รักวัวให้ผูก รักลูกให้พูดดี ๆ - Decode
Reading Time: < 1 minute

ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม

วีรพร นิติประภา

ในประเทศที่มีทหารหมุนเวียนเข้ามาเป็นรัฐบาลบ่อยครั้ง และทุกครั้งก็วุ่นวายควบคุมกำกับงานบริหาร บางคราวก็แสนนาน ก็ไม่แปลกอะไรที่ประชาชน พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะพานให้ความสำคัญกับเลี้ยงดูเยาวชนให้เติบโตขึ้นเป็นคนมีระเบียบวินัย ถึงขั้นเอาคำว่า ‘เด็กดี’ มาผูกติดกับความมีระเบียบวินัย มิหนำซ้ำยังเชื่อมโยงความมีระเบียบวินัยเข้ากับความเคารพกฎหมาย 

เรื่องของเรื่องไม่ได้อยู่แค่ที่เหล่าประชากรที่มีระเบียบวินัยกับประชากรที่เคารพกฎหมาย และประชากรที่เป็นคนดีศรีสังคมล้วนแยกกัน คนดีอาจไม่มีวินัยก็ได้ คนมีวินัยไม่เคารพกฎหมายก็เยอะ คนเคารพกฎหมายไม่ได้เป็นคนดีทั้งหมด  แต่เอาเถิด จะอย่างไรก็แล้ว ปัญหาคือเราไม่ได้ประสบความสำเร็จเลยเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ยุบยับ เรากลับมีแต่ประชากรหย่อนยานทั้งระเบียบ ทั้งวินัย ทั้งเคารพกฎหมาย ทั้งเป็นคนดีในมาตรฐานศีลธรรม

หากพิจารณาลึกลงไป …ไม่ต้องมาก เอาแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็จะพอเห็นว่าทั้งกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับทางสังคมต่าง ๆ รวมทั้งมารยาท ล้วนถูกคิดสร้างขึ้นมาเพื่อให้ประชากรอยู่ร่วมกันได้โดยสงบ ลดการกระทบกระทั่ง ก็แค่นั้น  ซึ่งหากเอาตรงนี้มาเป็นบรรทัดฐานก็แปลง่าย ๆ ว่าถ้าเราสร้างประชากรให้เป็นคนมีความเคารพซึ่งกันและกัน กฎเกณฑ์ระเบียบวินัยก็จะเป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป ในทางกลับกัน ต่อให้ตั้งกฎเกณฑ์เข้มข้นแต่คนไม่มีความเคารพคนอื่นก็ไม่มีใครทำตามกฎอยู่ดี 

ก็แล้วถ้าต้องการให้ลูกเคารพคนอื่น มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย เป็นคนดีศรีสังคม ต้องทำยังไง 

ง่ายมาก…เริ่มจากการเลี้ยงดูลูก ๆ ด้วยความเคารพก่อนเลยเป็นสิ่งแรก สิ่งที่พ่อแม่ไทย ๆ และจีน ๆ และเอเชีย ๆ ทั้งหลายไม่ค่อยทำ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามีความคิดเกี่ยวกับเด็ก ๆ แบบไหน ดูอย่างวลี “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ที่ยังพูดกันหน้าตายมาจนถึงเดี๋ยวนี้ โดยไม่หยุดคิดด้วยซ้ำว่านั่นคือการเหยียดลูกมนุษย์เป็นวัวควายนั่นปะไร 

ถ้าพ่อแม่มีความเคารพให้ลูก ลูกก็จะเคารพตัวเอง คนเคารพตัวเองเท่านั้นที่ถึงจะรู้จักเคารพคนอื่นซึ่งก็รวมถึงพ่อแม่ด้วย เรื่องไม่ได้ซับซ้อนตรงไหนเลย 

และการให้ความเคารพในที่นี้ไม่ใช่ไปนั่งกราบไหว้ลูก แต่หมายถึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนโต ๆ แล้วหนึ่งคน ไม่ใช่มนุษย์ที่อ่อนด้อยกว่า เกรงใจเขาให้เหมือนกับที่คุณเกรงใจเพื่อน พูดกับเขาดี ๆ เหมือนพูดกับคนที่ทำงาน ไม่พูดเสียงดัง  ตะคอก ใช้คำส่อเสียดเดียดฉันท์ ดุด่าหยาบคาย ใช้อารมณ์ เวลาเขาจะพูดบอกอะไรก็ให้ฟังเขาเหมือนที่ฟังเพื่อนร่วมงานหรือมนุษย์ผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ไม่ใช่เพิกเฉย ทำเป็นไม่ได้ยิน หรือบางทีก็ปล่อยเขาแหกร้องจนเหนื่อยอ่อนเลิกพูดเลิกร้องไปเอง 

