ฉากชีวิตเริ่มต้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้ง - Decode
Reading Time: < 1 minute

ผู้แพ้ในเพลงชื่อยาว

[ดวงดาวเดียวดาย] ประพันธ์ สุนทรฐิติ

ภายใต้ความเวิ้งว้างว่างเปล่า มักมีอะไรซุกซ่อนอยู่เสมอ ด้วยสายตาดวงเดิม เราตื่นนอนขึ้นมาในเวลาที่ใกล้เคียงกันทุกวัน ย้ำคิดย้ำทำ สม่ำเสมอกับบางสิ่ง จนคิดว่ามันคือข้อบังคับ แต่เปล่าเลย บางอย่างเป็นเพียงแค่ความคุ้นเคย คุ้นชิน และแลเหมือนว่ายากยิ่งเหลือ ที่จะผลักดันให้เรา ยอมก้าวขาออกมาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ในพฤติกรรมอันซ้ำซากของตัวเอง

บางคนตื่นนอนขึ้นมาอย่างไร้จุดหมาย ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไร้เรื่องราวใดในหัวสมอง บางคนขะมักเขม้นเร่งรีบที่จะออกไปแสวงหาบางสิ่ง ใช้แรงงานบ้าง เริ่มต้นออกตามหาแรงบันดาลใจบ้าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราทุกคน ล้วนแล้วแต่มียามเช้าเป็นของตัวเอง นอกไปเสียจากบางคน ที่นอนปล่อยทิ้งยามเช้าของตัวเอง อย่างไร้ค่า บนผืนผ้าปูที่นอนยับ ๆ ที่ไร้ความเรียบมาตั้งแต่เมื่อคืน

เรือทรายล่องไกลมาจากที่ใดกันหนอ เรือข้ามฟากนั่นก็ด้วย กี่ครั้งแล้ว ที่มันจำต้องข้ามฟากรับส่งผู้คนไปมา หลากช่วงเวลา ที่คนบนเรือบางคน กำลังแอบครุ่นคิดถึงอนาคตของตัวเอง บางคนอาจกำลังทะลึ่งฝันไปไกล ถึงความสำเร็จที่โค้งฟ้า บางคนอาจกำลังสนุกสนานอยู่กับหน้าปัดจอมือถือ บางคนเพ่งพินิจ พิจารณาถึงความอ่อนไหว และไหวเอนของสายน้ำ บางคนระทมทุกข์อยู่กับปัญหา และบางคนเองกำลังหน่ายเหนื่อยกับความทรงจำของตัวเอง

ทุกข์คนล้วนแล้วแต่มีปัญหา เทาบ้าง ดำบ้าง หากไม่มองข้ามปัญหาไปเสีย ปัญหาก็คือส่วนหนึ่งของการมีอยู่ของชีวิต เราเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านปัญหาน้อยใหญ่ ยามเด็ก ปัญหาของเรา อาจมีเพียงแค่การลุกขึ้นจากที่นอน อาบน้ำอาบท่าไปโรงเรียน พอโตขึ้นมาหน่อย ปัญหาก็แลดูเหมือนว่ามันจะโตตามตัวเราขึ้นไปด้วย

จริงไหม ที่เรามักจะพูดกันเช่นนั้นว่า ยิ่งโตยิ่งเหนื่อย เราเคยคิดกันเช่นนั้นหรือเปล่า ว่าท่ามกลางการเคลื่อนไหวไปข้างหน้าของชีวิต หรือการมีอยู่ของเรา บนวงเวียนแห่งการแสวงหา หรืออันที่จริงแล้ว เราเองนั่นแหละ ที่ไม่พร้อมจะเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ หรือแม้แต่ผิดหวัง เราตั้งเป้าหมายชีวิตเอาไว้สูง เพียงเพื่อชี้วัดกันจริง ๆ ใช่ไหม ความเรียบง่าย ธรรมดา เป็นเรื่องที่ถูกมองว่าด้อยค่า หรืออะไรกันแน่ ถ้าความสุขแท้ ๆ คือสุขที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเราจริง ๆ ข้าวพอดีคำ ไม่ถึงสิบห้าคำ เราก็น่าจะสัมผัสถึงความอิ่มได้ หรือไง ความสุขจากการทานอาหาร ที่มีรสชาติที่อร่อย มันจำเป็นมากไหม ว่าต้องทานอาหารคำโต

