แรกพบ(คน)อินเดีย - Decode
Reading Time: 2 minutes

HumanIndian-คนอินเดียมีหัวใจ

ณฐาภพ  สังเกตุ

แต่ละคนคงมีภาพจำเมื่อนึกถึงคนอินเดียต่างกันออกไป แต่ไม่มากก็น้อยในเศษเสี้ยวความทรงจำ ผม ก็มีเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับคนอินเดียอยู่ในหัวสมอง ขี้โกง เจ้าเล่ห์ ปากหวานก้นเปรี้ยว หรือแม้แต่หลอกลวง ในขณะเดียวกันเรื่องดีเกี่ยวกับคนอินเดียก็ใช่ว่าจะไม่มี รักเพื่อน อัธยาศัยดี และชอบช่วยเหลือ ผมไม่อาจลงความเห็นและตัดสินได้ว่าคนอินเดียโดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ เพราะความคิดเห็นเหล่านี้ ผมรับข้อมูลมาจากสื่ออื่น ๆ มาอีกที

ผมเก็บคำถามดังกล่าว จัดของใส่กระเป๋าเตรียมตัวเพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ที่อินเดีย 1 ปี บางทีทั้งผมและผู้อ่าน เราอาจจะได้ค่อย ๆ เรียนรู้ไปพร้อมกันว่า คนอินเดียแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ผ่านสายตาและมุมมองของผม ณฐาภพ  สังเกตุ ในคอลัมน์ HumanIndian-คนอินเดียมีหัวใจ

รู้ตัวอีกทีผมก็มานั่งอยู่ในเกตสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวบินไปมุมไบของวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ผู้โดยสารคับคั่งไปด้วยคนอินเดียแทบจะทั้งเครื่องบิน ปัญหาแรกที่ผมพบคือยังไม่รู้ว่าจะต่อรถจากสนามบินมุมไบ ไปเมืองปูเน่ปลายทางของผมอย่างไร

“คุณสามารถเดินทางได้ทั้งรถบัสและรถไฟ แต่ฉันคิดว่ารถบัสง่ายกว่าสำหรับมือใหม่อย่างคุณ พอถึงสนามบินมุมไบแล้ว ให้เรียกออโต้ริกชอว์ ไปส่งที่สถานีขนส่งที่นั่นคุณจะเจอกับรถบัสไปเมืองปูเน่”

Chirag (ชีรอส) ชายหนุ่มวัยสามสิบปีที่เพิ่งเสร็จภารกิจ จากการท่องเที่ยวเมืองไทยกล่าวกับผม เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่การทำความรู้จักและสนิทกับคนอินเดียสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก คนอินเดียหลายคนพร้อมที่จะพูดคุยกับคนต่างชาติอย่างไม่รู้เบื่อ

ผมบอกลา Chirag รอต่อแถวขึ้นเครื่องบินในโซนของผม พร้อมสังเกตเห็นชายชราชาวอินเดียคนหนึ่งพยายามแซงคิว เขามาหยุดต่อหน้าผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าพูดภาษาชาวบ้านคงต้องกล่าวว่า “แซงคิวกันอย่างหน้าด้าน ๆ” ผมรักษาสิทธิ์ของตัวเองด้วยการไม่ให้เขาแซง แต่ลึก ๆ ผมก็พึงบอกกับตัวเองว่า เราอาจไม่สามารถทำแบบนี้ได้เมื่อไปอยู่ประเทศของเขา และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

สถานการณ์บนเครื่องบินวุ่นวายสุด ๆ คนอินเดียเสียงดัง ผมเริ่มสัมผัสกลิ่นของคนอินเดียได้นับจากตอนนั้น เด็กน้อยที่นั่งอยู่เบาะหลังผมก็เอาแต่เท้าถีบเก้าอี้ผม ผมได้แต่เพียงทำใจ และบอกตัวเองว่าต้องอยู่ร่วมกับคนประเทศนี้ไปอีก 1 ปี

22.00 น. ผมเดินทางมาถึงสนามบินมุมไบ เหมือนโลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อเท้าแตะแผ่นดินอินเดีย 

หนึ่งปีสั้นเกินกว่าที่จะบอกว่า เป็นการปักหลักใช้ชีวิต แต่ก็ยาวเกินจะบอกว่าเป็นการท่องเที่ยว ผมพาตัวเองไปจนถึงบริษัทขนส่งที่มีรถไปส่งที่เมืองปูเน่จุดหมายปลายทาง 

Arun (อรัณ) เป็นคนแรกที่คุยกับผม เขาเป็นพนักงานประสานงานอยู่ที่บริษัทขนส่งนี้มา 17 ปีแล้ว เขาถามผมว่ามาทำอะไรที่นี่  Arun คงสังเกตเห็นว่าผมเป็นกังวลและประหม่าเมื่อเดินทางมาถึง เขาชวนเพื่อน ๆ ของเขา พร้อมยกน้ำชามานั่งดื่มด้วยกัน มันช่วยคลายความกังวล และชาแก้วนั้นก็อบอุ่นเกินกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเราชนแก้วกัน

Arun พาผมไปส่งกับโชเฟอร์คนขับตอนเวลาตีหนึ่ง รถแวนของเขาติดเครื่องออกจากลานจอดรถ ฉายภาพเบื้องหน้าเป็นมหานครมุมไบ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล สองข้างทางเต็มไปด้วยวัยรุ่นจับกลุ่มกันตามร้านอาหาร ร้านน้ำชา พูดคุยกันอย่างออกรส โดยไม่สนใจว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงตะวันก็แตะขอบฟ้า

โชเฟอร์ที่ขับรถมาส่งผมเป็นคนเงียบขรึมและพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เราจึงไม่ได้สนทนากันนัก แต่เขาก็ทำหน้าที่ของเขาได้สมบูรณ์ รถมาจอดส่งผมหน้าโรงเรียนตอนเวลาตีสี่ตามที่ตกลง ผมวางแผนเรื่องเวลาคลาดเคลื่อนไป แต่ก็คิดว่าช่วงเวลาก่อนฟ้าสาง 2-3 ชั่วโมง การเข้าไปนั่งหลบความมืดในโรงเรียน คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมอธิบายให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าใจถึงการเดินทางของผม และวัตถุประสงค์ในการขอเข้าไปนั่งรอ เขาตอบกลับมาด้วยภาษามราฐี ที่โชเฟอร์พยายามแปลให้ผมฟังได้ใจความว่า

“เข้ามาไม่ได้ คุณต้องไปหาที่อื่นอยู่ คุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาในช่วงเวลาแบบนี้ถึงแม้จะเป็นนักเรียนก็ตาม”

ผมพยายามขอร้อง ยกมือไหว้ ให้เขาเข้าใจข้อจำกัดของตัวผมที่ไม่มีที่ไปจริง ๆ

เขาปิดช่องหน้าต่างป้อมยาม แน่นอนไม่ใช่ความผิดเขา เขาทำตามหน้าที่ ส่วนผมก็ต้องจัดการปัญหาของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าคนอินเดียแตกต่างจากคนไทยคือความอะลุ่มอล่วย คนอินเดียกฎเป็นกฎ เหตุผลหนึ่งคือประเทศเขามีประชากรจำนวนมาก หากไม่ทำตามกฎแล้วก็เป็นการยากที่จะควบคุมคนหมู่มากขนาดนี้

ผมสะพายเป้ใบใหญ่ พร้อมกระเป๋าลากเดินไปตามทางจนไปเจอเข้ากับเก้าอี้ม้านั่ง ตรงหัวมุมสี่แยกหนึ่งห่างจากโรงเรียนประมาณ 500 เมตร ผมนั่งลงหันมองไปซ้ายขวามีแสงไฟจากถนนส่องสว่าง แต่ระหว่างเสาไฟแต่ละต้นเต็มไปด้วยความมืด นาน ๆ จะมีรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมาสักคัน พวกเขาต่างมองผมด้วยความสงสัย

ไม่กี่อึดใจผมเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของใครคนหนึ่งเดินมา หน้าตาและท่าทางเขาไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก ผิวคล้ำ หนวดเครารุงรัง เดินโซซัดโซเซหน่อย ๆ เดินเข้ามาทางผม ผมชิงถามเขาก่อนที่เขาจะเปิดปากพูดหรือทำอะไรออกมา

“ตอนนี้พอมีร้านอาหารไหนเปิดให้ผมได้เข้าไปนั่งพักบ้างไหม”

เขาตอบว่าตอนนี้ไม่มีร้านไหนเปิดหรอก ผมอธิบายเหตุการณ์ที่เจอให้เขาฟัง เขาพยักหน้าพร้อมกวักมือเรียกให้ผมเดินไปกับเขา ผมย้ำเขาหลายรอบว่าจะพาผมไปไหน จนเขาตอบว่า

“จะพาไปคุยกับยามที่โรงเรียนให้คุณเข้าไปข้างใน ขืนนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปมันอาจจะเกิดอันตรายกับคุณได้”

เขาชื่อ Dusit (ดุสิต) เป็นนักเต้น บ้านเขาอยู่หลังโรงเรียนของผม เราคุยกันไปตลอดทาง เพราะเอาตรง ๆ ผมก็ไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไหร่นัก การพูดคุยอาจช่วยให้เราไว้ใจกันมากขึ้น ผมเดินมาถึงโรงเรียนแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังยืนยันคำเดิมว่า ไม่สามารถเปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่งรอได้ ต้องรอประตูเปิดตอน 7 โมงเช้าอย่างเดียว

Dusit เดินมาส่งผมที่หน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่งที่ยังไม่เปิด ตรงนี้มีแสงไฟและกล้องวงจรปิด เขาบอกให้ผมเก็บกระเป๋าให้มิดชิด และนั่งคอยตรงนี้จนกว่าประตูโรงเรียนจะเปิด ผมนั่งรอจนฟ้าค่อย ๆ สางและสว่างในที่สุด ผู้คนเริ่มเดินสัญจรไปมา บางคนก็มองผมด้วยความประหลาดใจ บางคนสายตาที่มองก็เหมือนอยากจะถามไถ่ ว่าทำไมผมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ 

แค่ค่ำคืนแรกในอินเดียของผม ก็ต้องพบเจอการปะทะกับผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนดีจนใจหาย บางคนก็ใจร้ายจนอยากรู้ว่าข้างในเขาคิดและรู้สึกอย่างไร ช่วงเวลาแรกพบกับคนอินเดีย ผมแค่รู้สึกว่าคนอินเดียมีความสุดโต่งแตกต่างจากคนไทย กล่าวคือคนดีก็ดีกับเรามากจนรู้สึกเกรงใจ ส่วนคนที่ทำเรื่องแย่ ๆ ใส่เรา ก็แทบสัมผัสไม่ได้ถึงความเห็นอกเห็นใจที่เขามีต่อผู้อื่น 

หลังจากที่ผมจัดแจงชีวิตจนเข้าที่เข้าทาง กล่าวคือมีที่ซุกหัวนอนเรียบร้อยแล้ว ผมนัดเจอกับ Shivani (ชีวาณี) เพื่อนผู้แสนดีกับผมในเมืองปูเน่ ผมถามเธอว่าทำไมประเทศของคุณ ผู้คนถึงได้แตกต่างกันถึงสุดขั้วเพียงนี้

“ทุกคนแตกต่างกันอยู่แล้ว ในบางครั้งฉันก็ยอมรับว่าคนอินเดียมักทำอะไรลงไปโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เหมือนน้ำจำนวนมากที่ไม่สามารถกลั่นกรองให้บริสุทธิ์ได้ทั้งหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากบอกคุณคือ คนที่คุณอาจจะมองว่าเขาทำตัวหยาบคาย ทำสิ่งแย่ ๆ ใส่คุณ อาจเป็นเพราะเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตเขาทำให้เขาต้องแสดงออกมาแบบนั้น สุดท้ายเราก็ไม่รู้หรอกว่าจิตใจเขาแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร”

ผมคงต้องใช้เวลาเรียนรู้ทำความเข้าใจความเป็นคนอินเดีย เพราะนี่วันแรกเพิ่งผ่านพ้น ยังมีเวลาอีก 1 ปี ให้ทำความรู้จัก ทำความเข้าใจพวกเขา แต่ที่แน่ ๆ คือคนอินเดียมีหัวใจ  เพราะผมคงไม่สามารถผ่านพ้นค่ำคืนแรกในดินแดนของพวกเขามาได้ ถ้าไม่ได้ความมีน้ำใจ และความช่วยเหลือจาก Chirag / Arun / Dusit และ Shivani