ที่สำคัญคือไม่ทุบตีใช้กำลังกับเขา ไม่ใช่วิธีลงโทษฝึกหมาแมวปศุสัตว์กับเขาเหมือนเขาเป็นสิ่งมีชีวิตโง่เง่า ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ ถ้าพูดบอกอะไรเขาแล้วเขาไม่เข้าใจ ให้ระลึกไว้ว่าคุณยังอธิบายได้ไม่ดีพอ เรียนรู้วิธีอธิบายหลาย ๆ แบบ หาตัวอย่างจูงใจ บอกเขาให้เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำอะไร และทำไมถึงอย่าทำอะไร ไม่บูลลี่เขาเอาสนุกเหมือนเขาไม่มีความรู้สึกนึกคิด ไม่ถือวิสาสะทำอะไรอำเภอใจโดยไม่ถามไถ่เขาก่อน 

โดยสรุป…ปฎิบัติต่อเขาอย่างที่คุณทำกับเพื่อนรักที่เป็นผู้ใหญ่แล้วนั่นแหละ

คนเคารพตัวเองจะไม่ทำสิ่งน่ารังเกียจ น่าดูถูกดูแคลน หรือแม้แต่ดูไม่ดี อย่างแต่งตัวไม่ดี ลัดคิว ทิ้งขยะเรี่ยราด วางข้าวของเกลื่อนบ้าน พูดจาหยาบคาย.…ไม่ว่าจะต่อหน้าคนอื่นหรือไม่มีใครรู้ก็ตาม คนเคารพตัวเองจะทำตัวน่าเคารพ เขาจะใฝ่ดี ต้องการเป็นคนดี พึงพอใจที่เป็นคนดี ที่สำคัญ…อย่างที่บอก…เขาจะเคารพคนอื่น นั่นก็คือเขาจะเป็นคนมีระเบียบวินัย มีมารยาท ไม่ทำสิ่งไม่ดีหรือผิดกฎหมาย ด้วยตัวเขาเอง โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องสอน บีบบังคับ หรือกระทั่งลงโทษ     

เรื่องนี้ไม่ได้คิดเอาเอง แต่เรียนรู้มาจากผู้หญิงปากปลาร้าระดับแชมป์โลกที่สมควรได้ตำแหน่งแม่ดีเด่นแห่งชาติสองคน  

คนแรกคือป้าอ่อน (นามสมมติ) อาชีพขายกาแฟรถเข็นริมถนน แกเป็นคนปากร้ายระดับพระกาฬ ลูกค้าถามซ้ำหรือมาเร่งเป็นโดนด่ากระจาย เผลอ ๆ ยังด่าเผื่อแผ่ไปถึงคนที่ไม่ถามไม่เร่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไม่หือไม่อือที่ยืนอยู่ตรงนั้นไปด้วย ว่ากันว่าผัวแกทิ้งหายไปมีเมียใหม่ตั้งแต่ลูกสองคนยังเล็ก ๆ ปล่อยแกเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกแต่ลำพัง …ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าทำไมต้องปากร้ายขนาดนั้น ไร้อาวุธป้องกันตัวก็ต้องมีปากกรรไกรเอาไว้ขู่เข็ญ…เช่นนั้น 

แต่เห็นปากคอเราะร้ายอย่างนี้ เวลาพูดกับลูก…แกจะเป็นคนละคนทีเดียว นอกจากไม่มีคำหยาบ ยังน้ำเสียงอ่อนโยน  ค่อย ๆ พูด ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ห้วนกระชาก เรียกลูกมีคำว่าน้องนำชื่อกับลงท้ายมีครับคะตลอด ทั้ง ๆ ที่ก็ชัดเจนว่าแกไม่ได้มีการศึกษาสูงนัก แวดล้อมก็ตลาด ๆ กับบ้านช่องละแวกแม้จะไม่แย่มากแต่ก็ต่ำมาตรฐานอยู่สักหน่อย   

ลูกสองคนของแกในตอนเด็กก็เป็นเด็กเรียบร้อย สุภาพ ฉลาดกับเรียนดีทั้งคู่ ตกเย็นย่ำทำการบ้านเสร็จก็จะพากันเดินออกมาช่วยแม่เก็บร้าน เสร็จก็พากันเดินไปหาอะไรกินในตลาด หลายปีผ่าน ลูกของแกหาทุนเรียนไปทำงานพิเศษไปจนจบโททั้งคู่ ทำงานบริษัท ไม่ต้องสืบทอดกิจการกาแฟรถเข็นของแม่ที่รายได้ไม่มากแต่เหนื่อยหนัก งานการเลื่อนขั้นก้าวหน้า แต่งงานมีคู่ชีวิตเป็นคนจากครอบครัวอีกระดับสังคม…หมายถึงไม่ใช่ชาวบ้านร้านตลาดด้วยกันอย่างคนแถว ๆ นั้น   

‘พูดกับลูกไม่ดี แล้วลูกมันจะรักดียังไง ไม่รักดีแล้วจะเอาดีได้ยังไง โกรธใครไม่พอใจใครก็ด่าแม่งให้ฉิบหายตายห่าไป มันคนอื่นทั้งนั้น ไม่เอามาลงกับลูกของเรา’ แกว่า

อีกป้าคือป้าทอง (นามสมมติ) คนนี้เป็นเจ้าที่ดินปล่อยเช่าล็อกขายของที่สวนจตุจักร และเหมือนกันกับป้าอ่อน…ปากร้ายประลัยกัลป์ ลูกค้าถามแล้วไม่ซื้อคือด่าเอาตาย ทั้งหยาบทั้งเสียงดังจนไม่กล้าเดินผ่านอีกเลย…ขนาดนั้น และชัดเจนว่าไม่ได้เป็นคนมีการศึกษาสูงนัก 

แต่เวลาพูดถึงลูกหรือเรียกลูกจะเรียกมีคำว่าคุณนำชื่อทุกคำ คำลงท้ายคะขา ผิดวิสัยเครื่องด่ามาราธอนที่หวาดกลัวกันทั้งตลาด ลูกแกจบปริญญาตรีทั้งคู่ แต่รักมาทางค้าขายและขายของเก่ง ขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบลูกค้า  ไม่โกหก ไม่โกง ของดีก็ว่าดี ของไม่ดีก็ไม่เอามาหลอกขาย สร้างฐานะเอาได้มั่นคง พูดจาสุภาพ ท่าทีน่าชื่นชมแบบสุภาพบุรุษลูกทุ่งขนานแท้…แบบนั้น

‘ลูกของเราเรายังไม่ยกย่อง ก็แล้วหมาที่ไหนมันจะมานับถือลูกเราล่ะใช่มั้ย’ แกบอก

ทั้งคู่ไม่อวยลูกเรื่องไม่เป็นเรื่องให้คนอื่นฟังเอาหน้า แต่ให้ความเคารพลูก ๆ ในฐานะมนุษย์และเลี้ยงดูลูกด้วยเหตุผล  ผิดกับอีกบ้านหนึ่ง (ไม่อยากให้ราคาตั้งนามสมมติให้) ซึ่งมีทั้งการศึกษาและฐานะพอประมาณ แต่ไม่รู้เป็นไร ทั้ง ๆ ที่ไม่ลำบากกับแวดวงเพื่อนฝูงก็ดีกว่าสองป้าข้างต้นมาก แต่กลับชอบเรียกลูก ๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลังมีคำไอ้อีนำตลอด ต่อมาทีหลัง ๆ ยังประดับคำสร้อยเรียกไอ้ห่าหรือไอ้เหี้ยนำหน้าชื่อประหนึ่งยศฐาเอาอีกด้วย แน่นอนสรรพนามก็มึงและมัน อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาลูกพูดถามดี ๆ ก็ตะคอกเอา ๆ ดุว่าก็ด่าหยาบ ๆ มีอวัยวะต่าง ๆ ห้อยต่องแต่งติด เรื่องบูลลี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…ประจำ บางทีไม่มีอะไรก็ฟาดตีระบายอารมณ์เล่นเสียอย่างนั้น 

ลูกแกตอนเล็ก ๆ ก็เด็กดี ๆ นี่แหละ แต่ตอนโตกลับเอาดีไม่ได้สักคน คนหนึ่งก็ทั้งเกเรทั้งขี้โกง อีกคนก็เฉื่อยชาไม่เอาไหน ขี้โอ่กับยโสเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่เหมือนกันคือชอบมีปัญหากับคนไปทั่ว ๆ 

เราควรเลิกพูดและสมาทานความคิดชุด “รักวัวให้ผูก  รักลูกให้ตี” ได้แล้ว รักใครก็ให้ดีกับคนนั้นให้มาก ๆ และอย่าทำร้ายจิตใจเขา อย่าเอาเขาไปเปรียบเป็นวัวควายปศุสัตว์แมวหมา อย่าดูถูก หมิ่นเหยียด กดทับเขาให้รู้สึกต่ำต้อย  อบรมเลี้ยงดูคนทั้งคนพ่อแม่จำเป็นต้องเรียนรู้ให้มาก …เหมือนที่คนต้องร่ำเรียนถึงจะมาเป็นครู ต้องหาวิธีสอนใหม่ ๆ  ต้องอธิบายให้เป็น มีตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพ มีจิตวิทยา ซึ่งในยุคสมัยนี้ก็มีดี ๆ ให้อ่านเป็นเล่ม ๆ เป็นคอนเทนต์  เป็นคลิปในยูทูปมากมาย 

ที่สำคัญคือ ลูกมนุษย์ต้องถูกปฏิบัติต่อเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง 

ลูกมีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย เป็นคนดีศรีสังคม ต้องเริ่มจากโครงสร้างภายจิตใจ ไม่ใช่บังคับเอา และอภิชาตลูกคือลูกที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เคารพในความเป็นมนุษย์ของเขา ป้าอ่อนและป้าทอง (แม่ดีเด่นแห่งชาติที่ไม่มีใครให้รางวัล และไม่สนใจจะได้รางวัลเพราะแกสร้างและบ่มเพาะรางวัลที่มีค่ากว่านั้นให้ตัวเองแล้ว) ฝากบอกมา