หญิง ยา คนมีสี ซากปรักหักพังบนสุสานเด็กหลุดวงเวียน 22 - Decode
Reading Time: 7 minutes

เศษซากปรักหักพังของรัฐไทยที่มาพบกันแบบไม่ได้นัดหมาย

เด็กหนุ่มและเด็กสาวจำนวนมากระหกระเหินจากบ้านเกิด เข้ามาเพื่อหวังหาผู้ใหญ่ที่พร้อมโอบกอดวัยเด็กของพวกเขามากกว่าคนที่บ้าน แต่สิ่งที่ได้ กลับกลายเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่ยื่นเงินเพื่อแลกกับร่างกายของพวกเขา และพึ่งพายาเสพติดเป็นทางออกจากความทุกข์รายวัน

โดยเฉพาะในย่านวงเวียน 22 กรกฎาคม ไม่ใช่แค่ขาดมาตรการเชิงรุกในการเข้าหาเด็กหลุด ที่เริ่มเข้ามาด้วยอายุที่น้อยลงแต่จำนวนกลับมากขึ้นทุกขณะ รวมถึงอิทธิพลของคนมีสีในธุรกิจสีเทา ที่คอยฉกฉวยและขูดรีดผลประโยชน์จากคนขายบริการและยาเสพติดในย่าน เพราะการมีอยู่ของคนชายขอบเหล่านี้คือแหล่งทำเงินและทำผลงานชั้นดี

กลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้งกับน้ำเสียริมฟุตบาธ

สีแดงสดบนริมฝีปากที่เห็นได้ชัดแม้เวลากลางคืน

และอิทธิพลของคนมีสีทำให้วงเวียนแห่งนี้ไม่เคยขาด “หญิงและยา”

ความเป็นจริงบนสุสานเด็กหลุด ที่ความบิดเบี้ยวของสังคมไม่เคยมีวันหยุดทำการ

เปลี่ยนร่างกายเป็น ‘ทุน’ เร่ร่อน และหลุดลอยใต้แสงนีออน

หากพูดถึงการค้าบริการ หลายคนอาจนึกถึงเส้นถนนรัชดา ที่เรียงรายไปด้วยป้ายไฟนีออนของร้านอาบ อบ นวด หญิงสาวนั่งรอกันในตู้กระจกให้ท่านชายมาเลือก แต่อีกฟากของมุมเมือง มีเพียงเก้าอี้พลาสติกสีขาวเป็นล็อบบี้ให้ลูกค้าเข้ามาเช็คอิน

ในปัจจุบัน หากมีใครพูดถึงวงเวียน 22 ภาพที่ตามมาก็คงจะไม่พ้นการขายบริการและคนเร่ร่อน ที่โยกย้ายมาอาศัย ทำมาหากินในบริเวณนี้จำนวนมาก ยิ่งในช่วง 3 ปีหลังมานี้ ตัวเลขของผู้ขายบริการและคนเร่ร่อนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะผลของพิษเศรษฐกิจที่ถูกกระทบจากโรคระบาด ผู้คนจำนวนมากไร้งาน ไร้เงิน ในขณะที่ต้องหาเลี้ยงชีพ มิหนำซ้ำยังรวมถึงชีวิตอื่นในครอบครัว การขายบริการถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ใช้ต้นทุนน้อยที่สุดในขณะที่ผลตอบแทนได้มากและเร็ว

เนย สาวขายบริการวัย 24 ปี เธอประกอบอาชีพนี้มาตั้งแต่อายุ 13 ปี แต่เป็นลักษณะทำ ๆ เลิก ๆ เพราะจริง ๆ ตัวเนยเองไม่ได้อยากประกอบอาชีพนี้แต่ชีวิตขีดเส้นด้วยคำว่าหนี้ เธอมองว่าการขายตัวจะทำให้เธอได้เม็ดเงินมากพอในระยะเวลาที่จำกัดมาใช้จ่ายค่าต่าง ๆ ในชีวิต

“ถามว่าที่นี้มีคนขายบริการเยอะไหม เอาเป็นว่าผู้หญิงคนไหนนั่งเก้าอี้รอก็ขายตัว พี่เห็นตึกเก่า ๆ นั่นก็โรงแรม ทุกซอกทุกมุมของวงเวียน 22 ก็ขายกันทุกที่แหละ”

แรกเริ่มเนยเข้าสู่วงการขายบริการ เป็นผีขนุนในบริเวณท้องสนามหลวง หลังจากที่มีการกวดขันและตรวจตราการค้าบริการ จึงได้โยกย้ายมาเส้นถนนราชดำเนิน แยกคอกวัว จากนั้นไม่นานเนยโดนจับเข้าคุกข้อหามียาเสพติดไว้ครอบครอง หลังจากออกมาก็ได้กลับมาประกอบอาชีพนี้อีกครั้ง เนยไม่ได้ขายบริการแต่เพียงอย่างเดียว เนยยังเคยเป็นเด็กปั๊มและรับจ้างทั่วไป แต่ภาระหนี้สินในเวลาที่จำกัด ทำให้เนยต้องกลับเข้าสู่การขายบริการซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในย่านวงเวียน 22 ถึงแม้กลุ่มผู้ขายบริการจะมีหลากหลายรูปแบบ ทว่า กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ขายบริการที่นี่เป็น เด็กเร่ร่อนที่เคยหลุดจากระบบการศึกษา ส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด ตั้งแต่เขตปริมณฑลอย่าง นนทบุรี หรือ ปทุมธานี ไปจนถึงจังหวัดอื่น ๆ ทุกภูมิภาคของประเทศไทย ในอดีตพวกเขาจะรวมตัวอยู่ที่หัวลำโพง แต่หลังการทลายการค้าบริการในหัวลำโพงเมื่อปี 2562 ทำให้พวกเขามาปักหลักอยู่ที่วงเวียนนี้และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เนยเล่าว่า สาเหตุที่ตนและเพื่อนขายบริการอีกหลายคนเลือกทำอาชีพนี้ เป็นเพราะต้นทุนทางชีวิตที่ได้หลุดจากการศึกษาเมื่อนานมาแล้วทำให้ไม่มีวุฒิมากพอจะไปสมัครงานที่ไหน สำหรับบางคนก็ไม่มีบัตรประชาชนหรือฐานข้อมูล ไม่สามารถระบุตัวตนได้ สำหรับอาชีพอิสระที่ใช้แค่ ร่างกายเป็นต้นทุน อีกทั้งใช้เวลาไม่นาน ได้เงินจำนวนมาก อาชีพนี้กลายเป็นตอบโจทย์ชีวิตสำหรับพวกเขา