เรายิ่งแสวงหาความสุข แลดูเหมือนว่าความสุขจะลดน้อยถอยห่าง เรายิ่งแสวงสิ่งใด สิ่งนั้นก็แลดูเหมือนว่าจะผูกมัดตัวตนของเราเอาไว้ เชือกแห่งความสุข ไม่ว่าเราจะโยง หรือมัดมันเอาไว้กับสิ่งใด สิ่งที่มัด แลเหมือนว่าจะยิ่งตึง ยิ่งแน่น และยากต่อการขยับเขยื้อน หรือเราเองกำลังเสพติดอยู่กับความสุข หรือเรากำลังหลงระเริงอยู่กับรสชาติชีวิตที่เพียบพร้อม และปฏิเสธความบกพร่องทุกอย่าง โดยเฉพาะ ความบกพร่องจากตัวของเราเอง จนลืมไปเสียสนิทว่า ที่เรามีทุกวันนี้ได้ มาจากการล้มลุกคลุกคลาน ในแต่ล่ะก้าว ในแต่ล่ะช่วง ของการมีอยู่ของชีวิตเรา

เคยคิดบ้างไหมว่าตัวเองเก่ง เก่งมากที่พาตัวเองมาได้จนถึงจุดนี้ อยู่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงอายุเท่านี้

ถ้าหากหยุดวัดความสำเร็จของตัวเอง กับความสำเร็จของผู้อื่น เราเองล้วนแล้วแต่มีความสำเร็จมาแล้ว ไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้าหากไม่ทิ้งขว้างความสุขอันน้อยนิด ความสุขอันน้อยนิดก็มีคุณค่า ถ้าหากไม่ทิ้งขว้างตัวเองในวันนี้ พรุ่งนี้ก็มีความหมาย อยากบอกว่าเราทุกคนเป็นคนเก่ง เก่งที่มีวันนี้ได้ และจะเก่งยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าหากเราจะมีวันพรุ่งนี้ได้ดีกว่าเมื่อวาน 

ให้อภัยในความล้มเหลวของตัวเอง ให้อภัยในความรู้เท่าไม่ถึงการ แน่นอน ทุกคนย่อมที่จะผิดพลาดกันได้ หลงทางกันได้ หลงระเริงกันได้ รวมถึง หลงตัวเองได้ ไม่ผิด ถ้าหากเริ่มรู้สึกตัว แล้วค่อย ๆ พินิจ ขัดเกลาการมีชีวิตใหม่อีกครั้ง บางครั้ง ก็ดูเหมือนว่าเราเอง ควรที่จะจุดทศนิยมให้กับเรื่องบางเรื่องในชีวิตได้แล้ว ให้มันจบสิ้น และผ่านพ้นไปจากความรู้สึกผิดถูก ไม่ว่าสิ่งนั้นเองจะดีหรือร้าย เราก็ไม่ควรที่จะไปกอดเก็บ ความรู้สึกต่าง ๆ นั้นเอาไว้ เหมือนว่าจะให้มันอยู่กับเรา เป็นตราประทับ หรือแม้แต่เป็นเครื่องหมายประดับเสื้อแห่งชีวิตของเรา เพียงแค่ตัวเรารู้ ว่าเราเคยผ่านบางช่วงเวลานั้นมา ผิดถูก มันถูกแก่นหัวใจของเราจริง ๆ ตัดสินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีใครกันเล่า ที่จะมาล่วงรู้เท่าทันถึงความหมายอันลึกซึ้ง ภายใต้จิตสำนึกของเรา ไม่แน่ว่าในชั่วโมงนั้น เราอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ที่จะเป็นผู้ร้ายก็ได้ แต่เราเพียงแค่ต้องการที่จะปกป้องตัวเอง ซึ่งมันอาจจะดูมากไปหน่อย และเหมือนว่าจะเห็นแก่ตัวเองมากไป แต่พอเอาจริง เราก็รักตัวเราเองนั่นล่ะ มีคนที่ก้าวพลาดบนเส้นทางสายนี้ตั้งมากมาย บางคนเสียเพื่อน เสียงาน เสียอนาคต หรือแม้แต่จำต้องเสียตัวตน ให้กับพฤติกรรมที่พลาดพลั้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นทุกคน จะเป็นคนไม่ดีไปเสียหมด บางคนอาจจะเป็นพ่อที่ดีของลูก หรือแม้แต่เป็นภรรยาที่ดีของสามี เป็นพี่ที่ดีของน้อง นั่นล่ะ เพราะมันมีเหตุผล

