Reading Time: 2 minutes

10.00 น. ของวันนี้ (7 ก.ค. 2564) กลุ่มภาคีบุคลากรสาธารณสุข และกลุ่มหมอไม่ทน เดินทางไปยังรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้เร่งรัดการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA มาใช้เป็นวัคซีนหลักในประเทศไทย

โดยมีเลขาธิการประธานรัฐสภา และตัวแทนพรรคการเมือง ทั้งพรรคก้าวไกล เสรีรวมไทย เพื่อไทย พลังประชารัฐ และประชาธิปัตย์ ลงมารับจดหมายข้อเรียกร้องจากทางกลุ่ม โดยรายละเอียดของข้อเรียกร้องมี 2 ข้อดังนี้

  1. เร่งรัดการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA เช่น วัคซีน Pfizer และ Moderna เป็นต้น โดยต้องลดขั้นตอนการดำเนินการให้รวดเร็วที่สุด และบริการฉีดให้แก่ประชาชนทุกคนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า วัคซีน mRNA ป้องกันการติดเชื้อโควิดได้ครอบคลุมหลายสายพันธุ์
  2. ต้องเผยแพร่ข้อมูลกระบวนการจัดหาและกระจายวัคซีน ให้เป็นปัจจุบัน โปร่งใส สม่ำเสมอ และตรวจสอบได้

นอกจากนี้ นพ.สันติ กิจวัฒนาไพบูลย์ ตัวแทนภาคีเครือข่ายบุคลากรสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงความจำเป็นในการที่ต้องออกมาเรียกร้องในวันนี้ว่า

“ตอนนี้ผมคิดว่า กว่าเราจะได้ฉีดวัคซีน mRNA กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 คงต้องรอถึงช่วงไตรมาสที่ 4 โดยในระหว่างการรอคอยนี้ ผมคิดว่าถ้ามีวัคซีนอะไรก็อยากให้ทุกคนไปฉีดกันก่อนเพื่อลดความรุนแรง แต่ยังยืนกรานว่า รัฐบาลควรนำเข้าวัคซีน mRNA ให้เข้าถึงทุกคน ไม่ใช่แค่บุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่คือประชาชนทุกคน และไม่ควรต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงการรักษาและการตรวจด้วย

“วัคซีนคือเป้าหมายหลักเหมือนดังที่ คุณประยุทธ์ จันทร์โอชาได้กล่าวไว้ ว่าจะเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตอนนี้ผ่านมา 2 สัปดาห์แล้ว เรายังไม่เห็นถึงแนวโน้มนั้นเลย ดังนั้นจาก 2 แสนรายชื่อที่ร่วมลงชื่อกับเรา ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ มันสะท้อนให้เห็นแล้วว่า การนำเข้าวัคซีน mRNA ไม่ควรนำเข้ามาแค่ 20 ล้านโดส แต่ควรนำเข้ามาให้ครอบคลุม ประชากรไทยทุกคน”

ในตอนท้าย นพ.สันติได้กล่าวว่า กลุ่มของพวกเขาสะท้อนเสียงได้มากเท่านี้ในฐานะประชาชน ผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นคงต้องขึ้นกับรัฐบาล และคณะกรรมการจัดหาวัคซีน ที่จะต้องเร่งดำเนินการ และเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทั้งเรื่องสัญญา แผนการกระจายวัคซีน ให้ประชาชนเข้าถึงได้ทุกคน “คนทุกคนควรมีสิทธิ ได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้” นพ.สันติกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะเดินทางไปยื่นจดหมายกับผู้อำนวยการ ศบค. ที่สำนักงาน ก.พ. (เดิม) ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาลเพิ่มเติม