เนยพาเดินไปสำรวจใน 2 จุดที่มีการขายบริการมากที่สุด นั่นคือตรอกมะขามและแยกหมอมี ตั้งแต่ยืนรอข้างถนน นั่งตามโรงแรม ไปจนถึงหาลูกค้าหน้าใหม่จากร้านกินดื่มแถวนั้น โดยสาวขายบริการที่นี่มีตั้งแต่อายุ 18 ปี ไปจนถึง 60 ปีขึ้นไป สาวขายบริการในย่านวงเวียน 22 จะอยู่ตามข้างถนนเป็นส่วนมาก รอให้ลูกค้าที่ขับรถหรือเดินผ่านมาเลือกใช้บริการ ราคาค่างวดของหญิงขายบริการในย่านนี้จะอยู่ที่ 600 บาทเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบางกลุ่มที่รับงานเป็นหลักแหล่งและอยู่ตามโรงแรมใหญ่ เป็นกลุ่มที่เนยเรียกว่า ”เกรด A” จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,000 บาทขึ้นไป

จากอดีตที่ต้องมาซื้อบริการแบบเดินดู ปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจนี้ ทั้งการโทรนัด ไปจนถึงการดีลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ แน่นอนว่ามีความเสี่ยงและการค้าประเภทอื่นที่ผิดกฎหมายรวมอยู่ในนั้นด้วย

“ค่าโรงแรม ค่าถุงยาง ลูกค้าจะเป็นคนจ่าย แต่โรงแรมแถวนี้มันก็มีไว้แค่เอากัน มันนอนไม่ได้หรอก อย่างมากก็คืนละ 300 บาท แต่แบบรายชั่วโมงก็มี” เนยเล่าถึงค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจนี้

แม้ต้นทุนอย่างร่างกายที่ว่าจะถดถอยอย่างรวดเร็วเมื่อเข้ามาสู่สายอาชีพนี้ ทั้งการกิน การนอนที่ไม่เพียงพอ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์หลายครั้งใน 1 วัน เนยเล่าว่า บางคนที่ร้อนเงินก็มีรับงานถึง 10 ครั้งขึ้นไปต่อวันในระยะเวลาไม่กี่ชัวโมง เพื่อให้ได้เงินมาจ่ายค่าห้อง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีที่ซุกหัวนอน

อาชีพขายบริการเป็นอาชีพอิสระ ไม่ได้อยู่ในระบบ ไม่ต้องขึ้นทะเบียน ไม่ต้องและไม่อยากบอกกล่าวกับใคร สาวขายบริการในวงเวียน 22 หลายคนก็เป็นพนักงานทั่วไป มีงานประจำ แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจและพันธะส่วนตัวที่ต้องใช้เงินมากกว่าที่ได้ การขายบริการก็เป็นอีกอาชีพเสริมที่หลายคนมองหา

“อย่างพวกหนูคือขับมอเตอร์ไซค์ หาเช้ากินค่ำ แต่บางคนมาทำงาน มายืนรอลูกค้าเขาขับปาเจโร่นะ คือเขามีงานประจำทำ ที่เคยคุยก็มีสาวออฟฟิศแต่เขามาทำเพราะต้องการเงินเพิ่ม”

เนยกล่าวเสริมว่า ในแต่ละย่านจะมีขาประจำ เจ้าถิ่นคอยตรวจตราสาวขายบริการที่มาใหม่ หลังจากโควิดแพร่ระบาด มีคนที่มาขายบริการเยอะมากขึ้น จนแต่ละจุดนั้นต้องแย่งลูกค้าด้วยความสามารถของตนเอง

งานขายบริการดูจะเป็นงานสำหรับคนที่ไม่มีทางเลือก แต่ในความเป็นจริงพวกเขาถูกบีบบังคับให้ไม่มีทางเลือกต่างหาก

จากการออกมาสู่ริมถนนตั้งแต่วัยเด็ก วุฒิการศึกษาที่ต่ำกว่าเกณฑ์สมัครงาน โดยเฉพาะการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนตามกฎหมาย ทำให้พวกเขาเป็นหนี้จำนวนมหาศาล ปัจจัยเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องขายร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า

ในขณะที่การยกระดับสถานะทางสังคมและสถานะทางเศรษฐกิจของพวกเขา ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ นอกจากความเข้าใจเรื่องวินัยทางการเงินหรือหนี้สินที่ติดมา แต่การหลุดเข้าไปในวงการนี้ ยิ่งเป็นงานนอกระบบ และถ้าสถานะทางสังคมน้อยเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าการถูกกดทับจากกฎหมายและการหาช่องโหว่จากอาชีพสีเทาก็ยิ่งมีมากเท่านั้น

เงินที่ได้มาแต่ละวัน อาจต้องเสียให้กับ ‘แมงดา’ ที่โรงแรม ที่บ้าน และบางครั้งอาจเป็นที่สถานีตำรวจ นั่นเป็นที่มาว่าทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถเข้าถึงการยกระดับทางสังคมและเศรษฐกิจได้เลย

ตั้งแต่รถมอเตอร์ไซค์ ตุ๊กตุ๊ก แท็กซี่ ไปจนถึงรถหรูแบรนด์ยุโรป ต่างก็มาจอดรอเพื่อเลือกใช้บริการของหญิงสาวเหล่านี้

“เที่ยวไหมจ๊ะตัวเอง ถูก ๆ นะไม่แพง ไปด้วยกันไหม?” สิ้นเสียงของสาวขายบริการในตรอกมะขาม ทั้งชายหนุ่มหรือชายแก่ ก็เข้าโรงแรมเพื่อแลกความรักหลักร้อยกลับมา

เหยื่อของความรุนแรง ฉกฉวยและขูดรีด

“มึงมันร่านไง ถ้ามึงไม่ทำตัวแรด เขาก็ไม่ทำอะไรมึงหรอก” แม่กล่าวกับเนยในวัย 9 ขวบ ที่เข้าไปขอความช่วยเหลือหลังจากถูกข่มขืนโดยพ่อเลี้ยงหลายต่อหลายครั้ง

จากข้อมูลสถิติปัจจัยที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษาของมูลนิธิสายเด็ก ปัญหาที่ทำให้เด็กหลุดฯ มีต้นเหตุมาจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมาเป็นอันดับหนึ่ง หลายคนต้องพบเจอกับการล่วงละเมิดทางเพศจากกลุ่มคนที่พวกเขาถูกบังคับให้เรียกว่า “พ่อ”

ระหว่างที่ไปแยกหมอมี สถานที่ทำงานของเนย แม้จะเป็นถนนที่หลายคนขับรถผ่าน แต่หากลงมาข้างทางจะพบว่ามีคนไร้บ้านและหญิงสาวที่เจอเหตุการณ์คล้ายกับเนยมาขายบริการเกือบเต็มช่วงถนน เธอกล่าวหลายรอบว่า “ที่หนูมาทำก็เพราะหนูใจแตกแต่เด็ก”