เหตุผลจึงสำคัญมาก มากเท่าที่เช้าวันพรุ่งนี้เราจะตื่นขึ้นมา หาเหตุผลดี ๆ ให้กับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา ไม่ต้องย้อนกลับแก้ไขสิ่งใด ๆ ที่ผิด เพราะถ้ามันแก้ได้จริง เราควรแก้ไขที่จิตสำนึกของเราเสียตั้งแต่วินาทีนี้ เพื่อให้ทุกเช้ามีคุณค่าและมีความหมาย ต่อหัวใจที่แห้งเหี่ยว รดน้ำความรู้สึกถูกผิด ด้วยการค่อย ๆ ให้โอกาสตัวเอง ได้อภัยโทษตัวเอง รวมถึงผู้อื่นด้วย เราอาจมีความสามารถที่จะเกลียดใครไปได้นาน ๆ โกรธใครไปได้ตลอด หรือแม้แต่ชิงชังน้ำหน้าใครคนนั้นไปได้เรื่อย ๆ แต่อย่าลืมนะ ว่าเขาเองอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลยก็ได้ ซึ่งอาจมีเพียงแค่เราคนเดียว ที่ยังคงออกมาไม่ได้จากความรู้สึกสีเทานี้ ใครวางก่อน คนนั้นก็เบาก่อน ใครคลายมือก่อน ฝ่ามือก็สัมผัสกับสายลมแห่งความสบายใจก่อน ใครที่ตีอกชกตัวไม่เลิก ความเจ็บช้ำน้ำใจก็ไม่มีทางที่จะคลี่คลาย ลองจุดทศนิยมให้เรื่องบางดู ให้มันจบไปเสีย ตั้งแต่วินาทีนี้ บางที เราอาจจะไม่ต้องแบกความรู้สึกที่รุงรังแบบนี้ตลอดไป ก็แค่รู้ว่าเสียใจ ก็แค่รู้ว่าไม่ชอบใจ ก็แค่รู้ว่าทำไม่ได้ ก็แค่รู้ว่าพ่ายแพ้ ผิดหวัง ก็แค่รู้ แล้วถ้ารู้แล้ว ว่ารสชาติมันเป็นเช่นไร ก็ไม่เห็นจำเป็นว่าต้องให้รสชาตินั้น ติดอยู่ที่ปลายลิ้น ของความรู้สึกของเราตลอดไป จริงไหมล่ะ คงทรมานน่าดู ถ้าจะให้เผ็ดร้อนไปทั้งวัน หรือแม้แต่หวานปากไปทั้งวัน อันนี้ยังไม่ร่วมถึงรสชาติแห่งขมขื่น ( ใจ ) ด้วยนะ ไม่รู้ว่าคิดเหมือนกันไหม ว่าบางที การกินอะไรแบบไม่ปรุงรสชาติเพิ่ม และเหมือนว่าสิ้นสติ จะส่งผลการรับรู้ได้ชัดเจนกว่า อันนี้ ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนกันไหมนะ