งอีกว่า ถ้าลางานจะมีกินไหม ดังนั้นคนที่มีเงินเขาก็จะสามารถเลือกได้ว่า เค งั้นไปหาหมอหลังเลิกงาน จ่ายแพงหน่อย คลินิกพิเศษสรุปหมอแนะนำกลับมา ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ หากิจกรรมทำ แต่ถามเถอะว่าเอาแค่ออกกำลังกาย คนไทยสามารถไปออกที่ไหนได้บ้าง หรือมุมเล็ก ๆ อย่างสวนนี้ที่เราอยู่มันเป็นส่วนน้อย แล้วปิดตั้งแต่กี่โมง ถ้าตอนตีหนึ่งกำลังร้องไห้อยากมานั่งใต้ต้นไม้ กรุงเทพฯ ยังมีที่ไหนที่เปิดให้เราเข้าไปนั่งบ้าง เมืองไม่มีสิ่งนี้ให้เราเลย” จอม ว่า

ในประเทศที่ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัวเป็นได้แค่คำโฆษณาสีซีด ๆ พื้นที่ที่จอมหมายถึงจึงเป็นพื้นที่ที่เสริมสร้างการมีส่วนร่วมทุกรูปแบบ ที่เมืองควรเติมเต็มความเป็นมนุษย์แทนที่จะพรากมันออกไป

พื้นที่เหล่านั้นอาจมาในรูปแบบของชมรมของคนที่มีงานอดิเรกร่วมกัน วงแลกเปลี่ยนพูดคุยแบบสร้างในประเด็นที่คนในพื้นที่สนใจ สวนสาธารณะให้ใครจะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่ารูปแบบใดก็ไม่ติดทั้งนั้น เพราะพื้นที่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายขนาดนี้

“เราต้องการที่ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้แปลกประหลาด ทำให้เรารู้ว่ารักตัวเอง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เหมือนกับเพื่อนแถวบ้าน เพื่อนกลุ่มนี้ไม่เหมือนเราและมันก็ไม่เห็นแปลก

“วันไหนเราเหนื่อย เราหนัก เราต้องการพื้นที่ไว้นั่งเงียบ ๆ นอกห้องเล็ก ๆ ของเรา เพื่อมาดูว่า เออ โลกใบนี้มันก็มีมุมบางมุมที่มันยังสวยงาม ชีวิตมันก็หมุนเวียนไป มันอาจดูเป็นสิ่งเล็ก ๆ แต่มันไม่เล็กเลย”

จอมยืนยันด้วยรอยยิ้ม

‘รัก’ ทาง ‘รัฐ’ ร้อยเล่มเกวียน

สุดท้ายแล้ว เส้นทางการเรียนรู้คำว่า ‘รัก’ อาจเป็นการผจญภัยระยะยาวหรือตลอดชีวิต ในตอนนี้การรักตัวเองของจอมเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง โดยคำว่า ‘รักตัวเอง’ ของจอม หมายถึงการยอมรับในตัวเองทั้งด้านดีและด้านแย่ เป็นความกรุณาต่อตัวเอง และเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้น ล้วนเป็นความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น

“กว่าจะยอมรับตัวเองได้ เราต้องมีความรู้เชิงระบบเยอะมาก เราเหนื่อย เราพัง เราซึมเศร้ามันเป็นเพราะระบบ การรักตัวเองไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สู้เพื่อเปลี่ยนแปลงอะไร แต่เป็นการตระหนักว่า ฉันรู้ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ และเพื่อที่จะได้รับสิ่งที่ดีขึ้นอย่างที่สมควรจะได้รับ ฉันจะสู้เพื่อเปลี่ยนมัน เหมือนในหนังเรื่อง Everything Everywhere All at Once (2022) เลยค่ะ มีปัญหาเยอะแยะเข้ามา เราสามารถโทษตัวเอง เศร้าให้เต็มที่ โกรธให้เต็มที่แล้วก็ไปต่อ

“สุดท้ายแล้วฉันไม่สามารถเป็นคนสมบูรณ์แบบที่สุด ในโลกใบนี้ไม่มีใครเหมือนเราไปเสียทุกอย่างและรักในความเลวของเราที่มีอยู่ไปเสียทุกอย่าง แต่ใจความสำคัญคือ เราจะรักในตัวเราในจุดที่คนอื่นไม่รักได้ไหม เพราะตัวเราที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ทุกความดี ความเลว หนามคมที่เรามี เราสร้างขึ้นเพื่อพาตัวเราเองให้พามาถึงจุดนี้ได้ แล้วตัวเราเองวันนี้ก็จะปรับเปลี่ยนไปเพื่อเอาชีวิตให้รอดต่อไปอย่างมีความสุข หนามคมอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น ก็รักในตัวเราที่จะเปลี่ยนแปลง” จอม ว่า

ทว่าในเมืองที่ยากจะรักนี้ จะให้เสริมสร้างพลังจากภายในอย่างเดียวนั้นไม่มีทางพอ จอมบอกกับเราว่าสิ่งที่รัฐสามารถทำได้เพื่อให้คนได้กลับมารักและโอบกอดตัวเองมีเป็นล้านอย่าง หากต้องการจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน ทลายระบบนิเวศที่เป็นพิษอย่างวัฒนธรรมแก่งแย่งกันเป็นคนดีแบบจำกัดกรอบ หรือแม้กระทั่งเลิกส่งต่อค่านิยมแข่งขันกันทำงานหนักแลกเศษเงินที่ไม่เพียงพอใช้ชีวิต โถมความรักทุกอณูให้กับทุนจนไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้ตัวเอง

และถ้าให้พูดในมุมที่จอมเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างด้านสุขภาพจิตและความรุนแรงด้านเพศ จอมก็คาดหวังเป็นอย่างมากว่า คนไทยจะสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตได้อย่างเป็นปกติในอนาคตอันใกล้ 

นี่คือสิ่งที่รัฐทำได้ เพื่อให้ผู้คนได้ดื่มด่ำความเป็นมนุษย์และรักตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น

ถ้าเขาอยากให้เรารัก เขาจะทำ