เนยเป็นคนนนทบุรีโดยกำเนิด เธอเกิดและเติบโตในบ้านหลังเล็ก ๆ ในชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง ทางบ้านไม่ได้ฐานะดีนักและไม่รู้ว่าพ่อจริง ๆ เป็นใคร เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยสักครั้ง

แม่ของเนยประกอบอาชีพขายยาเสพติด เธอกล่าวว่าแม่คบกับผู้ชายหลายคนตั้งแต่เธอยังเด็ก และก่อนที่เนยจะออกจากบ้านหลังนั้น แม่ได้ไปคบกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเธอเรียกเขาว่าลุง ผู้ชายคนนี้คือเอเยนต์ที่ส่งยาให้กับแม่ของเธอนำไปขาย และแม่ชอบผู้ชายคนนี้เข้าอย่างจัง

“หนูไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลยนะ คือเราแค่รู้สึกว่าไม่อยากเรียก ก็จะเรียกแต่ลุง ใจหนึ่งคือเราคิดว่าจะมีพ่อหรือไม่มีพ่อก็ค่าเท่ากัน ชีวิตก็ไม่มีทางดีขึ้นกว่านี้ กับอีกอย่างหนึ่งตอนเด็ก ๆ เราก็พอเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ทำให้แม่เรามาขายยา หนูก็ไม่ชอบเขาเพราะบ้านเราต้องตกต่ำเพราะเขา”

หลังจากแม่คบกับผู้ชายคนนี้ได้ไม่นาน ลุงก็เริ่มย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเดียวกับเนย แต่มาในลักษณะของมา ๆ ไป ๆ และเนยเริ่มรู้สึกแปลกใจเมื่อช่วงหลังเขามักจะมาในช่วงที่แม่ไม่อยู่

“ถ้าเขามาก็น่าจะมาหาแม่สิ ไม่ใช่มาหาเรา คือเราไม่รับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เราเลยนะ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ล่วงละเมิดทางเพศก่อน ให้จับนู่นจับนี่ จนกระทั่งเริ่มข่มขืนเรา จากครั้งแรกก็มีอีกหลายครั้งที่ตามมา”

“วันหนึ่งเรากล้าเดินไปบอกแม่ว่าลุงเขาข่มขืน แต่แม่ทุบตีเราแล้วด่าว่า ‘มึงไปอ่อยเขาหรอ?’ วินาทีนั้นเราใจสลาย ก็เลยตัดสินใจออกจากบ้านเพราะว่าอยู่ที่นั่นไม่ได้แล้ว” เนยกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ยังคงเคลือบแคลงใจ

ชีวิตของเนยไม่ใช่เรื่องทั่วไป กลับกัน เรื่องราวของการล่วงละเมิดทางเพศ ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงกับบุตรหลานในหลายครอบครัวยังคงมีให้พบเห็นในสังคม แต่ขณะเดียวกันความรุนแรงที่ว่าไม่จำกัดแค่ผลกระทบต่อร่างกาย การทอดทิ้ง ความเหงา ก็รุนแรงพอ ๆ กัน เช่นเดียวกับเรื่องของไอซ์ เด็กหนุ่มวัย 19 ปี สิ่งเดียวที่เขารู้คือพ่อทิ้งไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ

“ผมจำความได้ก็อยู่ในสถานสงเคราะห์แล้ว จำหน้าพ่อหน้าแม่ไม่ได้ จริง ๆ ผมเป็นคนไทยนะ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยไปแจ้งเกิดผม เวลาจะทำอะไรมันก็ยากไปหมด เปิดบัญชีก็ไม่ได้ หางานก็ยาก เหมือนกับเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวเราเอง”

ช่วงชีวิตวัยเด็กของไอซ์ ถึงแม้จะได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐในการพาเข้าสู่สถานสงเคราะห์ แต่นั่นกลับกลายเป็นฝันร้ายยิ่งกว่า ชีวิตวัยเด็กของไอซ์ในสถานสงเคราะห์เต็มไปด้วยความรุนแรง ระบบที่ใช้ดูแลในนั้น ไอซ์เล่าว่าเป็นระบบพี่ปกครองน้อง คือให้รุ่นพี่ควบคุมรุ่นน้องอีกที ในขณะที่ไอซ์เป็นคนที่ไม่มีปากเสียงข้างในนั้น การโดนกลั่นแกล้ง ทำร้ายร่างกาย คือสิ่งที่เขาต้องเจอเป็นประจำทุกวัน

“มีอยู่ครั้งหนึ่งผมทนไม่ไหว ก็เลยลุกขึ้นไปปะทะกับรุ่นพี่ สุดท้ายคนดูแลมาห้าม กลายเป็นว่าเราเป็นคนผิด ทั้ง ๆ ที่เราทนมานาน ที่เจ็บใจกว่าคือหลังจากที่คนดูแลทำโทษ(ตี) เราแล้ว เขายังให้รุ่นพี่คนนั้นมาทำโทษเราต่อ” หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน ไอซ์ก็ตัดสินใจหนีออกจากสถานสงเคราะห์และไปหาน้าที่รู้จัก เพื่อขอเป็นแหล่งพักพิง

ไม่ว่าจะเรื่องของเนยหรือไอซ์ เด็กจำนวนมากในประเทศนี้ ทุกคนต่างพยายาม “หนี” บางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าผู้ใหญ่ พวกเขาคิดว่าจะได้ความรักกลับมา แต่สิ่งที่ได้กลับมีแต่การฉกฉวยประโยชน์ การเมินเฉย และความรุนแรง

วงจรของเด็กหลุดจากระบบการศึกษา เริ่มต้นที่หนีจากความรุนแรงทางบ้าน ระหกระเหินในการหาเงินด้วยการขายตัว และเงินเล็กน้อยที่พวกเขาไม่พอเหลือเก็บต้องมาพึ่งพายาเสพติด

ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้อาศัยอยู่ในวงเวียน 22 เพียงอย่างเดียว แต่พวกเขายังคงติดอยู่ในวงจรนรก จนถึงวันนี้ก็ยังมีเด็กหลุดเข้าไปแล้วหาทางออกไม่เจอ

มีสี มีอิทธิพล มีเงิน มีผลงาน

บางครั้งคนในเครื่องแบบก็ไม่ได้มาจับหรือตรวจตรา หลายครั้งที่พวกเขามาในฐานะลูกค้า และหลายพื้นที่พวกเขากลายเป็นผู้มีอิทธิพล ได้ทั้งกำไรและผลงานไปจำนวนไม่น้อย

