เชื่อผู้นำ ชาติ(ไม่)พ้นภัย: บทเรียนจากบราซิล - Decode
Reading Time: 2 minutes

ในความเคลื่อนไหว

รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ

บราซิลเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรง และเลวร้ายที่สุดประเทศหนึ่งในโลก จากการระบาดของไวรัสโคโรนา ตัวเลข ณ ปลายเดือนกรกฎาคม บราซิลมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงถึง 19 ล้านคน (เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากอินเดียและสหรัฐฯ) ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตก็สูงถึง 5 แสนกว่าราย (สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ตามหลังเพียงแค่ประเทศสหรัฐฯ ประเทศเดียว

ในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิตสูงมหาศาล แต่ยอดคนที่ได้รับการตรวจหาเชื้อและได้รับการฉีดวัคซีนกลับต่ำมาก (เพียงแค่ 11% ของประชากรวัยผู้ใหญ่) และตอนนี้ระบบสาธารณสุขล้มเหลว จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก จำนวนเตียงไม่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วย คนติดโควิดและผู้ป่วยหนักล้นโรงพยาบาล และคนจำนวนมากยังไม่รู้ว่าจะได้ฉีดวัคซีนเมื่อใด 

ทุกวันนี้ มีคนติดโควิดในบราซิลเฉลี่ยวันละประมาณ 70,000 ราย และเสียชีวิตวันละประมาณ 2,000 ราย สถานการณ์มาถึงจุดที่นายแพทย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ประชาชนพากันเหนื่อยล้าและมองเห็นความตายเป็นเรื่องปรกติ”

นอกจากบราซิลจะเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิดแล้ว บราซิลยังเป็นต้นกำเนิดของสายพันธ์แกมมาที่แพร่กระจายไปยังหลายภูมิภาคของโลก

เกิดอะไรขึ้นกับประเทศยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคลาตินอเมริกา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งมากที่สุดประเทศหนึ่ง และเป็นประเทศที่มีประวัติการรับมือกับการระบาดของโรคได้อย่างดีเสมอมาในอดีต

ผลการวิจัยจากหลายสถาบันชี้ตรงกันว่า ปัญหาหลักอยู่ที่รัฐบาลและตัวผู้นำอย่างประธานาธิบดี ชาอีร์ โบลโซนาโร จากการสำรวจและศึกษาวิจัยเปรียบเทียบ บราซิลถูกจัดให้เป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับการระบาดโควิดได้แย่ที่สุด ทั้งที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์และระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง

โบลโซนาโรเป็นผู้นำที่มีความอื้อฉาวและสร้างความแตกแยกสูง เขามักถูกเรียกขานว่าคือ “ทรัมป์แห่งบราซิล” เพราะมีบุคลิกและแนวนโยบายหลายอย่างคล้ายกัน และโบลโซนาโรก็ชื่นชมอดีตประธานาธิบดีอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ

เขาชนะการเลือกตั้งจนก้าวขึ้นครองอำนาจตั้งแต่ต้นปี 2562 โดยมีภูมิหลังมาจากการเป็นอดีตนายทหารเกษียณราชการ และหันมาเล่นการเมืองจนได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนหลายครั้ง จนประสบความสำเร็จสูงสุดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปลายปี 2561 ในแง่อุดมการณ์ทางการเมือง เขาเป็นนักการเมืองฝ่ายขวาสุดโต่ง (far-right) คือมีแนวคิดชาตินิยมแบบคับแคบ สนับสนุนแนวทางอำนาจนิยมและอนุรักษ์นิยม (กระทั่งสนับสนุนการรัฐประหารของกองทัพในอดีต ซึ่งกองทัพนั้นเคยเข้ามาแทรกแซงการเมืองและปกครองประเทศบราซิลอย่างยาวนานในยุคสงครามเย็น)

มีทัศนะเหยียดเพศหญิง ต่อต้าน LGBTQ ต่อต้านการทำแท้ง ดูถูกคนจน ต่อต้านชนกลุ่มน้อย ไม่เชื่อในเรื่องภาวะโลกร้อน (ภายใต้การนำของเขาป่าแอมะซอนซึ่งเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพและเป็น ‘ปอดของโลก’ ถูกทำลายเสียหายอย่างมาก รวมถึงชีวิตของชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในบริเวณป่าก็ถูกคุกคามจากนโยบายของเขา) 