หลังจากที่เนยหนีออกจากบ้านและเริ่มเข้าสู่วงการขายบริการ ลูกค้าที่พบเจอมีมากหน้าหลายตา แต่ที่เนยกล่าวว่าเป็นลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานราชการ รัฐวิสาหกิจที่ทำงานในบริเวณนี้ และหนึ่งในนั้นมีตำรวจด้วยเช่นกัน

“ตอนที่ยังรับงานแถวราชดำเนิน บางวันตำรวจก็มาหา เราก็ทำเป็นว่าเรามายืนเฉย ๆ ไม่ได้ขาย แต่เขาก็บอกว่าไม่ได้มาจับ แต่มาซื้อ จริง ๆ หนูก็เคยเป็นสายให้กับตำรวจหลายคนเหมือนกัน เขาก็ให้มาดูว่าตรงไหนจับได้บ้าง แต่หนูไม่ค่อยได้บอกเขาหรอก เราก็สงสารคนที่ทำมาหากินเหมือนกัน”

วันหนึ่ง เนยนัดกับเพื่อน ๆ ไปเที่ยวและมีการเล่นยาเสพติด แต่แล้ววันนั้นก็โดนบุกจับโดยตำรวจชุดหนึ่ง จริง ๆ ก่อนหน้านี้เนยก็เคยโดนจับกับเพื่อน ๆ แต่บางวันก็โชคดีที่ไม่ได้เล่น บางวันก็ต้องเสียเงินหลักพันเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเข้าคุก แต่ในวันนั้นเนยไม่ได้โชคดี เนยเล่นยาและโดนพาไปที่ สน.

หลังจากการพูดคุยเสร็จ เนยไม่ได้มียาเสพติดไว้ที่ตัว แต่สารเสพติดที่ยังค้างในร่างกายและอาการท่าทางยังคงอยู่

“ตำรวจเขาก็มาคุย สุดท้ายคุยไปคุยมาเขาก็ถามว่าอยากโดนอาญาหรือแพ่ง หนูก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะตอนนั้นแค่ 15 เอง ก็เลยตอบไปว่าอาญา ทีนี้ก็เอาเลย โดนจับข้อหามียาเสพติดไว้ครอบครอง 1 เม็ด คือเขาเขียนสำนวนไปแบบนั้น ต้องเข้าคุกไป 8 ปี” ปัจจุบันเนยพึ่งออกจากคุกได้เพียง 2 ปีกว่า

เนยยังเล่าเสริมว่า ในการจับกุมลักษณะนี้ ซึ่งกลุ่มคนอาจจะใช้สารเสพติดจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ มักจะถูกข่มขู่และจำต้องยอมเป็นไปตามคำสั่งของตำรวจเหล่านี้ หากจ่ายเป็นเงินจะตกอยู่ที่หัวละ 1,000 บาท ดูอาจเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่นั่นอาจเป็นเงินที่ได้มาจากการทำงานทั้งวัน และหากใครไม่มีเงินจ่าย ก็ต้องยอมจ่ายด้วยร่างกายให้ตำรวจแบบไม่เสียสักแดงเดียว

ทุกวันนี้ที่เนยทำงาน บางครั้งระหว่างยืนรอลูกค้า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาหาและให้ไปถ่ายรูปเพื่อบันทึกหลักฐานคล้ายกับการแสร้งว่าจับผู้ใช้ยาเสพติด หลังจากนั้นก็มอบเงินเป็นค่าเสียเวลา 200 บาทให้กับนักแสดงทุกท่าน

ในขณะที่วงเวียน 22 อยู่ในเขตพื้นที่ดูแลของสน.พลับพลาไชย 2 ทว่า โรงแรมส่วนมากและการค้าบริการหลายจุด รวมถึงโรงแรมขึ้นชื่อและเกรดดีที่สุดในย่านนั้นกลับเป็นของ ตำรวจ 

“แถวนี้เขารู้กันหมดแหละ หลายโรงแรมก็ของตำรวจเอง เกือบทุกที่ก็ต้องจ่ายส่วย อย่างโดนล่อซื้อจับยาเสพติดก็มี บางครั้งไม่ได้เล่นแต่ก็มาจับเอาดื้อ ๆ เอาไปถ่ายรูป อยู่ในห้องขังสัก 2 วันก็ออกมา
เป็นมาตั้งนานแล้วและไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย”

จากคำบอกเล่าของเนยและเพื่อน ๆ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดเหตุในลักษณะดังกล่าวค่อนข้างบ่อย และนายตำรวจที่เป็นผู้มีอิทธิพลและเป็นเจ้าของโรงแรมดังในย่าน ก็ยังคงมีผลงานอยู่เรื่อย ๆ และยังไม่มีการลงมาตรวจสอบใด ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

อีกทั้งในย่านวงเวียน 22 ไม่เคยมีการตรวจจับการค้าบริการเลย ส่วนมากจะมีแต่การล่อซื้อจับยาเสพติด แต่การขายบริการจะมาในรูปแบบของส่วยเสียมากกว่า

ในขณะที่แนวคิดของการนำ Sex workers  ขึ้นมาสู่บนดิน กำลังถูกผลักโดยกลุ่มภาคประชาสังคม อย่าง กลุ่ม Swing การจัดเก็บภาษี การนำเข้าสู่ระบบให้เป็นเรื่องเป็นราว น่าจะสร้างผลประโยชน์ในรูปแบบของภาษีเข้าสู่ประเทศได้มากกว่า

ตัวอย่างจากการเก็บภาษีงานขายบริการอย่าง Tax Domme ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองซีแอทเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย Lori St. Kitts เธอได้ช่วยเหลือการจ่ายภาษีของ Sex workers หลายรูปแบบ ซึ่งมีที่มาจากการที่เหล่าผู้ขายบริการพบกับปัญหาการถูกขูดรีดโดยนายหน้า ในขณะที่แต่ละเดือนพวกเขาสามารถทำเงินไปได้กว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ 

St. Kitts เองก็เป็น Sex workers แต่เธอโตขึ้นในที่ทำงานของแม่ซึ่งเป็นสำนักงานภาษี ทำให้เธอเกิดไอเดียที่จะผลักดันให้แรงงานทางเพศเข้าสู่ระบบแรงงาน โดยมีการจ่ายภาษีให้รัฐ และผลที่ได้ คือมีเงินหมุนเวียนจากภาษีของ Sex workers ในอเมริกาถึง 14,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และผู้ค้าบริการทางเพศเหล่านี้ก็สามารถไปถึงการมีชีวิตที่มั่นคง จากการเป็นคนในระบบและเข้าถึงสวัสดิการของรัฐจากการจ่ายภาษีได้

กลับกัน หากมีการผลักดันให้งานขายบริการทั้งหมดในประเทศ ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลหรือกลุ่มทุนสีเทาอีกต่อไป การนำเข้าสู่ระบบอาจทำให้ตัวเลขที่ได้ออกมาจากการเก็บภาษีอย่างครบถ้วน ไม่น้อยกว่าภาษีที่จัดเก็บได้ในสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำ

แม้การผลักดันให้เม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่นอกระบบเหล่านี้เข้าสู่ระบบ จะถูกขัดขวางด้วยศีลธรรมตามขนบของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 การมีกฎหมายนี้ซึ่งเป็นกฎหมายอาญาด้วยการเอาผิดทั้งจำคุกทั้งปรับกับพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การค้าประเวณี สิ่งนี้คือช่องทางที่ทำให้ผู้รักษากฎหมายใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรมมากดทับ เอาเปรียบ และทำร้ายพวกเขา

รวมถึงหลักฐานที่เนย และสาวขายบริการคนอื่น ๆ ต้องโดนรีดไถอย่างหมดเนื้อหมดตัวในแต่ละวัน
หรือการมีอยู่ของงานขายบริการมีนัยยะสำคัญต่อแหล่งรายได้ของคนมีสี?

เพราะในความเป็นจริง คนชายขอบเหล่านี้เป็นแหล่งทำเงินชั้นดีสำหรับคนมีสี สำหรับการขูดรีดเอาผลประโยชน์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม การมีอยู่ของพวกเขากลายเป็นการสร้างกำไรและผลงานในหน้าที่สำหรับตำรวจ ซึ่งลามไปถึงปัญหายาเสพติดดังในเรื่องราวของเนย ที่การเข้าคุกไป 8 ปีอาจกลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตำรวจนายนั้นก็เป็นได้

นั่นส่งผลให้อาชีพขายบริการไม่สามารถเป็นอาชีพที่ลืมตาอ้าปากได้เลย เพราะนอกจากจะต้องถูกขูดรีดโดยตำรวจ พวกเขายังต้องเดินบนเส้นทางนอกระบบที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน สิทธิ สวัสดิการจากรัฐในฐานะประชาชนได้เลย

นอกเหนือจากการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ซึ่งยังเต็มไปด้วยข้อสงสัยเคลือบแคลงใจของประชาชน องค์กรตำรวจเองในฐานะที่มีผลงานฉาวเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่เดือนแรกของปี 2566 ยิ่งควรถูกตรวจสอบ กระบวนการสีเทาเหล่านี้คืออีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษาซึ่งมาเป็นสาวขายบริการ ไม่สามารถเขยิบสถานะทางเศรษฐกิจและสถานะทางสังคมได้

หากวันนี้ Sex workers เป็นอาชีพที่อยู่ในระบบ หลายคนอาจไม่ต้องกลับมาประกอบอาชีพนี้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความจำเป็นทางการเงิน พวกเขาอาจมีทางเลือกในอาชีพมากขึ้น และประเทศสามารถสร้างรายได้มหาศาลจากภาษีบาปนี้

แต่ความจริง เม็ดเงินมหาศาลกลับเข้ากระเป๋าของคนเพียงหยิบมือ 

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เด็กหลุดเล่นทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่

“แซ็ก แซ็ก” 

“มึงจุดดี ๆ ดิ เดี๋ยวก็เสียของหมด” เสียงจุดไฟแช็กทำให้เหลือบตาไปเห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งในซอกหลืบระหว่างตึกกำลังจุดบุหรี่ และในมือมีผงขาวพร้อมเข็มฉีดยา

ในอดีต ไอซ์เองหลังจากย้ายมาอยู่บ้านน้า ก็ได้มีปากเสียงและหนีออกจากบ้านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไอซ์มาปักหลักอยู่ที่หัวลำโพง ไอซ์ในช่วงอายุ 13 ปี ได้เริ่มต้นทำอาชีพขายบริการและเริ่มใช้ยาเสพติด

“เงินค่าตัวของแถบนี้ก็จะเท่า ๆ กัน คือรอบหนึ่งประมาณ 500-600 บาท ไม่รวมทิป แต่ของหัวลำโพงส่วนมากจะเป็นแบบเข้าพุ่ม คือตรงไหนมืด ๆ หน่อยก็ตรงนั้นเลย แต่ผมไปเริ่มเล่นยาเสพติดตอนมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแบบให้ไปดื่มด้วย เขาก็ให้ลองเล่นยา พอเราเริ่มลองก็ไปหามาเสพเอง เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ถึงกับหาหรอก เพราะแถวนั้นก็ได้มาไม่ยากอยู่แล้ว”

หลังจากมาปักหลักที่หัวลำโพงได้สักระยะ ไอซ์เริ่มรวมกลุ่มกับเพื่อนแถวนั้น ทั้งในแง่ของการขายบริการไปจนถึงการเล่นยาเสพติด ทุก ๆ วันไอซ์จะไปทำงานวันละ 2 รอบ ได้เงินมาประมาณ 1,000 บาท เพื่อนำมาซื้อยาเสพติด

ไอซ์เล่าว่าในกลุ่มคนที่มีเงินน้อย ยาเสพติดที่เล่นจะมีอยู่ 2 ตัว คือตัวเล็กและตัวใหญ่ แปลในชื่อที่คุ้นหูกันอีกนิด คือยาบ้าและยาไอซ์

ยาไอซ์และยาบ้าเป็นยาประเภทเดียวกัน ในขณะที่ยาบ้ามักจะมาในรูปแบบเม็ดสีส้ม แต่ยาไอซ์จะมีในรูปแบบของผงสีขาว ยาไอซ์จะมีความบริสุทธิ์สูงกว่ายาบ้าถึง 4-5 เท่า และทำให้เกิดอาการติดได้มากกว่า ไวกว่าและส่งผลรุนแรงมากกว่า

ไม่แน่ชัดว่ายาที่ขายในบริเวณนั้นจะมีความบริสุทธิ์มากน้อยจริงเท่าไหร่ แต่ราคาที่ขายกัน ยาบ้าจะอยู่ที่เม็ดละ 25 บาท และยาไอซ์จะขายอยู่ที่ 500 บาท/100 กรัม

“ช่วงนั้นบางวันถ้าอยากยามาก ๆ ผมก็รับงานเยอะนะ ช่วงที่ติดมาก ๆ ก็ตัวเล็กวันละ 10 ส่วนตัวใหญ่จะประมาณ 100 g ก็เล่นมันทั้งวัน พอหมดก็ซื้อเพิ่ม”

“ถามว่าตอนนั้นทำไมเล่น มันฟินอะพี่ ชีวิตเราห่วย ๆ แต่พอมียามันทำให้รู้สึกดีขึ้น ถึงผอม ถึงดูไม่ได้แต่ตอนนั้นมันมีแค่นั้นไง แต่ถ้าถามตอนนี้นึกย้อนไปก็ไม่เอาอีกแล้วนะสภาพตัวเองแบบนั้น” ไอซ์พูดไปส่ายหัวไป เมื่อนึกย้อนถึงชีวิตในอดีต

เนยก็เช่นกัน ถึงแม้เนยจะไม่ได้เสพในปริมาณที่มากเท่ากับไอซ์ ทว่า เนยเองก็เริ่มต้นจากการไปขึ้นงานแล้วลูกค้าชวน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เข้าสู่วังวนของยาเสพติดและยากกว่าจะออกตรงนั้นมาได้

เนยได้เล่าต่อว่า ถึงแม้วันนี้ตัวเองจะไม่ได้เล่นยาเสพติดแล้ว แต่ข่าวคราวของยาเสพติดก็ยังไม่หายไปไหน คนรู้จักหรือเพื่อนฝูงก็ยังมีคนเสพจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังปรากฎยาตัวใหม่ขึ้นมาเสมอ และที่เป็นที่นิยมขณะนี้คือยาที่ชื่อว่า B5

บีไฟว์ เป็นยาเม็ดขาวมีปั๊มตรงกลางเม็ดว่า B5 ใช้ในการเสพโดยการบดให้เป็นผงขาวแล้วเผาเพื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายหรือผสมน้ำกิน สนนราคาอยู่ที่เม็ดละ 20 บาท แต่เดิมเป็นยาสำหรับการรักษาพาร์กินสันและจิตเวช ออกฤทธิ์กล่อมประสาท ถึงจะบรรจุเป็นยาอันตราย แต่ก็สามารถหาได้ตามร้านขายยาทั่วไปภายใต้การจ่ายยาของเภสัชกร

ถึงแม้ยาชนิดนี้จะเป็นที่นิยมในปัจจุบันสำหรับผู้ขายบริการในวงเวียน 22 ทว่ายาชนิดนี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2554 โดยเด็กนักศึกษาแพทย์นำมาใช้เป็นยาผ่อนคลายสำหรับการเรียนที่หนัก ในปีนั้นสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพได้ร่อนหนังสือถึงมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อตรวจตรานักศึกษาในการใช้ยาประเภทนี้

แม้ยาเสพติดสำหรับไอซ์จะเป็นทางออกเชิงปัจเจก แต่ในความเป็นจริงการปล่อยให้เล็ดลอดสายตาของตำรวจไปได้ ทั้ง ๆ ที่ในบริเวณนั้นมียาเสพติดระบาดอย่างที่ไอซ์กล่าว รวมถึงการยัดยาให้กับเนย ซึ่งเป็นผลให้เธอต้องเข้าคุกไปถึง 8 ปี คนชายชอบ+เล่นยา อาจเป็นสมการที่ตำรวจคิดคำนวนเป็นรายได้ประจำที่เสริมจากภาษีประชาชนอยู่แล้วก็เป็นได้

ยิ่งต้องทบทวนถึงนัยยะสำคัญของการมีอยู่ของยาเสพติด ว่าท้ายที่สุด เหล่าคนมีสีมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไรกับการปล่อยให้ยาเสพติดระบาด ทั้ง ๆ ที่การปราบปรามคือหน้าที่หลักของตน

สวัสดิการเกินเอื้อมของคนชายขอบ

“ไอซ์เลย ไอซ์เฉย ๆ” ไอซ์มีสีหน้าเรียบเฉยขณะที่กำลังถามถึงชื่อ-สกุล

บัตรประชาชนของไอซ์นอกจากเป็นบัตรสีขาวที่ไม่คุ้นตา และมีรหัสตัวแรกเป็นเลข 0
ชื่อบนบัตรมีเพียง นาย ไอซ์ ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น

ไอซ์ไม่ได้ถูกแจ้งเกิดโดยพ่อและแม่ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุในการไม่ไปแจ้งเกิดและทิ้งเขาไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่วัยแบเบาะ ทำให้ไอซ์กลายเป็นบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้และเป็นที่มาของบัตรขาวของเขา

บัตรขาว คือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน มีลักษณะใกล้เคียงกับบัตรประจำตัวต่างด้าว ทว่า เพราะไอซ์เป็นคนไทยและเกิดที่ประเทศไทย แต่กลับไม่มีข้อมูลและตัวตนของเขาอยู่ในระบบเลย ถ้าหากวันนี้ไอซ์จากไป เขาก็ยังเป็นคนที่ไม่พบประวัติหรือทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้

ที่ผ่านมา ไอซ์แทบไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการใด ๆ ของรัฐได้ ยังดีที่ไอซ์ยังอยู่ในวัยที่หนุ่มแน่นทำให้เขาพอจะประคับประคองสังขารตัวเองได้อยู่ แต่สิ่งที่ไอซ์ต้องการมากกว่าสวัสดิการในการรักษาพยาบาล คือเรื่องของการเข้าถึงการงานที่มั่นคง และแหล่งเงินในการซื้อสิ่งของต่าง ๆ ในชีวิต

ไอซ์เป็นเด็กผู้ชายทั่วไป มีความฝันที่อยากจะมีบ้าน มีรถ แต่ความฝันก็ถูกหยุดตั้งแต่ที่เขาไม่สามารถทำบัตร ATM หรือบัญชีใด ๆ ได้ เพราะบัตรขาวที่เขามีไม่น่าเชื่อถือพอสำหรับธนาคาร

“ทุกวันนี้คือผมเช่าห้องอยู่กับแฟน แต่ก่อนคือเราก็ทำงานได้เงินมา ก็ฝากไว้กับผู้ใหญ่ที่สนิท อยากใช้ก็โทรไปบอกเขาก็เอามาให้ แต่มีครั้งหนึ่งโดนโกง ก็เริ่มมาเก็บไว้กับตัว แต่ก่อนมันยากที่ว่าเราย้ายที่อยู่บ่อย พกเงินเป็นกระปุกจะเอาไปไหนมาไหนก็ลำบาก ความฝันหนึ่งที่มีคืออยากมีบัญชีเป็นของตัวเอง

นอกจากนี้ไอซ์เองก็เคยประกอบอาชีพก่อสร้าง ไอซ์เคยไปสร้างสนามกอล์ฟแถวบางปะกง เหมารถกันไปทำงานอยู่หลายเดือน จากค่าจ้างที่ได้ตกลงไว้หัวละ 20,000 บาท สุดท้ายได้เพียง 2,000 บาท ไอซ์เล่าว่านายจ้างของเขาเป็นชาวดูไบ หลังจากที่เจรจาเพื่อขอเงินเพิ่ม ท้ายที่สุดไอซ์และพวกยอมแพ้และรับเงินเพียง 2,000 บาทกลับบ้าน เป็นเพราะว่าหลายคนก็เป็นแรงงานข้ามชาติ และถูกข่มขู่ว่าหากไปแจ้งความจะตามไปเก็บเรียงตัว