ด้วยภูมิหลังที่เป็นอดีตนายทหาร เขาแต่งตั้งนายพลหลายคนมาดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของเขา เขาสร้างภาพพจน์ของตนเองว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็งเด็ดขาด (strongman) และนโยบายสำคัญที่เขาสัญญากับประชาชนคือการปราบอาชญากรรมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม ซึ่งทำให้เขามีคะแนนนิยมจากกลุ่มชนชั้นกลางและมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยม บนฐานของการเล่นการเมืองที่เน้นสร้างความเกลียดชังและหวาดระแวงระหว่างคนในสังคม จนทำให้สังคมบราซิลมีลักษณะแบ่งแยกแตกขั้วร้าวลึก (deep polarization) มากขึ้นภายใต้การนำของเขา

แต่เมื่อเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 โบลโซนาโรประสบความล้มเหลวอย่างเด่นชัด ในการรับมือกับโรคระบาด และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากหลายภาคส่วนในสังคม กระทั่งบางกลุ่มที่เคยสนับสนุนเขาก็ถอนการสนับสนุน และชี้ว่าเขาคือต้นเหตุหลักที่ทำให้สถานการณ์ของประเทศเลวร้ายแสนสาหัส

ปฏิเสธวิทยาศาสตร์ สื่อสารสับสน และประมาทเลินเล่อ

ตั้งแต่เริ่มการระบาด โบลโซนาโรดูเบาปัญหาโควิด-19 โดยบอกว่ามันเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา  เขาเองปฏิเสธการใส่หน้ากาก และยังบอกประชาชนว่าไม่ต้องใส่หน้ากาก (ตัวเขาเองในที่สุดก็ติดเชื้อจนต้องรักษาตัว และเมื่อหายแล้วก็ยังคงไม่ใส่หน้ากาก) จนเมื่อสถานการณ์การติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เขาก็ยังคงไม่บังคับใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างที่ประเทศอื่น ๆ ทำ ไม่มีการล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง ไม่มีการตรวจเชิงรุกและคัดกรองผู้ติดเชื้อ จนกระทั่งผู้บริหารท้องถิ่นหลายคนทนไม่ไหว ต้องประกาศมาตรการควบคุมในเมืองของตนโดยยอมขัดแย้งกับรัฐบาลกลาง

และการที่ไม่มีภาวะการนำที่มีประสิทธิภาพจากรัฐบาลส่วนกลางนี่เองที่นำไปสู่ความสับสน ไร้ทิศทาง และยุทธศาสตร์การทำงานที่ไม่เป็นเอกภาพ โบลโซนาโรไล่รัฐมนตรีที่ไม่เห็นด้วยกับเขาออกจากตำแหน่งเป็นว่าเล่น ประณามและทะเลาะกับผู้บริหารท้องถิ่นที่ไม่ฟังคำสั่งของเขา ปฏิเสธที่จะฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และสาธารณสุข แต่กลับดึงนายทหารที่ใกล้ชิดกับเขามาดูแลการรับมือกับโรคระบาด

โบลโซนาโรและคนในรัฐบาลของเขายังออกมาให้ข้อมูลผิด ๆ ที่ไม่ตรงกับความจริงทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก เช่น แนะนำให้ใช้สารเคมีรักษาโควิด แนะนำว่าติดโควิดแล้วไม่มีผลต่อร่างกาย ให้ไปทำงานและใช้ชีวิตได้ตามปรกติ บอกว่าคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะไม่ติดโควิด ฯลฯ จนทำให้ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และยูทูบต้องตัดสินใจปิดกั้นการเข้าถึงข้อความหลายชิ้นของโบลโซนาโร เพราะถือว่าเป็นการบิดเบือนและให้ข้อมูลเท็จที่เป็นอันตรายต่อสาธารณชน  

แต่ที่เลวร้ายและส่งผลเสียหายหนักที่สุดคือ แนวทางเรื่องวัคซีนของโบลซาโนโร เขาออกมาบอกว่าวัคซีนไม่ใช่ทางออกของปัญหา กระทั่งออกมาพูดเล่นล้อเลียนว่า การฉีดวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีใหม่แบบ mRNA ของยี่ห้อไฟเซอร์อาจ “เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นจระเข้” การปฏิเสธความจริงทางวิทยาศาสตร์ ความประมาทเลินเล่อ (เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าการระบาดของโควิด-19 จะจบภายในปี 2563) และการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด ทำให้เขาไม่ยอมสั่งซื้อวัคซีนตั้งแต่เนิ่น ๆ แม้ว่าบริษัทวัคซีนที่จัดจำหน่ายไฟเซอร์จะยื่นข้อเสนอให้เขาถึงหลายครั้งก็ตาม (ตัวแทนบริษัทให้การกับวุฒิสภาว่าส่งอีเมล์ถึงเขาจำนวนมากกว่า 100 ฉบับแต่ไม่เคยได้รับการตอบกลับเลย)

จนทำให้ขณะนี้บราซิลมีวัคซีนไม่เพียงพอที่จะฉีดให้ประชาชน กลุ่มแทพย์ในบราซิลประเมินว่าด้วยอัตราการฉีดวัคซีนในปัจจุบัน ก็ต้องรอไปถึงปี 2567 ประชากรบราซิลทั้งประเทศจึงจะได้ฉีดวัคซีนครบ  อย่างไรก็ตามเมื่อจำนวนคนตายเสียชีวิตสูงขึ้นโดยไม่มีทีท่าที่จะลดลง และเสียงวิจารณ์โหมกระหน่ำมาจากทุกสารทิศ ประธานาธิบดีโบลโซนาโรจึงเพิ่งจะกลับลำ หันมาเจรจาขอซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์และบริษัทต่าง ๆ  

นักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งของบราซิลกล่าวว่า บราซิลมีระบบการฉีดวัคซีนที่ดีมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

“ถ้าเรามีวัคซีนเพียงพอ เรารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เรามีความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เราแค่ต้องมีวัคซีน”

นักระบาดวิทยาในบราซิลบางท่านประเมินว่าจำนวนผู้เสียชีวิตครึ่งหนึ่งนั้นเป็นการเสียชีวิตที่ป้องกันได้ หากมีการฉีดวัคซีนที่เร็วและทั่วถึงกว่านี้ 

การคอร์รัปชัน การไต่สวน และความโกรธ

นอกจากการบริหารที่ล้าช้า ผิดพลาด และขาดประสิทธิภาพแล้ว โบลโซนาโรและคนใกล้ชิดของเขายังถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการคอร์รัปชันในการจัดหาวัคซีนอีกด้วย รัฐมนตรีสาธารณสุขคนก่อนหน้าของเขาถูกสอบสวนว่ารับเงินสินบนจากการจัดซื้อวัคซีน พยานอีกรายหนึ่งกล่าวหาโบลโซนาโรว่ามีส่วนรับรู้ แต่กลับเพิกเฉยในดีลซื้อวัคซีนที่เต็มไปด้วยความผิดปรกติ ขาดความโปร่งใส และราคาแพงกว่าราคาตลาด ซึ่งโบลโซนาโรปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ทั้งความล่าช้าและข้อมูลเรื่องการคอร์รัปชัน ทำให้รัฐสภาของบราซิลตัดสินใจ เปิดการไต่สวนการทำงานของรัฐบาลในการรับมือกับการระบาดที่ล้มเหลว ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ และได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างล้นหลาม

แม้ว่าการไต่สวนที่นำโดยวุฒิสภาที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายน อาจจะไม่สามารถนำไปสู่การถอดถอน (impeachment) เขาออกจากตำแหน่งได้ แต่โบลโซนาโรกำลังเผชิญกับวิกฤตความชอบธรรมทางการเมืองอย่างรุนแรง คะแนนนิยมเขาตกต่ำลงอย่างมาก ผู้ว่าการรัฐเซาเปาโลออกมาวิพากษ์เขาอย่างตรงไปตรงมา และเรียกเขาว่าผู้นำที่มีบุคลิกภาพผิดปกติแบบ “ไซโคพาธ” (psychopaths)

ซึ่งหมายถึงคนที่ขาดความเห็นใจผู้อื่น เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง และขาดความสำนึกผิด บุคลากรทางการแพทย์ออกมากวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของเขา ศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในวงการแพทย์ซึ่งสูญเสียเพื่อนและคนในครอบครัวออกมาให้สัมภาษณ์ว่าโบลโซนาโร “ควรลาออกจากตำแหน่ง” (just quit your job)

“มันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้เพื่อช่วยประเทศบราซิล” ศาลสูงของบราซิลเองก็มีมติให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนการบริหารงานของประธานาธิบดีที่ล้มเหลว จนทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก นอกจากนั้น สมาคมบุคลากรทางการแพทย์ของบราซิลยังไปยื่นฟ้องโบลโซนาโรที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) ที่กรุงเฮกในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (crime against humanity) เนื่องจากนโยบายที่ผิดพลาดและความเพิกเฉยของประธานาธิบดีทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึงครึ่งล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับจำนวนผู้เสียชีวิตในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รวันดา (ในปี ค.ศ. 1994 ซึ่งมีการไต่สวนดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศจนถึงทุกวันนี้)

ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประชาชนเรือนหมื่นในหลายเมืองออกมาเดินขบวนประท้วงอย่างพร้อมเพรียงกันให้เขาลาออกจากตำแหน่ง ผู้ประท้วงหลายคนคือ ประชาชนที่คนรักและคนรู้จักของพวกเขาต้องจากไปเพราะโควิด จำนวนหนึ่งต้องตกงานและสูญเสียกิจการร้านค้าของตน อีกจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงการฉีดวัคซีน และอีกหลายคนรู้สึกโกรธกับการทำงานที่ล้มเหลวและการคอร์รัปชันของผู้นำ ป้ายประท้วงมีหลากหลายข้อความ อาทิ “โบลโซนาโรต้องออกไป” “500,000” (หมายถึงจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19) ผู้ประท้วงรายหนึ่งกล่าวว่า

“มีประชาชนมากมายที่ตอนนี้กลายเป็นผู้กำพร้า สูญเสียพ่อ สูญเสียแม่ และสูญเสียลูกของตนไป” ส่วนผู้ประท้วงสุภาพสตรีอีกรายหนึ่งกล่าวว่า “เขา[โบลโซนาโร]ยังอยู่ในอำนาจเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น… เขาควรจะถูกขับออกจากตำแหน่ง ฉันอยากได้ยินว่าโบลโซนาโรไม่ใช่ประธานาธิบดีของบราซิลอีกต่อไป”

ณ ขณะนี้ เขาถูกฟ้องถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วยข้อหาหลายประการถึง 48 ข้อหา และผลการสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศล่าสุดก็พบว่าประชาชน 55 % อยากเห็นโบลโซนาโรถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ

ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำและเสียงเรียกร้องให้เขาลาออกดังขึ้นทุกขณะ โบลโซนาโร หันมาเล่นไพ่ไม้ตาย คือ ปลุกการเมืองของความเกลียดชัง ด้วยการปลุกระดมมวลชนที่ยังสนับสนุนเขาอยู่ ซึ่งเป็นมวลชนแนวอนุรักษ์นิยมสุดโต่งและกลุ่มนายทหารและตำรวจให้แสดงพลังสนับสนุนเขา

บราซิลกำลังอยู่บนทางแพร่งสำคัญ คนจำนวนหลายล้านคนกำลังจ่ายราคาที่สูงมหาศาล (ครอบครัว การงาน ชีวิต) ให้กับการมีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ ขาดความรับผิดชอบ และขาดความสามารถ คนจำนวนมากทั้งโกรธและผิดหวังกับโบโซนาโร เพราะเขาหาเสียงบนคำมั่นสัญญาว่าเขาจะปกป้องคนบราซิลให้ปลอดภัย เขาสร้างภาพลักษณ์ว่าตนเองเป็นหัวหน้าครอบครัวที่เข้มแข็ง เป็นผู้นำที่เด็ดขาดและรักชาติ แต่วันนี้คนในชาติกำลังเดือดร้อน ทุกข์ยาก และล้มตายยิ่งกว่าในภาวะสงครามครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ คำถามที่คนในบราซิลกำลังถามคือ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่ที่ใด? ประเทศจะพ้นภัยโควิดเมื่อใด? และพวกเขามีโอกาสที่จะมีรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่านี้ได้หรือไม่? 

ในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุขที่ดีและภาคประชาสังคมที่เข้มแข็งอย่างบราซิล ดูเหมือนสิ่งเดียวที่ประเทศชาติขาดไปคือ รัฐบาลและผู้นำที่ดี 

ช้อมูลประกอบการเขียน
https://www.npr.org/2021/03/04/973662184/opinion-brazils-president-is-a-global-health-threat
https://www.opendemocracy.net/en/democraciaabierta/brazil-feels-consequences-pandemic-populism/
https://www.nature.com/articles/d41586-021-01031-w
https://www.bbc.com/news/world-latin-america-57541794
https://www.bbc.com/news/world-latin-america-57923862