การมีอยู่ของบัตรประชาชนหรือบัตรขาว แม้ตามระเบียบจะเขียนไว้ว่าสามารถเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ แต่บางครั้งความเป็นคนชายขอบ ทำให้พวกมักถูกละเลย หลายสิ่งที่ดูเป็นเรื่องง่าย ๆ กลับเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา

ปัจจุบันเนยมีลูก 3 คน คนแรกจากแฟนเก่า และอีก 2 คนกับแฟนใหม่ ถึงแม้ 2 คนหลังจะเกิดมาครบสมบูรณ์ แต่กับคนแรกเรียกได้ว่ายากตั้งแต่น้องอยู่ในท้อง

เนยรู้ตัวว่าท้องได้ 3 เดือนตอนเข้าไปอยู่ในคุก หลังจากตรวจร่างกายโดยเจ้าพนักงานทัณฑสถาน ทำให้เนยต้องตั้งครรภ์และเลี้ยงลูกคนแรกอยู่ 1 ปีครึ่งในคุก ก่อนที่เด็กจะถูกส่งออกมาเพื่อเลี้ยงที่สถานรับเลี้ยงเด็ก

ลูกคนแรกของเนยมีสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลหลายประการ ตั้งแต่ที่เนยใช้ชีวิตแบบสุดขีดในขณะที่ตั้งท้อง ทั้งยาเสพติด การทำงาน ส่งผลให้คลอดก่อนกำหนด 2 เดือน และแฟนเก่าของเนยได้ถ่ายทอดเชื้อซิฟิลิสผ่านทางเลือด ทำให้ลูกคนแรกเป็นโรคค่อนข้างเยอะ ในช่วง 1-2 ปีแรก เนยเล่าว่าน้องเป็นเหมือนแผลไหม้ทั้งตัว และเมื่อโตขึ้นก็แพ้นมวัวและอาหารอีกหลายชนิด ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโต

ในขณะที่รัฐสนับสนุนให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี เป็นจำนวนเดือนละ 600 บาท แต่ว่าเนยจะได้รับเงินอุดหนุนนี้สำหรับลูกคนแรก ก็ล่วงเวลาไปเกือบ 2 ปี

“หนูไปยื่นเอกสารขอเงินอุดหนุน ก็ทำอะไรเสร็จจนผ่านเดือนก็แล้วสองเดือนก็แล้ว ก็ยังไม่ได้เงินสักที เขาก็บอกว่าเอกสารมันขาด เราถามว่าขาดอะไรเขาก็ตอบไม่ได้ ถามว่าช่วงนั้นลำบากมั้ย ตอบเลยว่ามาก มันเงินไม่เยอะหรอก ถามว่า 600 บาทเลี้ยงเด็ก 1 คนพอจริง ๆ หรือ แต่อย่างน้อยถ้าได้มาก็พอจุนเจือได้บ้าง ยังดีที่เขามีโอนย้อนหลังให้ ก็พึ่งได้มาเป็นเงินก้อนใหญ่”

เมื่อได้คุยกับไอซ์และเนย พวกเขาไม่ได้เห็นความสำคัญถึงสิทธิและสวัสดิการตามกฎหมายในส่วนต่าง ๆ ทั้งที่มีและกำลังจะเกิดขึ้น อย่าง พ.ร.บ. Sex workers, สิทธิแรงงาน หรือ ระเบียบการขอมีบัตรประชาชน 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่มีความรู้หรือมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยุ่งยากในระบบราชการไทย แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาแต่ละครั้งจากภาครัฐ ทำให้พวกเขามองว่าการพึ่งพาตัวเองให้ได้จะเป็นการดีที่สุด

รวมถึงปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลสถิติจากหน่วยงานรัฐไหนที่สามารถบันทึกถึงตัวเลขด้วยมาตรการเชิงรุกของเด็กหลุดจากระบบการศึกษา การขายบริการ และปัญหายาเสพติดได้อย่างครอบคลุม ด้วยเหตุนี้เองอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาดเสียที

เรื่องธรรมดาอย่างการได้มีหลักฐานทางการเงินเป็นของตัวเอง เงินอุดหนุนเด็กเล็ก กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ชี้ให้เห็นได้ชัดว่าราชการไทยยังคงมองพวกเขาเหล่านี้เป็นคนชายขอบอย่างแท้จริง ตกหล่น เมินเฉย และไร้ซึ่งมาตรการรองรับ เพราะตั้งแต่พวกเขายังมีลมหายใจ จนถึงวันที่หายไป ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หากความตายของคนรวย สามารถจัดมหรสพใหญ่โตเพื่อประจักษ์ถึงชีวิตที่ล่วงลับ

น่าเศร้าที่ใจกลางเมืองหลวงริมน้ำเจ้าพระยา กลับมีอีกหลายชีวิต ที่ความตายเงียบงันและจางหายก่อนกลิ่นธูปจะจางลงเสียอีก

ความหวังสีจางบนสุสานเด็กหลุด

“วี วอ วีวี วอ” ลูกคนแรกของเนยที่ยังพูดไม่เป็นภาษา แต่กลับเลียนเสียงที่ได้ยินเป็นประจำอย่างเสียงไซเรนได้ชัดเจน

“ถ้าถามว่าวันนี้อยากทำอะไรมากที่สุด ก็คืออยากกลับไปเรียน” เนยบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจและเชื่อว่าการศึกษาจะพาเธอไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น

เนยยังคงพยายามที่จะกลับเข้ามาเรียนที่ศูนย์ กศน. ของมูลนิธิสายเด็ก แต่ด้วยภารกิจที่รัดตัวในแต่ละวัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่การต้องมาเรียน การอ่านหนังสือ การสอบ จะผ่านไปได้ด้วยดี เธอหวังว่าสักวันจะมีจังหวะชีวิตที่พาให้เธอได้วุฒิพอจะไปสมัครงานรับจ้างทั่วไป ซึ่งเป็นงานที่เธอต้องการ

ในชั่วขณะที่เล่าเรื่องชีวิต จู่ ๆ เนยก็เผยความรู้สึกผิดในใจ แม้ว่าเธอไม่อยากให้ลูกต้องพบเจอกับอะไรที่เธอเคยผ่านมา แต่ความเครียด ความกดดัน ก็ส่งผลให้เธอใช้ความรุนแรงกับลูกเป็นบางครั้ง

“บางวันหนูเครียดมาก เจอนู่นเจอนี่มา แล้วเจอลูกงอแง เราก็ทนไม่ไหว ก็เคยจับขังไว้ในตู้เสื้อผ้า ก็ขังไว้อยู่อย่างนั้น จนหยุดร้องก็ค่อยเอาออก คือเราโตมาแบบนี้ บางครั้งเราชินกับการแก้ปัญหาแบบนี้” 

น้ำตาเนยคลอ เสียงของเธอเริ่มเปลี่ยน “จนครั้งหนึ่งเราเคยคิดเลยนะ ว่าอยากเอาน้องกดน้ำ เราเหนื่อยแล้ว เราไม่อยากมีภาระอีกแล้ว แต่ยังดีที่ไม่ได้ทำ เพราะถ้าทำก็คงรู้สึกผิดกว่าทุกเรื่องในชีวิต และเราคงให้อภัยตัวเองไม่ได้อีกเลย”

ชีวิตที่ถูกเหวี่ยงออกมาแสนไกล หลายครั้งที่แผลในอดีตส่งผลให้เธอยังเดินผิดพลาดในทุกวันนี้ เป็นวงจรที่ได้ฝังลึกในแง่ของความรู้สึกและการตัดสินใจเมื่อขาดสติ

ถึงแม้เนยจะไม่ได้มีชีวิตที่ดี แต่เนยก็อยากให้ลูก ๆ ได้มีโอกาสที่ดีกว่าที่เธอเป็น อย่างเช่นการศึกษา ที่นอกจากการเข้าถึงโอกาสที่ดีกว่าในชีวิต เนยยังกล่าวอีกว่า การให้เด็ก ๆ ไปโรงเรียน อย่างน้อยคือเธอได้พักผ่อนและประหยัดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงไปได้

“พอมาถึงวันนี้แค่อยากให้เขาไม่ลำบากอย่างที่เราเป็น เราอยากให้เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้”

บางครั้งการตื่นขึ้นมาและยังหายใจ อาจหมายถึงเรากำลังมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคน

ไอซ์เล่าว่า ชีวิตของเขาเริ่มดีขึ้นเมื่อเจอแฟนคนนี้ พากันไปทำงาน พากันไปทางที่ดี หากเป็นเด็กเร่ร่อนได้แฟนแย่ก็พังไปตาม ๆ กัน ทุกวันนี้ไอซ์ได้เป็นพนักงานในโรงงานไข่ ถึงแม้จะไม่ใช่อาชีพในฝันแต่ก็เป็นงานประจำ ทำให้เขาได้ซื้อของที่อยากได้ ได้มีห้อง(เช่า)เป็นของตัวเองแถวประชาอุทิศ

“ความฝันเหรอ ก็อยากมีรถ มีบ้าน แล้วก็อยากมีสวนผลไม้เป็นของตัวเอง” ไอซ์เล่าด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

“คือเหมือนมีสวนแล้วเรามีพื้นที่เป็นของตัวเอง มีสวนก็สร้างบ้านได้ มีสวนก็ต้องใช้รถไว้ขนผลไม้ไปขาย แต่อย่างแรกขอมีบัญชีธนาคารก่อน นั่นเป็นภาพในฝันของชีวิตที่อยากมี”

ไอซ์บอกต่อว่า ทุกวันนี้ขอแค่สามารถซื้อรถได้ก่อนก็พอ เพราะจะได้พาแฟนไปไหนมาไหนได้ และสถานที่แรกที่ไอซ์อยากไปก็คือทะเล หลังจากพูดคุยไอซ์ให้เหตุผลเพียงว่า ‘ทะเลมันอิสระจะตายไป อยากไปให้เห็นกับตา’

ความฝันอาจเป็นสิ่งธรรมดาที่หลายคนมีติดตัว แต่เมื่อถามเนยและไอซ์ถึงความฝันในชีวิต ทั้งคู่กลับกระอึกกระอักที่จะพูดถึง ความฝันของทั้งคู่อาจดูเป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่ชีวิตที่ผ่านมาทำให้พวกเขาไม่เคยคิดที่จะฝัน เพราะการมีชีวิตผ่านไปอีกวัน ก็ถือเป็นเป้าหมายที่เพียงพอแล้ว

“ไม่รู้สิ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนอกจากเรื่องลูก
ถ้าตอบว่ายังหายใจอยู่(หัวเราะ)
ถ้าจะตายก็ขอไม่ตายแบบทรมาน
พวกนี้นับเป็นความฝันไหม?”

เนยอธิบายความฝันในความเข้าใจของตัวเอง

คนชายขอบจำนวนมากยังคงถูกกดทับ ไม่สามารถยกระดับทางสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจได้ ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเชิงปัจเจก ภายใต้ความเทา ๆ ของประเทศนี้ ยังมีคนมีสี ผู้มีอำนาจ และผู้ใหญ่ที่จ้องจะขูดรีดผลประโยชน์ของพวกเขา
ในอีกมุมหนึ่งคนข้างบนอาจไม่ชอบใจนัก หากคนชายขอบเหล่านี้ไม่อยู่ในกรอบที่เขาวางไว้ให้ เพราะนั่นอาจหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมากหายไปจากกระเป๋าพวกเขา

ทางออกของเรื่องนี้ก็ยังคงเทา ๆ เหมือนกับตัวละครในเรื่อง หากยังไม่มีนโยบายและบรรจุเป็นวาระแห่งชาติ ในการสังคายนาระบบทั้งหมดอย่างจริงจังและจริงใจ

ถึงจะมีความหวัง แต่ก็เป็นความหวังสีจาง ทุกคนยังต้องกลับไปดิ้นรนเพื่อถีบตัวเองไปหาชีวิตที่ดีกว่าอีกครั้ง
ไอซ์ขอตัวกลับบ้านเพื่อเตรียมพร้อมไปทำงานในวันพรุ่งนี้ ส่วนเนยลาระหว่างทางเพราะลูกค้าที่โทรนัดไว้มาถึงแล้ว

เสียงรถยนต์ยังโหวกเหวกเต็มวงเวียน ลิปสติกสีแดงบนริมฝีปากยังคงเห็นได้ชัดแม้มองจากอีกฝั่งถนน

หวังว่าเสียงและภาพของเด็กหลุดจากระบบการศึกษาเหล่านี้ ที่กลายมาเป็น เด็กเร่ร่อน สาวขายบริการ พนักงานโรงงานไข่ จะชัดเจนมากพอ ให้ผู้ใหญ่ในประเทศนี้ที่เคยทอดทิ้งพวกเขา หันหลังกลับมาดูและตระหนักว่าคนชายขอบก็เป็นประชาชนที่ควรได้รับสิทธิ สวัสดิการ ของการมีชีวิตขั้นพื้นฐานเหมือนกับพวกเราทุกคน

อ่านบทความตอนที่ 1 ‘เด็กหลุดแบบไทย ๆ’
วิ่งยา-ค้าบริการ-ทัวร์สถานพินิจ สิ้นสุดทางเลื่อนของ ‘เด็กหลุด’

อ้างอิง

Tax Domme l businessinsider

พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 l สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง